การลงมือของโหจื่อ ทำให้ทางฝั่งไอ้หน้าหนวดและซุนจิ้น มีกำลังใจเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และทำให้อีกฝ่ายขวัญเสีย
ความจริงโหจื่อเคยให้โอกาสพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาไม่รับเอาไว้เอง
หลังผ่านไปสิบกว่านาที อีกฝ่ายก็ไม่มีใคร ยืนอยู่เลยสักคน
โหจื่อถือมีดอยู่หนึ่งเล่ม แล้วหัวเราะ “เสียใจไหม? เมื่อกี้ถ้าเกิดพวกแกยอมจำนน ผลลัพธ์คงไม่เป็นแบบนี้?”
“ไอ้หน้าหนวด ทำให้พวกมันพิการให้หมด ให้พวกเขาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในโรงบาล”
โหจื่อพูดด้วยใบหน้าที่เย็นชา
พอพูดประโยคนี้ออกไป สีหน้าทั้งหมดของอีกฝ่าย ก็ซีดขาวลงไปจนหมด
“ชั่วชีวิตนี้ต้องนอนอยู่บนเตียง?”
“กลายเป็นคนพิการ?”
พอได้ยินประโยคนี้ จิตใจของพวกเขา แน่นอนว่าตกอยู่ในความสิ้นหวัง
ตอนที่พวกเขากำลังจะเตรียมที่จะต่อต้านให้ถึงที่สุด โหจื่อก็พูดเสริมไปอีกหนึ่งประโยค “ถ้าเกิดมีใครขัดขืน ก็ส่งไปหายมบาล”
ไอ้หน้าหนวดพยักหน้า ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่ดุร้าย “ได้เลย ท่านโห!”
ไอ้หน้าหนวดดีใจเป็นอย่างมาก ความแค้นที่เก็บสะสมมาสามปี ในที่สุดก็ได้เวลาชำระ
“ไอ้สารเลวนี้ ฉันจำแกได้อย่างชัดเจน ตอนนั้น แกทำให้ขาฉันหักไปหนึ่งข้าง ตอนนี้ ฉันจะหักแกสักสามข้าง” ไอ้หน้าหนวดพูดจบ ก็ลงมือทันที
ต่อมาก็มีเสียงร้องอ๊ากที่เจ็บปวด คนแรก เจ็บจนสลบไป
เวลานี้ไอ้หน้าหนวด ถึงแม้จะใช้แรงไปจนเกือบหมดแล้ว ร่างกายแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง แต่ว่า ตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่ายังเหลือแรงอยู่อีก
คนแรกไม่กล้าขัดขืน งั้นคนที่เหลือทั้งหมด ก็คงไม่กล้าขัดขืน
ยังไงซะโหจื่อก็ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา
บนมือของโหจื่อ ยังถือปืนไว้หนึ่งกระบอก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา ราวกับยมทูต
ถ้าเกิดใครกล้าขัดขืนแม้แต่น้อย โหจื่อจะต้องหยิบปืนขึ้นมา แล้วยิงพวกเขาจนตายแน่
กลายเป็นคนพิการ ก็ยังดีกว่าต้องตายถูกไหม?
อย่างน้อย พวกเขาอยู่ในวงการนี้มาหลายปี เก็บเงินไว้จำนวนนึง
หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทุกคนก็กลายเป็นคนพิการไปจนหมด
“การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ มันไม่ใหญ่เกินไปเหรอ?” ซุนจิ้นทนไม่ไหวจึงเดินมาอยู่ตรงหน้าโหจื่อ แล้วถามด้วยความระมัดระวัง
“คนพวกนี้ ฐานะไม่ธรรมดาทั้งนั้น”
“แถมเบื้องหลังพวกเขา ก็มีลูกพี่คอยหนุนหลังอยู่”
โหจื่อยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “พวกเขาเป็นกรงเล็บ และลูกพี่ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา เป็นเสือ เสือที่ไม่มีกรงเล็บ ต่อให้จะโกรธยังไง ก็เป็นแค่เสือที่ไม่มีความน่ากลัวอะไร”
“ไม่ต้องกังวล ถ้าเกิดใครไม่พอใจ งั้นก็จัดการคนนั้นซะ”
“อีกอย่างนะ สามปีก่อน พวกเขามุ่งเป้าหมายมาที่ชีวิตของพวกเรา และตอนนี้ พวกเราแค่ทำให้พวกมันพิการ เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเราปราณีไปเยอะแล้ว” โหจื่อหัวเราะเบาๆ
“ส่งพวกเขาไปที่โรงบาลของพวกเราไปให้หมด” โหจื่อพูด
“จริงสิ ค่ารักษาให้พวกเขาเป็นคนออกเอง ไม่มีส่วนลด ไม่มีการคืนเงิน ใครกล้าติดเงินพวกเราแม้แต่บาทเดียว ก็สับมันไปให้หมากิน” โหจื่อพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ
หลังจากจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อย โหจื่อก็เดินมาอยู่ตรงหน้าของหลี่ฝาง แล้วพูดว่า “เจ้านาย ตอนนี้ เมืองเอกไม่มีใครที่กล้าเป็นศัตรูกับคุณแล้ว”
“ทั้งยุทธภพนี้ ล้วนกลายเป็นของคุณแล้ว” โหจื่อพูด
“ยังมีท่านจวนอีกหนึ่งคน”
“ท่านจวน? ท่านจวนอายุปูนนี้แล้ว เขามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ลูกหลานของเขา ล้วนอยู่เมืองนอก ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข”
โหจื่อหัวเราะ แล้วพูดว่า “เขาไม่มาแย่งอะไรกับคุณหรอก”
“แต่คืนนี้เขา ใช้โอกาสนี้แย่งพื้นที่ไปไม่น้อย” หลี่ฝางพูด
“ฮ่าๆ ไม่ต้องกังวล ไม่แน่น่ะ เขาอาจกำลังช่วยคุณอยู่ก็ได้ เจ้านาย” โหจื่อพูด
“ความหมายของแกก็คือ พื้นที่ที่ท่านจวนแย่งมาได้ จะมอบให้กับฉันเหรอ?”
“มีโอกาสแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นอย่างนั้น” โหจื่อพูด “ตั้งแต่แรก สิ่งที่ท่านจวนทำให้กับเจ้านาย ล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ตอนนี้ ใช้คืนได้เท่าไหร่ ก็ใช้เท่านั้น”
ข้างในสถานตากอากศ ลุงเฉียนเดินมาถึงหน้าบ้านพักแห่งนึง
ข้างนอกบ้านพัก มีคนสูงอายุคนนึงกำลังนั่งขี้เกียจอยู่บนเก้าอี้โยก นอนพักอยู่อย่างสงบ
“ฝนหยุดแล้ว” ท่านลู่มองไปยังลุงเฉียน แล้วหัวเราะออกมา “คืนนี้ พวกแกคงยุ่งกันน่าดู?”
ลุงเฉียนพยักหน้า แล้วพูดว่า “คนทีต้องการจะช่วยแก มีเยอะมาก”
“นั่นสิ ฉันก็แก่จนปูนนี้แล้ว แต่ก็ยังมีค่าอยู่เยอะ พายุในคืนนี้ได้ผ่านไปแล้ว พวกแกก็พักผ่อนให้ดีๆล่ะ เชื่อว่าพายุที่เข้ามาในวันพรุ่งนี้ จะต้องรุนแรงกว่านี้แน่”
“เจ้ารองเฉียน อยู่ที่นี่ฉันค่อนข้างจะอยู่อย่างสุขสบาย แกอย่าส่งฉันกลับไปเด็ดขาดล่ะ” ใบหน้าของท่านลู่เต็มไปด้วยความดุร้าย ภายในน้ำเสียง มีทั้งความเย่อหยิ่งและความรู้สึกไม่สบายใจ
ท่านลู่รู้ตัวดี คนของสถานตากอากาศ ไม่มีใครกล้าฆ่าเขา
และถ้าเกิดตัวเองอยู่ที่นี่นานหนึ่งวัน งั้นปัญหาในสถานตากอากาศ ก็จะมากขึ้นหนึ่งวัน
“วางใจได้ ก่อนที่หลอซ่าจะกลับมา แกต้องอยู่ที่นี่อยู่ตลอด” ลุงเฉียนพูดพร้อมเสียงหัวเราะ
“หลอซ่า?”
พอได้ยินชื่อนี้ ใจของท่านลู่ ก็รู้สึกสั่นไหวขึ้นมาทันที
ข้างในสมองของท่านลู่ ยังคงจำชายวัยกลางคนนั้นได้ดี เพื่อผู้หญิงคนเดียว เขาไล่ฆ่าคนมาจนถึงชั้นใต้ดินสโมสรเจียงหนาน ด้วยตัวคนเดียว เขาถือมีดหนึ่งเล่ม ฆ่าคนอย่างบ้าคล้ำ ฆ่าจนแทบไม่เหลือแรงยืน แต่ก็ไม่ยอมล้มลงไป
แถม เขายังเดินออกไปได้แบบมีชีวิต
เงาของคนๆนั้น จนถึงตอนนี้ท่านลู่ก็ยังจำได้ดี
หลอซ่า!
ท่านลู่นับถือหลอซ่าเป็นอย่างมาก นับถือจากใจจริง
“เขาแข็งแกร่งมาก เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา แต่ว่า สังคมนี้ ความแข็งแกร่งที่แท้จริง ไม่ใช่การที่คนๆเดียวสามารถสู้ได้หลายคน แต่เป็นเบื้องหลังของเขามีอำนาจมากขนาดไหน”
“อย่างเช่นฉัน แกรู้ไหมฉันและตระกูลของฉัน ติดหนี้ธนาคารเท่าไหร่? มากกว่าห้าหมื่นล้าน ถ้าเกิดฉันเป็นอะไรขึ้นมา ฉันคิดว่าภายในเมืองเอก คงต้องมีคนที่ร้อนรนจนแทบเป็นลม”
“เพราะงั้น ตระกูลของฉันจะทำทุกวิธีทางเพื่อช่วยฉันออกไป และคนที่อยู่ในเมืองเอก ก็จะทำทุกวิธีเพื่อช่วยฉันเหมือนกัน แรงกดดันที่พวกแกต้องเผชิญ มันยิ่งใหญ่มาก”
ท่านลู่หัวเราะแล้วพูดว่า “ความจริงชีวิตนี้ฉัน ก็ใช้ชีวิตจนพอใจแล้ว”
“ต่อให้ต้องตายในตอนนี้ ฉันก็ไม่มีอะไรที่ให้เสียดาย”
“คนๆนึงยิ่งพูดว่าตัวเองไม่กลัวตาย แต่ในความเป็นจริง ภายในใจของเขา ก็ยิ่งกลัวตายมากเท่านั้น” ลุงเฉียนหัวเราะ แล้วพูดว่า “ท่านลู่ ฉันรู้ดีว่าแกกลัวตาย”
“ฉันใกล้จะแปดสิบแล้ว ยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกสักกี่ปีกัน?”
“นั่นสิ ชีวิตที่เหลืออยู่ของแก คงมีไม่มากแล้ว เพราะงั้น แกจึงรู้คุ้นค่าของชีวิตมากกว่าพวกเราทุกคน” ลุงเฉียนหันไปมองท่านลู่ แล้วพูดอย่างหมดเปลือก “ความจริงแล้ว แกโคตรอยากจะออกไปเลยถูกไหม?”
“การที่แกมานั่งอยู่ข้างนอก นั่นก็เพราะว่าอยู่ข้างในแล้วมันนอนไม่หลับถูกไหม?”
“ใช่แล้ว สถานที่ไม่คุ้นเคย มันทำให้ข่มตาหลับได้ยากจริงๆนั่นแหละ”
ลุงเฉียนหัวเราะแล้วพูดว่า “ความจริง ฉันสามารถปล่อยแกไปได้ ขอแค่ แกยอมบอกสิ่งที่แกรู้ทั้งหมด ให้กับฉัน”
“แกอยากจะรู้เรื่องอะไร?” แววตาทั้งคู่ของท่านลู่ จ้องมองลุงเฉียนอย่างเอาเป็นเอาตาย “บางทีฉันอาจจะถามตรงเกินไปสักหน่อย เป้าหมายที่พวกแกจับฉันมา มันคืออะไร?”
“รายชื่อแขกชั้นใต้ดินที่สามและชั้นใต้ดินที่สี่ของสโมสรเจียงหนาน และเรื่องที่แกรู้ทั้งหมด หลักฐานที่เอาผิดพวกเขาได้ เขียนมาให้ฉัน แล้วฉันก็จะปล่อยตัวแกไป” ลุงเฉียนพูด
“พวกแกบ้าไปแล้ว? คนพวกนั้น ไม่เพียงแค่พวกแก แม้แต่ฉัน ก็ไม่กล้าล่วงเกิน ถ้าเกิดฉันเขียนเรื่องพวกนี้ออกมา เกรงว่าทั้งตระกูลลู่ของพวกเรา คงต้องล่มสลายแน่”
“บ้าไปแล้ว พวกแกมันบ้าไปแล้วจริงๆ คิดจะแก้แค้นคนพวกนี้ ฮ่าๆ? สามปีก่อน พวกแกยังมีปัญหาไม่ใหญ่พออีกรึไง? จากเมืองเอก ถูกไล่ฆ่าจนถึงนอกประเทศ แม้ตอนอยู่นอกประเทศ ก็คงไม่เคยมีชีวิตอยู่อย่างสงบถูกไหม?”
“ทั้งๆที่พวกแกก็เข้าใจดีว่าพวกเขามีอำนาจขนาดไหน ทำไมยังต้องไปมีเรื่องกับพวกเขาอีก? สามปีมานี้ พวกเขาก็เกือบจะลืมพวกแกไปหมดแล้ว ขอแค่พวกแกอย่าไปหาเรื่องใส่ตัวอีก คิดว่า พวกเขาก็คงไม่ทำอะไรพวกแกอีก” ท่านลู่พูด
“พวกเขาเริ่มลืมแล้ว แต่พวกเราไม่”
“ระหว่างที่หลบหนี เหล่าพี่น้องของพวกเราทั้งชายและหญิงต่างก็ล้มตายไปมากมาย คนพวกนั้น ก็เหมือนกับคนในครอบครัวของพวกเรา”
“ถ้าเกิดพวกเราหวาดกลัวฐานะของพวกเขา จนไม่กล้าไปแก้แค้น งั้นถ้าเกิดวันนึงตายขึ้นมา จะไปมองหน้าเหล่าพี่น้องที่ตายไปได้ยังไง?”
ลุงเฉียนพูด “เลือด จะให้ไหลออกมาอย่างเปล่าประโยชน์ไม่ได้”
“หนี้แค้นนี้ คงมีแต่ต้องล้างด้วยเลือด” ลุงเฉียนพูด
“เลือดต้องล้างด้วยเลือดช่างเป็นประโยชน์ที่สวยงามซะจริงๆ ฮ่าๆ เจ้ารองเฉียน โตขนาดนี้แล้ว ทำไมยังมีความคิดเด็กน้อยแบบนี้อีก ไม่ต้องพูดถึงพวกเขา เอาแค่ฉันก่อน หลายปีมานี้ มือของฉันไม่รู้เปื้อนเลือดมามากเท่าไหร่ แต่ว่า ก็ไม่มีใครมาล้างแค้นฉัน? ใครมีอำนาจพอที่จะบีบให้ฉันชดใช้ได้ล่ะ?”
“ถ้าเกิดการฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ฉัน แก ชายหญิงคู่นั้นที่จับฉันมา……มีใครบ้าง ที่ไม่ต้องชดใช้?”
“คนแข็งแกร่งย่อมถูกเสมอ ฟังคำเตือนของฉัน คนพวกนั้น ไม่ใช่สิ่งที่พวกแกจะสามารถต่อกรได้ ถ้าเกิดพวกแกไปยั่วโมโหพวกเขาอีก ผลสุดท้าย ภาพเมื่อสามปีก่อน จะต้องเกิดขึ้นอีกครั้งแน่”
“ปล่อยฉันไป พวกแกหยุดแค่ตรงนี้ก็ยังไม่สาย” ท่านลู่พูด
“แกกำลังหวาดกลัวอยู่เหรอ?” ลุงเฉียนมองไปยังท่านลู่ แล้วพูดพร้อมกับหัวเราะ “หลังจากที่รู้เป้าหมายของพวกเรา แกคงจะกลัวขึ้นมา? ถ้าเกิดแกบอกความลับของพวกเขาออกมา งั้นแก ก็จะตกเป็นเป้าสายตาของพวกเขา และถ้าเกิดแกไม่พูด พวกเราก็จะไม่ยอมปล่อยแกกลับไป”
ท่านลู่ส่ายหัว “แกคิดว่าพวกเขา จะจัดการได้ง่ายๆแบบนั้นเหรอ?”
“ต่อให้ฉันจะบอกหลักฐานที่ใช้เอาผิดพวกเขาได้ พวกแกคิดว่า พวกเขาจะถูกจับรึไง?”
“อีกอย่าง พวกแกคิดว่าฉันจะยอมบอกรึไง? ฉันบอกแล้ว ไม่เพียงแค่ฉัน ตระกูลของฉัน ก็ต้องรับผลกระทบไปด้วย ฉันยอมรับ ฉันกลัวตาย แต่ถ้าเกิดให้ฉันเลือกระหว่างตัวเองกับคนในตระกูลล่ะก็ ฉันก็ขอเลือกตระกูลของฉัน การเสียสละเล็กๆน้อยๆแค่นี้ ฉันเองก็มี”
ท่านลู่พูดต่อ “ถ้าเกิดก่อนที่หลอซ่าจะกลับมา ฉันยังไม่ถูกช่วยออกไปล่ะก็ งั้นฉันก็จะฆ่าตัวตาย”
ท่านลู่หันหน้ากลับไป จ้องมองลุงเฉียนด้วยแววตาที่เย็นชา
“ฉันเชื่อว่าแกทำได้แบบที่พูด” ลุงเฉียนหัวเราะ แล้วพูดออกมา
“ที่ฉันบอกแกเรื่องพวกนี้ ไม่ได้หวังให้แกฆ่าตัวตาย ฉันแค่อยากให้แกใช้เวลาหลายวันนี้ลองทบทวนให้ดีๆ ลองคิดดูว่าพวกเขาเหลือหลักฐานอะไรที่สามารถเอามาใช้ได้บ้าง คิดให้ดีๆว่าจะร่วมมือกับพวกเรายังไง แล้วโค่นล้มพวกเขาด้วยกัน” ลุงเฉียนพูด
“พวกแกมันบ้า ทำไมถึงไม่เข้าใจ พวกเขาไม่มีทางถูกโค่นล้ม”
“พวกแกคิดว่าพวกแกเป็นใครกัน? ในสายตาพวกเขา พวกแกก็แค่คนธรรมดา มีค่าเท่ากับมดตัวนึง” ท่านลู่พูดด้วยความโกรธ
“ใช้แล้ว พวกเราเป็นมด”
ลุงเฉียนพยักหน้า แล้วพูดว่า “เพียงแต่ว่า พอหลอซ่ากลับมา ก็จะไม่เหมือนเดิมอีก รู้ไหมว่าหลอซ่าไปทำอะไร?”
“ไปทำอะไรล่ะ?” ท่านลู่ถามหาคำตอบ
“เขาไปเพิ่มอำนาจให้กับตัวเอง พอหลอซ่ากลับมาอีกครั้ง ฐานะของเขา ก็จะไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาจะได้รับสิทธิ์ในการยกเว้นโทษหนึ่งหรือสาม ถึงตอนนั้น ขอแค่ในมือพวกเรามีหลักฐาน งั้นหลอซ่าก็สามารถเคลื่อนไหวได้ในทันที ด้วยไม่จำเป็นต้องทดสอบ” ลุงเฉียนพูด
พอลุงเฉียนพูดจบ ใบหน้าของท่านลู่ ก็เปลี่ยนไปแป๊บนึง ดูเหมือนว่า เขาไม่ค่อยเชื่อคำพูดของลุงเฉียนสักเท่าไหร่
“สิทธิ์ในการเว้นโทษ?” ท่านลู่มองลุงเฉียนด้วยความตกใจเล็กน้อย
ลุงเฉียนพยักหน้า แล้วพูดว่า “ถูกแล้ว ถ้าเกิดพวกเราไม่มีไพ่ตายอะไรเลย แน่นอนว่าต้องไม่กล้ายุ่งกับคนพวกนั้น หรือแม้กระทั่งกับแกก็ไม่กล้าแตะต้อง”
“พวกเราไม่ใช่คนโง่ พวกเรายิ่งไม่โง่เหมือนเมื่อสามปีก่อน”
“สามปีก่อน พวกเขายืนอยู่เบื้องหลัง แล้วปั้นหัวพวกเราอย่างสนุกสนาน”
“บทเรียนจากสามปีก่อน มันหนักหนามาก”
ลุงเฉียนพูดต่อ “เพราะงั้น พวกเราจึงเอาบทเรียนนั้นมาใช้”
“พวกเรารู้ฐานะของพวกแกดี คิดจะต่อกรกับพวกแก เกรงว่า จะต้องถอนตั้งแต่รากฐาน”
“ความจริง หลอซ่าก็แข็งแกร่งมากแล้ว ตอนนี้เขา แข็งแกร่งพอที่จะบุกเข้าไปที่นั่นได้แล้ว ไม่แน่บางทีอาจจะ ฆ่าคนพวกนั้นได้ แต่ว่า การฆ่าพวกเขา ไม่มีประโยชน์อะไร การฆ่าพวกเขาไปเลย มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”
“พวกเราไม่เพียงแค่ต้องการฆ่าไอ้แก่พวกนั้น แถมหลังจากที่ฆ่าพวกเขาแล้ว ยังต้องการให้ตระกูลของพวกเขา เงียบปาก”
ลุงเฉียนพูดต่อ “นี่ตั้งหากถึงจะเป็นผลลัพธ์ที่พวกเราต้องการ”
หลังจากฟังจนจบ ใบหน้าของท่านลู่ ก็เต็มไปด้วยความหนักอึ้ง
สิ่งที่ลุงเฉียนพูดออกมา ต่อให้เป็นท่านลู่ ก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
“หลอซ่าเป็นแค่คนธรรมดา เขาจะทำได้จริงๆเหรอ?” ท่านลู่ถามออกไป ด้วยไม่เชื่อสักเท่าไหร่