“ฆ่าเพชฌฆาตของตระกูลซูน แต่ว่าตระกูลจูเก่อ คนของตระกูลจูเก่อต่อให้จะโง่มากแค่ไหน ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำตามความต้องซุนจิ้นรึเปล่า? พวกเขากลัวซุนจิ้นต่างหาก แล้วจะทำตามความต้องการได้ยังไง!”
“คนที่ทำให้ตระกูลจูเก่อเชื่อฟังที่แท้จริง คือจูเก่อชื่อ ซึ่งก็คือท่านซุน”
ส้าวส้วยหัวเราะในลำคอ:“คุณท่านตงฟาง นายคิดว่าตนเองสามารถวางแผนทำร้ายทุกคน ทว่าคงคิดไม่ถึงใช่ไหม ท่านซุนรู้ตัวตนที่แท้จริงของนายมานานแล้ว”
“ท่านซุน เป็นคนบอกพี่ใหญ่ ว่านายคือคนที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง แต่ว่า พี่ใหญ่ไม่เชื่อก็เท่านั้น”
“เพราะถึงอย่างไร นายก็เป็นคนให้ทุกอย่างกับพี่ใหญ่ เป็นคนนำทางในชีวิตของเขา เขาต้องไม่เชื่ออ่างแน่นอน ว่านายจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังคอยลอบทำร้ายเขา”
“รู้ไหมทำไมฉันถึงยังมีชีวิตอยู่?”
ส้าวส้วยขมวดคิ้วเป็นปม พร้อมกับพูด:“ตอนสุดท้าย พี่ใหญ่และฉันแยกกันเดินทางเป็นสองทาง แต่ฉันไม่ยอม เขาบอกกับฉัน เขาต้องไปพิสูจน์เรื่องหนึ่ง”
“ถ้าพวกเราสามารถไปรวมตัวกันได้อย่างราบรื่น ถ้าอย่างนั้น นายก็ไม่ใช่คุณท่านตงฟางแล้ว”
ขณะพูด จ้องมองไปที่ท่านจวน พูดด้วยแรงสังหาร:“แต่ว่า เขาพบเจอกับเรื่องไม่คาดคิด”
“ที่ตรงนั้น มีคนชื่อทาเฟย เขาเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของนาย ใช่ไหม? ก่อนหน้านี้ เขาเคยมาเมืองเอกหนึ่งครั้ง ทั้งยังทำความรู้จักกับพี่ใหญ่”
“พี่ใหญ่ เข้าไปในถิ่นของทาเฟย อยู่ที่นั่นหนึ่งวัน แต่ว่า ตอนที่พี่ใหญ่เพิ่งออกไป เขาก็ถูกลอบทำร้าย คนที่ลอบทำร้าย ถ้าฉันเดาไม่ผิดละก็ คนๆ นั้นก็คือทาเฟย”
“แล้วคนที่บงการอยู่เบื้องหลัง ก็คือนายใช่ไหม”
ขณะที่ส้าวส้วยพูด เขาก็หยิบนาฬิกาข้อมือสีทองออกมาหนึ่งเรือน:“ฉันเอานี่มาจากมือของทาเฟย”
“นายฆ่าทาเฟยแล้ว?”
ท่านจวนเบิกตากว้าง
อำนาจของทาเฟย กว้างใหญ่อย่างมาก ถึงขั้นมีคนในองค์กรกว่าพันคน
อีกทั้ง ในมือของพวกเขา มีอาวุธปืน
คนที่ชื่อทาเฟยคนนี้ เป็นคนที่ไม่สามารถมีเรื่องด้วยได้ แม้แต่ประเทศที่เขาอยู่อาศัย ก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
แต่ว่า……
ส้าวส้วยพยักหน้า แล้วพูด:“หรือว่า นายคิดว่าฉันควรจะปล่อยเขาไหม?”
ส้าวส้วยพูดเสียงเยือกเย็น:“ถึงแม้เขาจะไม่ยอมรับ ว่าเขาเป็นคนลอบทำร้ายพี่ใหญ่ แต่ว่า อยู่ในถิ่นของเขา เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นกับพี่ใหญ่ นอกจากเขาแล้ว ยังจะมีใครได้? ทุกคนไม่ใช่เด็กสามขวบ คิดว่าฉันโง่จริงๆ เหรอ?”
“อย่าว่าแต่รอบตัวเขามีคนนับพันคน ต่อให้มีหมื่นคน ฉันก็จะฆ่าเขา”
ส้าวส้วยหัวเราะเสียงเยือกเย็น:“ไม่ว่าใครที่ทำร้ายพี่ใหญ่ ฉันจะไม่มีวันปล่อยมันไป”
“แค่นายคนเดียวมีความสามารถในการทำเหรอ?”
ท่านจวนมองไปที่ส้าวส้วย:“นายมันใสซื่อเกินไปแล้ว”
“ต่อให้นายจะเก่งแค่ไหน นายจะหลบปืนนับสิบกระบอกได้เหรอ?” ท่านจวนส่ายหน้าเบาๆ
จากนั้น ท่านจวนถอยหลังหนึ่งก้าว มือปืนพวกนั้น เดินมาด้านหน้าหนึ่งก้าว
สีหน้าของมู่หรงฉางเฟิง ก็สับสนอย่างมาก
เขาคิดไม่ถึงว่า ตระกูลตงฟางที่ลึกลับที่สุด หัวหน้าตระกูล จะเป็นท่านจวน
เวลานี้ แววตาของมู่หรงฉางเฟิงที่มองไปทางท่านจวน นั้นแตกต่างจากเดิม”
“คุณท่านตงฟาง”
มองไปที่ท่านจวน มู่หรงฉางเฟิงพูดด้วยความเคารพ:“จะฆ่าเขาเหรอครับ?”
“นายลองทำดูได้”
ท่านจวนพูด เดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว เดินลงไปที่หุบเขา
ฝีเท้าของท่านจวน เร็วอย่างมาก ไม่เหมือนคนแก่ชราแม้แต่น้อย
ไม่นาน ท่านจวนก็ไปถึงตีนดอย
ปืนนับสิบกระบอก เล็งไปที่ส้าวส้วย แต่ไม่มีใครกล้ายิง
มู่หรงฉางเฟิง รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่าเวลานี้ ตนควรจะยิงปืนออกไป หรือควรจะเดินออกไป?
นายลองทำดูได้?
มู่หรงฉางเฟิงไม่ค่อยเข้าใจประโยคนี้สักเท่าไหร่
ให้ยิง หรือไม่ให้ยิง?
เวลานี้ ส้าวส้วยส่ายหน้าไปมา:“ถ้านายยังไม่ไปอีก นายก็จะไปไม่ได้แล้ว”
ทันทีที่ส้าวส้วยพูดจบ กลุ่มคน เดินขึ้นมาจากตีนดอย
ท่านลู่ ก็เป็นหนึ่งในนั้น
โดยมีแกนนำ คือท่านซุน ซึ่งก็คือจูเก่อชื่อ
ซุนจิ้นอยู่ด้านหลังท่านซุน ด้านหลังของเขา มีคนหลายร้อยคนติดตามมาด้วย
ทั้งหมดล้วนเป็นคนตระกูลจูเก่อ
คนมากมาย ขึ้นไปบนภูเขา ล้อมเอาไว้
บางทีท่ามกลางสี่ตระกูลใหญ่ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด นอกจากตระกูลตงฟางแล้ว ก็คือตระกูลจูเก่อ
สำหรับคนตัวเล็กที่ไม่มีความสำคัญอะไรอย่างมู่หรงฉางเฟิง ส้าวส้วยดูถูกที่จะฆ่า และไม่มีความจำเป็นต้องฆ่า
มู่หรงฉางเฟิงมองดูกลุ่มคนที่ดำมืด รีบพาคนของตน หนีไปจากที่เกิดเหตุ
และในเวลานี้เอง หลี่ฝางอุ้มหลิงหลง มาถึงสถานตากอากาศแล้ว หาหมอแล้ว
หลังจากวางหลิงหลงลง หลี่ฝางตามหาฉินวี่เฟยไปทั่วทั้งสถานตากอากาศ แต่ว่า ไม่เจออะไรทั้งนั้น
ภายในใจของหลี่ฝาง ก็ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น
ตอนที่หมาป่าละโมบและโฮจุนออกไป หลี่ฝางไม่เห็นฉินวี่เฟย
และในสถานตากอากาศ ก็ไม่มีศพของฉินวี่เฟย
ขณะที่หลี่ฝางกำลังร้อนใจแทบบ้า ทันใดนั้นเอง หมอเดินออกมา บอกกับหลี่ฝาง:“ไม่ต้องหาแล้ว เด็กผู้หญิงคนนั้นยังไม่ตาย”
“ยังไม่ตาย?” หลี่ฝางขมวดคิ้วเป็นปม แล้วถาม:“แล้วเธออยู่ที่ไหนครับ?”
“นอนในห้องลับของผม คุณควรจะขอบคุณหลิงหลง หลิงหลงยอมทำทุกอย่าง ช่วยชีวิตผู้หญิงคนนั้น มาจากพวกนักฆ่า”
หมอพูดขึ้น:“แต่ว่า ผู้หญิงคนนั้นตกใจมาก เธอไม่เคยเห็นภาพที่เต็มไปด้วยการนองเลือดแบบนั้น ผมเอายากล่อมประสาทให้เธอกินแล้ว คงนอนอีกสักพักหนึ่ง”
เมื่อหลี่ฝางได้ฟัง จึงโล่งอก
“โหจื่อเป็นยังไงบ้าง ลุงเฉียนเป็นยังไงบ้าง หลิงหลงบาดเจ็บสาหัสไหม??” หลี่ฝางถามชุดใหญ่
“ผมทำเต็มที่แล้ว หลิงหลงไม่ได้เป็นอะไรมาก เหมือนว่าอีกฝ่ายไม่ได้ลงมืออย่างหนัก เดาว่าคงแค่อยากจะจับตัวหลิงหลงไป เป็นภรรยาของหัวหน้ามั้ง ไม่อย่างนั้น หลิงหลงตายไปนานแล้ว ความสามารถของอีกฝ่าย เก่งกาจกว่าหลิงหลงมาก สำหรับโหจื่อ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะรอดชีวิตกลับมาได้ แต่ก็คงไม่กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน” หมอพูดอธิบายให้ฟัง
จิตใจของหลี่ฝาง ตกลงสู่ก้นบึ้งอีกครั้ง
“ลุงเฉียนล่ะ? เขา……” หลี่ฝางขมวดคิ้วเป็นปม มีความสิ้นหวังเพิ่มมากขึ้น
หมอไม่ได้ตอบคำถามเรื่องการบาดเจ็บของลุงเฉียน ต้องไม่ใช่เพราะพูดตกหล่นอย่างแน่นอน
แต่ว่า คำถามนี้ เขาไม่อยากตอบ
ดังนั้น หลี่ฝางรู้ ขืนถามต่อไป สิ่งที่ได้กลับมา ก็มีแต่ข่าวร้ายเท่านั้น
ทว่า หลี่ฝางก็หักห้ามใจที่จะถามไม่ได้
“เขามีโอกาสรอดน้อยมาก หัวใจของเขา มีรอยแตกร้าว อยากจะรักษากลับมา เป็นเรื่องที่ยากมาก เดิมที ลมปราณในตัวของเขาก็ไม่มีแล้ว โชคดี ตอนที่ผมศึกษายาปรับปรุงยีน ประสบความสำเร็จด้านการรักษาเล็กน้อย ตอนนี้ ทำให้ฟื้นตัวกลับมามีชีวิตได้ แต่ว่า จะตื่นหรือไม่นั้น ไม่สามารถพูดได้ เพราะถึงอย่างไร ทำให้ฟื้นคืนชีพแบบนี้ ผมทำไม่ได้”
“ผมไม่สามารถดึงกลับมาจากยมทูตได้ ลุงเฉียน ตอนนี้ถือว่าเป็นคนที่ตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว”
หลี่ฝางถามอย่างรู้สึกหายใจลำบาก:“ไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรอครับ?”
“อย่างน้อยตอนนี้ผมยังคิดหาวิธีไม่ได้” หมอพูด:“แต่ผมจะพยายามทำสุดความสามารถ บางทีหลังจากที่แม่ของคุณกลับมา เธออาจจะมีวิธีอะไรก็ได้ เพราะถึงอย่างไรตอนที่ศึกษาเรื่องยาปรับปรุงยีน ฉันเป็นแค่ผู้ช่วยของเธอเท่านั้น”
“เธอเคยพูดถึงน้ำปรุงอย่างหนึ่ง ที่ทำให้อวัยวะในร่างกาย เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง ถ้าสามารถศึกษาจนประสบความสำเร็จ บางที อาจจะสามารถรักษาซ่อมแซมหัวใจของลุงเฉียนได้”
หมอส่ายหน้า แล้วพูด:“แต่ว่า พวกเราทำการวิจัยมานานแล้ว แต่ยังคงวิจัยไม่สำเร็จ ส่วนร่างกายของลุงเฉียน ไม่สามารถอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่”
หัวใจของหลี่ฝางบีบรัด เหมือนถูกอะไรมาปิดกั้นเอาไว้ ทำให้เขาพูดไม่ออก
“ไม่มีความหวังอะไรแล้วเหรอครับ”
ดวงตาของหลี่ฝางเปียกชื้น เริ่มมองเห็นพร่ามัว
เริ่มตั้งแต่ที่ตงไห่ ลุงเฉียนสอนอะไรหลายๆอย่างกับหลี่ฝาง ในใจของหลี่ฝาง ลุงเฉียนเป็นเหมือนพ่อคนที่สองของตนเอง
หลอซ่าพูดไม่เก่ง มีหลายครั้งหลายเวลา เขาเพียงแค่ทำ แต่ไม่พูด ดังนั้นหลี่ฝางจึงรู้สึกโกรธเคืองพ่อของตนเอง ไม่มากก็น้อย
แต่ลุงเฉียน ทำให้ความโกรธเคืองที่อยู่ในใจหลี่ฝาง ค่อยๆหายไป
ในเวลานี้ ลุงเฉียนและท่านซุน มาถึงสถานตากอากาศ
ท่านซุนมองรอบๆสถานตากอากาศด้วยความรู้สึกผิด สูดดมกลิ่นคาวเลือดที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ขมวดคิ้วเป็นปม แล้วพูด:“ฉันมาช้าไปก้าวหนึ่ง”
“การที่ท่านซุนมาถึงที่นี่ได้ พวกเรารู้สึกซาบซึ้งมากแล้ว”
ส้าวส้วยพูด
หลังจากส้าวส้วยโทรหาท่านซุน ท่านซุนเพิ่งเริ่มเคลื่อนไหว การต่อสู้ในครั้งนี้ ท่านซุนไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยว
เดิมทีเขาอยากจะเพิกเฉย เพราะถึงอย่างไร นี่ก็เป็นสงครามการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
ถ้าเขาเข้าร่วม หลังจากตระกูลหลี่พ่ายแพ้ ถ้าอย่างนั้นตระกูลตงฟาง ตระกูลสุดท้ายที่จะจัดการ ต้องเป็นตระกูลจูเก่อของเขาอย่างแน่นอน
ทั้งยังทุ่มสุดตัวในการจัดการ
ท่านซุนอาจจะไม่กลัวตาย แต่ว่า เขาต้องรับผิดชอบชีวิตนับพันชีวิตในตระกูลจูเก่อ
ชายหญิงเด็กและคนชราในหมู่บ้านจูเก่อ ตายไม่ได้
ส้าวส้วยถามหมอถึงคำถามที่หลี่ฝางถามเมื่อครู่ หมอถอนหายใจ แล้วพูด:“คุณเข้าไปดูเองเถอะ ถึงอย่างไร ไม่ว่าผมจะพูดอะไร คุณก็จะเข้าไปดูด้วยตนเองอยู่ดี”
ส้าวส้วยเดินเข้าไปในบ้าน หลี่ฝางเองก็เดินตามเข้าไปช้าๆ
หลิงหลงนั่งอยู่บนเตียง เหมือนไม่ได้เป็นอะไรมากมาย แต่ว่าโหจื่อ ยังนอนอยู่ตรงนั้น ไม่แม้แต่จะลืมตา
แต่หลี่ฝางได้ยินเสียงหายใจของโหจื่อ
ส่วนลุงเฉียน เขานอนอยู่ตรงนั้น หายใจรวยรินมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่มากแล้ว
ตอนที่หมอเดินเข้ามา ส้าวส้วยขมวดคิ้วเป็นปมพร้อมกับถาม:“ลุงเฉียน……”
“ยังไม่ตาย ผมโทรศัพท์ติดต่อไปแล้ว เดี๋ยวน้ำเลี้ยงก็จะถูกส่งมา ร่างกายของลุงเฉียน ภายใต้การให้น้ำเลี้ยง สามารถอยู่ได้ประมาณสิบกว่าวัน อย่างน้อยก็ทำให้ ร่างกายของเขาไม่ทรุดหนักไปกว่าเดิม แต่หลังจากผ่านสิบกว่าวันนี้ไป ผมไม่สามารถรับประกันได้”
หมอส่ายหน้า มองส้าวส้วย:“พี่สะใภ้ใหญ่จะกลับมาเมื่อไหร่?”
ส้าวส้วยไม่ได้ตอบคำถาม คล้ายว่าไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
ไม่นาน ท่านซุนเดินเข้ามา เขามองไปที่ลุงเฉียน นานครึ่งวันโดยไม่พูดอะไร
เมื่อสามปีก่อน ท่านซุนและลุงเฉียนสู้กันอยู่นั้น มีทั้งแพ้ชนะ เพียงแต่เวลานั้น ท่านซุนเป็นคนวางแผนให้ท่านจวน
ท่านซุนมองส้าวส้วย พูดด้วยความไม่เข้าใจ:“ในเมื่อจวนยอมรับสารภาพแล้วว่าเขาคือคุณท่านตงฟาง ทำไมนายถึงยังปล่อยเขาไป”
ท่านซุนรู้ ส้าวส้วยฝึกฝนจนมีกำลังภายในแล้ว
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่านซุนลงมือ
ส้าวส้วยส่ายหน้าไปมา แล้วพูด:“ผมไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้”
สีหน้าของท่านซุน แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ท่านซุนจึงเอ่ยถามส้าวส้วย:“หรือว่าคุณท่านตงฟาง เขาเองก็……”
“มีชั่วขณะหนึ่ง ผมสามารถสัมผัสได้ถึงลมปราณ(ปราณ)ของเขา ลมปราณของเขา ไม่น้อยไปกว่าผม ความเป็นจริงที่พี่ใหญ่ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของคุณท่านตงฟาง ยังมีอีกหนึ่งเหตุผล ซึ่งก็คือ ความสามารถของเขา ไม่น้อยไปกว่าพี่ใหญ่” ส้าวส้วยพูด
ท่านซุนสูดลมหายใจเย็น ยากจะเชื่ออย่างเห็นได้ชัด
“เขาแข็งแกร่งมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” ท่านซุนถามด้วยความตกใจ
“อย่าลืมสิ วรยุทธ์ของพี่ใหญ่ในอดีต มีครึ่งหนึ่ง เขาเป็นคนสอน จิ้งจอกชราเจ้าเล่ห์คนนี้ ฝึกฝนการต่อสู้มาตลอดชีวิต อีกทั้งสามปีที่ผ่านมานี้ เขายังซ่อนตัวอยู่ในภูเขาหลง แน่นอนว่าไม่มีวันอยู่เฉยๆเพื่อรอความตาย ไม่ว่าผมหรือพี่ใหญ่ ล้วนอาศัยพลังภายนอกจนจะฝึกฝนกำลังภายในได้สำเร็จ แต่ไอ้แก่นั่นไม่เหมือนกับพวกเขา กำลังภายในที่เขาฝึกฝนนั้น ล้วนอาศัยตนเอง”
ส้าวส้วยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูด:“ผมจะไปหาเขาแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
หลี่ฝาง โหจื่อ ลุงเฉียนคนพวกนี้ ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย
วันนี้ ส้าวส้วยเป็นเสาหลักของคนพวกนี้ ถ้าหากส้าวส้วยพ่ายแพ้ คนพวกนี้ จะไม่มีใครรอดชีวิต
คนที่อยู่เบื้องหลังส้าวส้วย มีมากมายเหลือเกิน
ดังนั้น ถ้ายังไม่มีความมั่นใจ เขาไม่มีวันลงมือง่ายๆ
เขาเพิ่งกระจ่างแจ้งถึงการมีอยู่ในการปล่อยพลัง แตกต่างกันท่านจวน เขาอาจจะหนึ่งปีก่อน หรือสองปีก่อน ก็กระจ่างแจ้งแล้วก็ได้
นอกจากอายุของส้าวส้วยที่น้อยกว่าท่านจวนแล้ว เขาไม่มีข้อได้เปรียบอะไรอีกเลย
การลงมือบุ่มบาง มีแต่จะทำให้ท่านจวน เปิดเผยอย่างเต็มที่
ไม่เพียงแต่เปิดเผยตัวตนของคุณท่านตงฟาง ทั้งยังเปิดเผยความลับของยอดฝีมือกำลังภายในของเขา
เวลานี้ ส้าวส้วยหันไปมองหลี่ฝางอย่างมีเลศนัย:“คุณชาย ตั้งแต่วินาทีนี้ ผมจะสอนวรยุทธ์ให้คุณชายเอง”
NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 793 ยังมียอดฝีมือกำลังภายใน?
Posted by ? Views, Released on September 29, 2021
, NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง
พ่อแม่ที่หายตัวไปหลายปีจู่ๆ ก็โทรมา บอกว่าตัวเองเป็นบุคคลที่รวยที่สุดของดูไบ………….
Recommended Series
Comment
Facebook Comment