ตอนที่ 100-1 บทคุยคั่น ทฤษฎีของการไม่รู้ในทุกสรรพสิ่ง
“เทพผู้พิทักษ์..เป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่เกินกว่าภูมิปัญญาของมนุษย์จะหยั่งถึงงั้นหรือ?”
สิ่งที่พวกเขาเห็นในตอนนี้ ก็คือร่างสถิตของเทพโอสถที่มีนามว่า ฟาร์มา เดอ เมดิซิส ซึ่งกำลังลอยอยู่ภายในวงเวทสามมิติที่เรียกกันว่าวงแหวนแห่งเทพโอสถ
มันคือสถานแห่งการทดลองวงเวทที่อยู่ภายใต้มหาวิหารแห่งนครศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสร้างมาเพื่อเทพโอสถโดยเฉพาะและยังมีการป้องกันเหตุไม่คาดคิดด้วย โครงสร้างที่แข็งแกร่งในการรับมือกับศาสตร์แห่งเทพ
ในตอนนี้ตัวของฟาร์มากำลังดำเนินการสร้างยาอยู่ภายในวงแหวนแห่งเทพโอสถ
วงแหวนแห่งเทพโอสถนั้นเป็นพื้นที่ในการทดลองที่มีรูปร่างเป็นทรงเรขาคณิต การมีอยู่ของฟาร์มา เดอ เมดิซิสนั้นทำให้อนุภาคของแสงเข้าไปรวมตัวกันภายในวงเวทนั้นจนจ้าออกมาให้คนรอบนอกเห็น แม้จะไม่ใช่เหล่านักบวชก็ยังทราบว่าพิธีกรรมดังกล่าวกำลังเหมือนจะกัดกินร่างกายของฟาร์มาอยู่
บิดาของร่างสถิตได้ทำการจ้องมองดูเขาในขณะที่เขากำลังก้าวเข้าสู่ห้วงอาณาจักรแห่งเทพ
บรูโน เดอ เมดิซิส ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแพทย์โอสถผู้ใช้ศาสตร์ต้องห้ามชื่อก้องโลก
“ร่างกายของท่านกำลังทรุดลงอย่างรุนแรง…จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือครับ?”
“ท่านจะต้องเจ็บปวดขนาดไหนกันนะ”
“แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา”
บริเวณข้างๆ ห้องสำหรับการทดลองนั้นถูกกั้นไว้ด้วยศาสตร์แห่งเทพที่สลักเอาไว้ภายในคริสทัลซึ่งภายในนั้นมีนักบวชหลายคนกำลังสังเกตผลลัพธ์ที่ได้ในการสังเคราะห์โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ โดยวิเคราะห์จากลักษณะที่เกิดขึ้นภายในวงเวทที่ฟาร์มาสร้าง
“เพราะท่านเทพโอสถกล่าวไว้ว่าท่านต้องการจะขับไล่เหล่าวิญญาณร้ายให้หมดไปจากโลกใบนี้ด้วยโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์นี่นา”
“นั่นก็คงจะเป็นเพราะเมืองหลวงจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟถูกโจมตีโดยพวกวิญญาณร้ายมาก่อนนี่นา ท่านก็คงจะนิ่งนอนใจไม่ได้อีกแล้ว”
“ทั้งที่ท่านสามารถหนีไปได้โดยง่ายแต่ทำไมท่านถึงไม่ทำกันนะ ทั้งหมดก็เพื่อจะปกป้องครอบครัวหรือคนรู้จักชั่วคราวของท่านเท่านั้นเองหรือ…”
ความเงียบเข้ามาปกคลุมพื้นที่โดยรอบ ไม่มีใครตอบคำถามของนักบวชระดับสูงคนนี้ได้
แต่ผู้ที่ทำลายความเงียบนั้นก็คือจูเลียน่าที่ตอบออกมาอย่างกล้าหาญ
“หากเจอใครเดือดร้อนท่านก็อย่างช่วยเหลือตามประสามนุษย์ทั่วไปเท่านั้นเองค่ะ”
“แค่นั้นเองน่ะเหรือ?”
“มันเป็นแรงจูงใจที่เรียบง่ายและบริสุทธิ์เช่นนั้นแหละค่ะ”
จูเลียน่าพูดขณะนึกถึงคำพูดของฟาร์มา
“ท่านมักจะบอกเสมอว่าท่านยังคงมีหัวใจเป็นมนุษย์ค่ะ”
“…เทพผู้พิทักษ์ที่คิดว่าตนเป็นมนุษย์งั้นหรือ? ช่างน่าแปลกจริงๆ”
“เพราะท่านไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นเทพผู้พิทักษ์มาตั้งแต่แรกนี่คะ ก็เลยไม่ได้สนใจพวกศาสตร์แห่งเทพผู้พิทักษ์ด้วย ลองคิดดูสิคะว่าหากท่านรู้ตัวเองแรกว่าตนเป็นใคร ท่านก็คงจะเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งเทพผู้พิทักษ์ไปนานแล้ว”
เหล่านักบวชบางคนที่ได้ยินก็คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ไม่อาจจะหัวเราะออกมาได้
แม้บรรยากาศจะเปลี่ยนไป จูเลียน่าก็ยังคงจะพูดต่อ
“จะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ทางพวกเราล่ะคะ คิดจะตอบแทนท่านอย่างไรกันบ้าง? ท่านจุติลงมาบนโลกใบนี้เพื่อช่วยเหลือผู้คนและอุทิศตนให้กับการเยียวยาผู้ป่วย ยอมเจ็บปวดเพื่อผู้อื่นท้ายที่สุดท่านก็ยังยอมเผชิญหน้ากับฟันเฟืองที่อาจจะทำให้ท่านหายไป หากมองมุมนี้ไม่ใช่ว่าพวกเราเอาแต่แสวงหาผมประโยชน์จากท่านเท่านั้นหรือคะ?”
ด้วยอารมณ์ท่วมท้นที่ออกมาจากคำพูดของเธอทำให้เธอน้ำตาไหลออกมาและนั่งลงไปกับพื้น
“ฉันก็ได้แต่หวังให้โลกที่มีเทพโอสถซึ่งเข้าใจในจิตใจของผู้คน ที่แข็งแกร่งและแสนดีคงอยู่ต่อไปอีกนานนับร้อยนับพันปี เทพผู้พิทักษ์อย่างท่านคงไม่มีวันปรากฏออกมาให้เราเห็นอีกแน่ค่ะ…เราก็ควรจะปกป้องเขาด้วยสิคะ”
จูเลียน่าร้องขอเหล่านักบวชด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“เราควรจะรักษาการมีอยู่ของท่านให้มากกว่านี้จะไม่ดีกว่าหรือคะ?”
การอยู่ร่วมกันในระยะยาวนั้นจำเป็นต้องมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียมระหว่างมนุษย์และเทพผู้พิทักษ์
มันเป็นความคิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับพวกคาร์ดินัลที่รู้ถึงการมีอยู่ของฟันเฟืองในอดีต
“การปกป้องเทพผู้พิทักษ์งั้นหรือ…ไม่ใช่สิ่งที่ข้าเคยคิดมาก่อนจริงๆ นั่นแหละ”
***
เดือน พฤษภาคม ปี 20xx
「ไง นากาจิมะ นี่ก็ผ่านไปปีหนึ่งแล้ว น้ำหนักลดลงไปเยอะเลยนี่」
「ไม่หรอกน่า นายต่างห่างยาคุทานิ…สบายดีหรือเปล่า ฉันว่าสภาพนี้นายควรไปตรวจสุขภาพสักหน่อยนะ ไม่ดูแลตัวเองตั้งแต่ยังหนุ่มแบบนี้ระวังจะไม่ได้ตายตอนแก่เอานะ」
「ม่า ช่วงนี้มันยุ่งก็เลยไม่ได้นอนน่ะ ถ้าได้พักสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้นเองว่าแต่นายเถอะเป็นไงบ้าง?」
เพื่อนร่วมรุ่นก็ทำได้แค่แสดงสีหน้าเหนื่อยล้าออกมา พอเห็นยาคุทานิที่สภาพแย่กว่าตนมาห่วงสุขภาพตน
เพื่อนของเขาเป็นอาจารย์สอนวิชาทฤษฎีฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยที่อเมริกาซึ่งกำลังกลับมาพักที่ญี่ปุ่นเป็นการชั่วคราว พวกเขาก็เลยนัดกันไปทานข้าวกลางวันที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย
เขาเป็นเพื่อนของยาคุทานิมาตั้งแต่สมัยอยู่สโมสรฟุตบอลของมหาวิทยาลัย
「เฮ้อ ถ้าญี่ปุ่นมันก็ต้องราเม็งนี่แหละน้า! ไม่ว่าจะห่วยแค่ไหน มันก็เข้าท่ากว่าที่นั่นเยอะ」
「โทษทีนะ พอดีฉันมีคลาสช่วงบ่ายไม่งั้นก็คงพานายไปร้านดีๆ ได้แล้ว」
「เอาน่า ฉันเข้าใจ」
นากาจิมะพูดถึงการใช้ชีวิตของการวิจัยและเรื่องในชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข ในขณะที่ซดราเม็งไปทั้งน้ำตา เขาต้องการจะยัดมันให้ได้มากที่สุดก่อนที่ตนจะกลับไปอเมริกา จะไปว่าเขาก็เป็นพวกชอบพกปากกากับกระดาษไปไหนมาไหนด้วยเผื่อระหว่างทางเขานึกถึงสูตรทางคณิตศาสตร์ออกจะได้เขียนได้ในทันที ไม่ว่าจะที่ม้านั่งในสวนสาธารณะไปจนถึงห้องน้ำ
ส่วนชีวิตของยาคุทานิตอนนี้ก็เรียกได้ว่าพังพอสมควร การใช้ชีวิตของเขาไม่ต่างไปจากฤๅษี
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ยาคุทานิก็ถูกทักขณะจัดการกับจานเนื้อสลัดของตน
「จะว่าไปฉันไปเจอนักเรียนที่น่าสนใจคนหนึ่งด้วย เขาเชื่อในทฤษฎีการออกแบบอย่างชาญฉลาดทั้งที่ตัวเองเป็นนักเรียนสาขาฟิสิกส์แท้ๆ ฉันก็เลยได้ถกเถียงกันซะสนุกเลย」
「ก็นะ ความเชื่อในเรื่องแบบนี้ก็ใช่จะจำกัดอยู่กับแค่คนญี่ปุ่นสักหน่อยนี่เนอะ」
ทางยาคุทานิไม่ค่อยแปลกใจนัก ก่อนจะจิบชาต่อด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
「ไอ้ฉันก็คิดแท้ๆ ว่าฟิสิกน์เนี่ยแหละที่จะขับไล่การมีอยู่ของตัวตนอย่างพระเจ้าออกไปได้ แต่เหมือนจะไม่ใช่แฮะเพราะตอนนี้ก็ยังมีนักฟิสิกน์พยายามค้นหาถึงตัวตนของพระเจ้าอยู่ นี่มันย้อนแย้งแปลกๆ ไหมเนี่ย」
「แม้แต่นักวิจัยด้านวิวัฒนาการก็ยังบอกเลยว่าพวกเขามีความเชื่อ」
สมัยที่เขาเรียนป.โทอยู่ที่อเมริกา ขนาดนักศึกษาแพทย์และเภสัชก็ยังมีแนวคิดเช่นนี้อยู่ แน่นอนว่าถึงพวกเขาจะมีความเชื่อในด้านนี้ แต่พวกเขาก็สามารถประนีประนอมกับวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี และเชื่อในหลักการโดยไม่มีข้อแย้งใดๆ อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในงานวิจัยเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย
「ทางนายล่ะยาคุทานิ นายเชื่อเรื่องพวกนี้ไหม」
「ฉันก็ไม่ได้เชื่อพวกพระเจ้าอะไรนั่นหรอก วิทยาศาสตร์คือแรงขับเคลื่อนหลักของฉัน ถึงจะน่าเสียดายไปบ้างแต่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่มันก็ไม่ได้มีที่ให้กับพระเจ้าจริงๆ นั่นแหละ แต่ถ้ามองในมุมคนทั่วไปแล้วการมาถึงของวิทยาศาสตร์มันก็มีไว้เพื่อหักล้างการมีอยู่ของพระเจ้านี่นา」
ตั้งแต่ตอนที่เขาสูญเสียน้องสาวของเขาไป ยาคุทานิก็ไม่เคยคิดจะยอมรับหรือเชื่อในเรื่องพวกนี้อีกเลย ปาฏิหาริย์จะสำเร็จได้ด้วยความพยายามและความรู้ มันไม่ได้มาจากการสวดอ้อนวอน
นั่นแหละคือความเชื่อของยาคุทานิ ส่วนทางนากาจิมะก็พูดต่อ
「แต่นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์สมัยใหม่ยังไม่สามารถอธิบายภาพที่แท้จริงของเอกภพได้อย่างสมบูรณ์เลย คนที่เห็นถึงความลึกลับของมัน จะมีเชื่อในเรื่องนี้บ้างก็ไม่แปลกหรอก」
「ก็นั่นมันเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้เวลานี่」
ยาคุทานิเท้าคางถอนหายใจราวกับยอมแพ้
“เพื่อจะหักล้างการมีอยู่ของตัวตนอย่างพระเจ้าเหล่านักฟิสิกส์ก็เลยตั้งเป้าวิเคราะห์ทฤษฎีสรรพสิ่งให้เป็นจริงยังไงล่ะ ถึงแม้จะว่าตอนนี้มันจะยังเป็นเพียงสูตรคำนวณที่ตั้งเอาไว้สวยหรูเฉยๆ ก็เถอะ”
“แค่สมการเพียงชุดเดียวมันไม่ใช่คำตอบทั้งหมดหรอกนะ ยาคุทานิ ส่วนตัวแล้วฉันคิดว่าทุกสรรพสิ่งในจักรวาลของเรานี้มันมีการเข้ารหัสเฉพาะเอาไว้ในตัวของมันอยู่”
นากาจิมะวางตะเกียบลงละชี้ไปที่สมาร์ตโฟนที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าของยาคุทานิ
“พวกเราส่วนใหญ่น่ะรับรู้ได้เพียงการไหลหนึ่งมิติเวลาและปริภูมิสามมิติเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าเราสามารถรับรู้ถึงมิติที่เหนือไปกว่านั้นได้เราคงจะทำอะไรได้เยอะเลยแถมมีความเป็นไปได้สูงด้วย ถ้าให้ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เหมือนกับนักแสดงที่กำลังเล่นอยู่ภายในวิดีโอของสมาร์ตโฟน ข้อมูลทุกอย่างถูกบีบอัดให้กลายเป็นสองมิติ และเราพวกเราก็สามารถรับรู้ได้ว่าเธอไม่มีทางรู้ว่าเราดูอยู่หรือทางเราก็ไม่สามารถไปสัมผัสแก้มของเธอได้ อีกทั้งยังสามารถเล่นวิดีโอกลับด้านหรือหยุดไว้ชั่วคราวด้วยก็ได้ ถึงคนส่วนใหญ่จะไม่รู้สึกตัวแต่ในมุมนี้พวกเราก็สามารถมองได้ว่าเรากำลังทำการบีบอัดรหัสเฉพาะไว้ในรูปแบบสองมิติ หรือก็คือเราสามารถการจัดการกับเวลาและห้วงมิติที่ต่ำกว่าเราได้นั่นเอง”
ขณะที่ฟังนากาจิมะพูดด้วยความลื่นไหล สีหน้าของยาคุทานิก็ยังคงไม่ต่างจากเดิม เหมือนกำลังพยายามจะเข้าใจถึงความหมายที่เพื่อนของตนพูดอยู่
“ก็คือจักรวาลมิติของเรานั้นคือชุดรหัสข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นมา นายพยายามจะอ้างอิงถึงจักรวาลแห่งภาพโฮโลแกรมนั่นเหรอ เหมือนจะรวมเอาเรื่องทฤษฎีMมาด้วยนี่”
“ก็นะ เรื่องทั้งหมดมันก็อาจจะไม่ง่ายแบบนั้นก็ได้เพราะจักรวาลของเรานั้นกว้างใหญ่มาก เราก็อาจจะเป็นเพียงเศษฝุ่นเล็กๆ ที่ลอยอยู่ในห้วงของอวกาศที่มีมิติสูงกว่าเราด้วยก็ได้ บางทีตรงนั้นอาจจะมีพระเจ้าที่หัวเราะเยาะความอ่อนด้อยของเราอยู่ด้วยก็ได้นะเอ้อ”
ไอ้ที่ว่ามาทั้งหมดเนี่ยเป็นเหตุผลที่ฉันพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมพวกนักเรียนถึงยังไม่ทิ้งความเชื่อแบบนี้ไปแหละนะ นากาจิมะว่าแล้วก็หัวเราะออกมา
“บางทีถ้าเราได้เจอตัวตนที่เรียกว่า “เทพเจ้า” เราก็คงจะไม่มีทางอื่นนอกจากยอมจำนนสินะ?”
“ก็แน่ล่ะสิ ถ้านายต้องการจะโต้กลับจริง นายก็คงจะต้องยื่นมือทะลุจอนี่ไปแล้วทำการต่อยหน้าพระเจ้าที่อยู่ในคนละกาลอวกาศเดียวกันให้ได้ซะก่อน แต่มันเป็นไปได้ซะที่ไหนล่ะ”
ฮึบฮึบ! แล้วนากาจิมะก็ชกยาคุทานิจากด้านหลังสมาร์ตโฟนของตัวเขาเอง
“เดี๋ยวจะนอกเรื่องกันไปไกลแล้วนะ”
ยาคุทานิยิ้มออกมา……
“ฟาร์มา!”
เสียงที่ดังลั่นดึงเขากลับสู่ความเป็นจริงของโลกอีกใบหนึ่ง
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของพวกเขา ยาคุทานิได้เห็นร่างของฟาร์มา เดอ เมดิซิส
เสียงของบรูโนนั้นสามารถได้ยินผ่านกาลอวกาศ จนทำให้ฟาร์มา”ในโลกใบนี้” ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
“ืตื่นสิฟาร์มา การปรุงยาล้มเหลวงั้นหรือ..รีบทำลายวงแหวนแห่งเทพโอสถเสีย!”
ภายในวงแหวนแห่งเทพโอสถนั้น ฟาร์มากำลังนอนขดตัวเหมือนทารกในครรภ์ที่ยังไม่ได้สติ
เขาวิ่งเข้ามาจับแขนของฟาร์มาและลากออกมาจากวงเวทนั้นจนทำให้เขาถูกไฟลวกอย่างรุนแรง เพราะก็บรูโนทำเช่นนั้นฟาร์มาจึงหลุดออกจากห้วงมนต์สะกด
หากบรูโนไม่เข้ามาขัดจังหวะ สติของฟาร์มาคงหลุดออกไปไกลแล้ว
ตัวบรูโนนั้นไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้อีกต่อไปเนื่องมาจากคำสาปของยาอายุวัฒนะ แต่เขาก็ยังคอยเฝ้าดูฟาร์มาจากระยะใกล้จุดที่ไม่มีอะไรมาป้องกันตัวเองได้เลยเพื่อดูการเกิดขึ้นมาของโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์
“คงจะดีกว่าหากเลิกยุ่งกับมัน เจ้าก็เหมือนกันนะ”
“ท่านพ่อ มือของท่านโดนเผา..”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก อย่าได้ใส่ใจเลย เจ้าไปสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เถอะ”
ในขณะที่พยักหน้าให้กับบรูโน แล้วเขาก็นึกถึงเพื่อนร่วมรุ่นของเขา เรื่องที่คุยกันช่างเหมือนกับตัวตนของฟาร์มาซึ่งอยู่ในกาลอวกาศที่ไม่แน่นอนนี้
(เราถูกลากเข้าไปในมิติที่เหนือกว่าซึ่งไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้ แล้วก็ถูกปล่อยลงมาที่โลกใบนี้ซึ่งน่าจะเป็นมิติที่ต่ำกว่า แล้วก็ป้อนข้อมูลมาให้คงรักษาอยู่ในลักษณะจำเพาะเอาไว้…)
แค่เขาจะออกแรงไปที่ปลายนิ้ว ร่างของเขาก็สั่นไปหมดแล้ว
(นี่นากาจิมะ ฉันควรจะอธิบายโลกที่ฉันอยู่ในแง่ของฟิสิกส์ยังไงดี…)
ขณะที่ฟาร์มากำลังสงสัยถึงคำอธิบายที่พอเป็นไปได้ บรูโนก็ได้ดึงสติของฟาร์มาเพื่อตรวจสอบว่าเขายังเป็นฟาร์มา เดอ เมดิซิสอยู่ไหม
“บอกพ่อมาว่าวันนี้ วันที่เท่าไหร่ เดือนปีอะไร แล้วเจ้าชื่ออะไร”
“2 กุมภาพันธ์ ปี 1148 ผมชื่อฟาร์มา”
ด้วยความร่วมมือจากทางนครศักดิ์สิทธิ์และบรูโน ฟาร์มาได้ทำการอ่านและถอดรหัสตำราต้องห้าม เพื่อใช้ศาสตร์ต้องห้ามในการสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นยาระดับสูงสุดในบรรดายาจากศาสตร์ต้องห้าม
แถมทางตัวขอโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มีการแบ่งระดับของมันอีกทีเป็น โลก จักรวาล สวรรค์ โดยระดับสวรรค์นั้นถือเป็นขั้นที่สร้างขึ้นมาได้ยากที่สุด
เนื่องจากการสร้างสสารต่างๆ ของฟาร์มานั้นสามารถทำได้ก็เพราะเขารู้ถึงลักษณะของตัวยาดังกล่าว แต่กับโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเขาจำเป็นต้องพึ่งพาความรู้จากทางนครศักดิ์สิทธิ์ความรู้ของบรูโนที่มีในตอนนี้แทนซึ่งก็มีดังนี้
▼ระดับโลก โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์แห่งการเกิดใหม่ มันเป็นโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ที่จะทำการยืดชีวิตของผู้ที่จะต้องตายไปแล้วให้กลับมามีชีวิตได้อีกพักหนึ่ง
▼ระดับโลก โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ชั่ววัน โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เปลี่ยนร่างกายของมนุษย์ให้อยู่ในร่างวิญญาณและทำให้เป็นอมตะ มีผลหนึ่งวัน
○ ระดับจักรวาล หยาดน้ำค้างแห่งการปกป้อง โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ที่จะทำการฟื้นฟูร่างกายและวัยของผู้ใช้อย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
โดยปกติแล้ว มีโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่มากนักที่สามารถปรุงพร้อมกันได้ในคราวเดียว และจำนวนของมันก็ใช้ได้เพียงแค่ไม่กี่คน นอกจากนี้หากไม่ดื่มมันทันทีหลังจากปรุงเสร็จผลของมันก็จะเสื่อมสลายไป หรือก็คือต้องทำในสถานการณ์ที่พร้อมใช้ทันที
แต่ตอนนี้ฟาร์มาก็ตั้งใจที่จะท้าทายโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ต่ออีกสองชนิด
△ระดับสวรรค์ ยาครอบจักรวาล มีผลในการล้างคำสาปได้ทุกประเภท
△ระดับสวรรค์ แดนสวรรค์พันปี ว่ากันว่ามีผลในการขับไล่พวกวิญญาณร้ายให้หายไปจากโลกนี้ได้เป็นเวลาพันปี
ไพ่ตายที่ฟาร์มาต้องการในการป้องกันไม่ให้โลกใบนี้ล่มสลายไปนั้นอยู่นั้นอยู่ในระดับสวรรค์ทั้งสวรรค์ทั้งสิ้น และก็เป็นสิ่งที่ทนทั้งโลกต่างโหยหา
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินจริงเลยว่าเพื่อที่จะสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นในความเป็นจริงแล้วมันก็ทำลายร่างกายของเทพโอสถได้เช่นกันและเขายังต้องใช้ชิ้นส่วนในร่างกายของเขาในการปรุงมันขึ้นมาด้วย
ดังนั้นระหว่างการปรุงเขาจึงใช้เส้นผมที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขามาเพื่อปรุงยาระดับโลกขึ้น
สภาพของฟาร์มาตอนนี้จึงมีผมที่สั้นเอามากๆ
ส่วนยาระดับจักรวาลนั้นเขาจำเป็นต้องใช้เลือดในการปรุงมันขึ้นมา ถึงแม้เขาจะล้มลงไปหลายครั้งเนื่องจากภาวะโลหิตจาง แต่เขาก็จำเป็นต้องทำ
มาถึงตรงนี้ก็ยังอยู่ในจุดที่เขาพาจะรับไหว แต่สถานการณ์ตรงหน้าเขาตอนนี้มันต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเมื่อถึงขั้นตอนการปรุงระดับสวรรค์
มันถูกเขียนเอาไว้ในตำราต้องห้ามว่าการปรุงยาระดับสวรรค์นั้นจะทำลายร่างศักดิ์สิทธิ์ของเทพผู้พิทักษ์และพรากส่วนหนึ่งของตัวเทพไป แต่ว่ามันจะเอาอะไรไปบ้างนั้นก็ไม่ได้ดีคำอธิบายเอาไว้
แต่ฟาร์มาสัมผัสได้ว่าทุกครั้งที่เขากำลังจะเริ่มปรุงมัน เขารู้สึกเหมือนตนกำลังจะถูกพรากบางอย่างที่แสนสำคัญไป
เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ร่างของเขาบอกมาว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะไปแตะต้อง
แต่ขอแค่สำเร็จสักครั้ง เท่านั้นมันก็เพียงพอแล้ว
ที่ฟาร์มาล้มลงไปด้วยความเจ็บปวดนั้นก็เพราะเขาล้มเหลวในการสร้างมันขึ้นมา ทางบรูโนก็ได้พูดเขาราวกับเป็นกังวล
“ศาสตร์ต้องห้ามเป็นศาสตร์แห่งทวยเทพ หากเจ้ามีพลังในฐานะของเทพผู้พิทักษ์อยู่ตอนแรกพ่อก็คิดว่าเจ้าคงจะสามารถใช้ได้โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนมากนัก…แต่พ่อคิดผิดการจะปรุงระดับสวรรค์ขึ้นมามันอยู่เหนือกว่านั้นไปมาก มันจำเป็นต้องใช้ชีวิตของเจ้าเข้าแลก ดังนั้นเราควรจะยอมแพ้เสียดีกว่านะ”
“แต่ว่าผมเกือบจะทำสำเร็จอยู่แล้วเชี่ยว”
“อย่าได้คิดเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอีก พ่อจะไม่ยอมเสียเจ้าไปแน่ หากเจ้าฝืนต่อไปร่างกายของเจ้าก็อาจจะเน่าเปื่อยไปเลยก็ได้”
ร่างกายของฟาร์มาในตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยอนุภาคแสงสีขาว เนื่องจากเขาถูกดึงออกมาจากวงแหวนแห่งเทพโอสถ การทำงานจึงหยุดเพียงเท่านั้น จากนั้นเขาก็ทำการให้ความสนใจไปที่การรักษาและฟื้นฟูร่างของตนในตอนนี้แทน
สภาพร่างของเขาในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับการอยู่ในสภาวะกึ่งสสารและพลังงาน
ศาสตร์ต้องห้ามระดับสวรรค์เหมือนจะทำให้การมีอยู่ของฟาร์มานั้นจางหายเข้าไปทุกที
“วันนี้เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
“ไม่ครับ…ผมขอลองอีกครั้ง..”
ฟาร์มาฝืนความตั้งใจของบรูโน และพยายามจะทำการปรุงยาอีกครั้ง
“ไม่ได้ ตอนนี้เจ้าขาดสมาธิไปแล้ว เจ้ารู้ตัวไหมว่าเมื่อกี้เจ้าพูดเรื่องอะไรออกมาบ้าง”
“……? “
“พ่อได้ยินเจ้าคุยกับน้องสาวของเจ้า น้องสาวที่ไม่ใช่บลานช์”
ฟาร์มาตกอยู่ในห้วงความคิดทันที
สิ่งที่บรูโนได้ยินมาจากปากของฟาร์มาก็คือชื่อของยาคุทานิ จิยุ ที่เป็นน้องสาวของยาคุทานิ คันจิ
“…นี่ผม ฝันถึงเธองั้นเหรอครับ”
“พอพูดถึงเรื่องนี้ บางทีเจ้าอาจจะมีครอบครัวจริงๆ อยู่ที่โลกแห่งเทพสินะ นางยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าล่ะ…แต่พ่อก็คิดว่าคงไม่แปลกหรอกเพราะเจ้าก็ยังเด็กอยู่จะคิดถึงครอบครัวของตนก็เป็นเรื่องธรรมดา”
“…มันต่างไปจากนั้นนิดหน่อยครับ ในชาติที่แล้วนั้น สมาชิกครอบครัวของผมได้ตายไปหมดแล้ว จะมีก็แค่ผมที่เป็นแพทย์โอสถคนเดียว แล้วก็ถ้านับอายุรวมจากโลกนั้น 31 ปี แล้วก็โลกนี้อีก 3 ปี อายุผมตอนนี้ก็ราวๆ 34 แล้วครับ ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้หรอกนะครับ”
“เช่นนั้นหรือ 34 แล้วสินะ…ถ้าแบบนี้พ่อก็คงปฏิบัติกับเจ้าเหมือนเด็กไม่ได้แล้วสินะ แล้วแบบนี้พ่อยังจะเป็นพ่อของเจ้าได้อยู่ไหมนะ”
บรูโนมานั่งลงข้างๆ ฟาร์มาที่ล้มลงอยู่กับพื้น
ฟาร์มาก็พูดตอบรับด้วยความรู้สึกที่แสนคำนึงถึง
“ต้องได้อยู่แล้วครับ เพราะปากของผมก็ติดเรียกไปแล้วด้วย”
ฟาร์มารู้สึกดีขึ้นเป็นอย่างมากพอได้บอกความจริงกับพวกเขา
เขาได้รับการสนับสนุนจากบรูโนและเบียทริชที่ควรจะมองเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้า ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องฝืนทำตัวเป็นลูกชายที่ดีอีกต่อไป และสามารถสนทนากับพวกเขาในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งได้มากขึ้นด้วย
(เดี๋ยวนะ……)
ฟาร์มาเบิกตากว้างขึ้นก่อนพยายามจะลุกขึ้นยืน
(ทำไมเราถึงจำหน้าของจิยุกับพ่อและแม่ไม่ได้เลยล่ะ)
มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่นี่มันอาจจะเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนสำหรับการสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นได้
นั่นจึงทำให้เขาเกิดทฤษฎีขึ้น
เซลล์ประสาทของสมองถูกช่วงชิงไปจากการปรุงโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับสวรรค์
ถ้าจะให้พูดชัดๆ ก็คือความทรงจำถูกช่วงชิงไป
(แย่แล้วสิ…แต่เราจะพูดเรื่องนี้กับคุณบรูโนก็ไม่ได้ด้วย)
ฟาร์มาจึงตัดสินใจปิดมันเอาไว้เงียบๆ
“งั้นวันนี้ก็พอแค่นี้แล้วกันนะ เจ้ารีบไปพักผ่อนให้ร่างกายหายเหนื่อยเถอะ”
“……ครับ ท่านพ่อ”
ทางนครศักดิ์สิทธิ์สัญญากับทางฟาร์มาว่าจะไม่ยอมให้เขามาสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์เพียงลำพัง
ส่วนทางบรูโนก็รับหน้าที่ในการประเมินสถานการณ์ในการปรุงยา เพื่อที่จะสามารถเข้าไปช่วยเหลือฟาร์มาได้ทันหากล้มเหลว
หากบรูโนบอกว่าวันนี้ฟาร์มาควรหยุด ทุกอย่างก็ต้องหยุด
จากนั้นฟาร์มาก็ถูกพาตัวไปที่ห้องของเขาภายในมหาวิหาร หลังจากพวกนักบวชออกไปแล้ว เขาก็ทำการรักษาร่างกายที่บอบช้ำของตนจากการสร้างยาระดับสวรรค์ ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงของจูเลียน่าจากข้างนอกห้อง
“ท่านฟาร์มา ขออนุญาตค่ะ”
“สักครู่นะครับ พอดีตอนนี้ผมกำลังจัดการอะไรอยู่นิดหน่อย หากมีเรื่องจะคุยก็เชิญพูดออกมาได้เลยครับ”
“ฉันเอาผ้าพันแผลมาให้ค่ะ เลยอยากจะขอเข้าไปในห้อง”
“อันที่จริงถ้าเรื่องนั้น วางไว้ตรงทางเข้าก็ได้ครับ”
“ได้โปรดให้ฉันดูแลท่านด้วยเถอะค่ะ”
พอจูเลียน่าพูดแบบนั้น เธอก็หยิบผ้าพันแผลอันใหม่เข้ามาช่วยฟาร์มาที่กำลังทำแผลอยู่บนเตียงด้วยความยากลำบาก เธอทำการพันมันไว้รอบไหล่ของเขาเป็นอย่างดี
“อันที่จริง ผมทำเองก็ได้นะครับ”
“เห็นแบบนี้ฉันก็เคยเป็นคาร์ดินัลสายเยียวยานะคะ ดังนั้นการรักษาด้วยศาสตร์แห่งเทพจึงไม่ใช่ปัญหาใดๆ เลยค่ะ แถมถ้าเรื่องแค่นี้ละก็สบายมากค่ะ”
“…ถ้างั้น ก็ขอรบกวนต่อด้วยนะครับ”
จูเลียน่าทำการห่อหุ้มร่างกายทั้งหมดของฟาร์มาไว้ด้วยผ้าพันแผลที่เคลือบยาพิเศษเอาไว้ด้วยความชำนาญ
ผ้าพันแผลที่สลักมนตร์เอาไว้อยู่ภายในนั้นจะส่งผลให้อาการบาดเจ็บบรรเทาลงและส่งเสริมการฟื้นฟูทางร่างกายด้วย
“บาดแผลเต็มตัวไปหมดเลยนะคะ มันเป็นศาสตร์ที่ทำลายร่างกายของเทพจริงๆ ด้วยสินะคะ?”
ทั้งที่ร่างกายของฟาร์มานั้นไม่สามารถได้รับอันตรายจากการโจมตีทางกายภาพได้เลยแท้ๆ แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะเป็นข้อยกเว้น ถึงฟาร์มาต้องการจะปิดบังมันเอาไว้ไม่ให้คนอื่นต้องกังวลแต่ทางจูเลียน่ากลับมองออกอย่างหมดจด
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ นั่นมันศาสตร์ต้องห้ามระดับสูงสุดด้วย แถมผมก็ควบคุมมันได้ไม่ดีจนสติหลุดไปไหนก็ไม่รู้ ผลก็คือล้มเหลวแบบที่เห็นนี่แหละครับ….มาแสดงด้านที่อ่อนแอแบบนี้ให้คนอื่นไม่สบายใจไปด้วยนี่แย่จังเลยนะครับ”
ฟาร์มาพูดออกมาเหมือนสำนึกผิด แต่ทางจูเลียน่าก็ส่ายหัวปฏิเสธ
“ท่านฟาร์มากำลังพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเลยนี่คะ ทั้งที่ฉันเองเคยคิดว่าโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่มีวันเกิดขึ้นมาได้แล้วแท้ๆ ไม่ว่าจะนานอีกสักแค่ไหน”
“ถ้ามองในมุมนั้นมันก็ใช่อยู่หรอกครับ”
แต่หลักฐานแห่งความล้มเหลวของเขาก็ไม่ได้หายไปไหนจากการที่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้พวกวิญญาณร้ายก็ยังคงอยู่
หากตำนานเป็นเรื่องจริงและสรวงสวรรค์พันปีสำเร็จจริง มันก็ควรจะขับไล่พวกวิญญาณร้ายออกไปได้หมดแล้วเป็นเวลาหนึ่งพันปี
“ความจริงที่ว่าผมยังมีความกลัวและความลังเลก็ไม่เปลี่ยนไปครับ สิ่งนั้นมันอาจจะเป็นตัวแปรที่ทำให้ผมเสียสมาธิไป…แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ชินกับมันสักที”
เพราะความเสียใจทั้งในชาติก่อนและชาตินี้ของเขายังเหลืออยู่อีกมาก เมื่อเขามาลองคิดดูเขาก็คงยังไม่สามารถละทิ้งความปรารถนาทางโลกไปได้หมดจริงๆ
ขณะที่ฟาร์มาพึมพำอยู่คนเดียว จูเลียน่าก็ทำหน้าสลดใจออกมา
“เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วค่ะ หากเป็นฉันที่รู้ตัวว่าตนต้องสลายไปและกลายเป็นยา ฉันก็คงจะรู้สึกกลัวและอยากจะหนีออกไปเหมือนกัน แต่ท่านฟาร์มากลับยังยืนหยัดสู้กับมันได้ แค่นี้ท่านก็กล้าหาญมากพอแล้วค่ะ”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงกันนะครับ ผมขอรับไว้เพียงความรู้สึกก็เพียงพอแล้วครับ”
ฟาร์มาเกาแก้มราวกับไม่รู้จะตอบยังไงดี
แต่การปลอบโยนและกำลังใจของจูเลียน่าก็ช่วยซ่อมแซมหัวใจที่กำลังแตกร้าวของฟาร์มาได้ดีจริงๆ
“พันแผลเสร็จหมดแล้วค่ะ อาหารก็เตรียมไว้แล้วด้วย อยากจะให้เอามาเสิร์ฟในห้องนี้เลยไหมคะ หรือจะรอทานมื้อเย็นเลยทีเดียว?”
“ขอเป็นทานในห้องนี้ก็แล้วกันนะครับ ทางคุณจูเลียน่าถ้ายังไม่ได้ทานอะไรก็มานั่งทานด้วยกันเถอะครับ”
“รับทราบค่ะ”
พอเธอพันแผลให้ฟาร์มาเสร็จ เธอก็นำเสื้อคลุมตัวใหม่มาคลุมไหล่ของฟาร์มา ก่อนที่เขาจะนำมันมาสวม เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นผ้าพันแผลที่แน่นไปทั้งตัวจากนั้นก็รัดไว้ด้วยโอบิ
ซึ่งชุดคลุมที่ว่าก็คือชุดเครื่องแบบทางการของเทพผู้พิทักษ์แห่งนครศักดิ์สิทธิ์ แต่ลักษณะของมันช่างคล้ายกับชุดกิโมโนของญี่ปุ่นที่สวมใส่ได้สบายตัว เขาจึงชอบมันพอสมควร
“งั้นก็มาทานกันเลยครับ”
เขาทำการกินอาหารที่จูเลียน่านำมาเสิร์ฟให้
มันเป็นขนมปังดำ ซุป พาสต้าทะเล และผลไม้ที่ลักษณะคล้ายมะม่วง
โดยปกติแล้วพวกนักบวชนั้นจะทานแต่เพียงปลาและหลีกเลี่ยงเมนูจำพวกเนื้ออาหารของพวกเขานั้นจะเป็นอะไรที่เรียบง่าย ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนหนึ่งของการฝึกฝน แต่ทางฟาร์มานั้นต่างออกไปเพราะเขาต้องพิจารณาจากสภาพร่างกายของผู้ทานและสมดุลของโภชนาการที่ตนจะได้รับ
“อาหารของนครศักดิ์สิทธิ์ นี่ยอดไปเลยนะครับ อาหารทะเลก็สดใหม่และอร่อย ผลไม้นี่ก็ด้วย”
“เพราะที่นี่ก็ไม่ได้ไกลจากทะเลมากนี่คะ สวนผลไม้ของเราก็อุดมสมบูรณ์ด้วย ไว้คราวหน้าหากท่านฟาร์มามาเยี่ยมเยือนพวกเราอีก เราค่อยไปเก็บผลไม้สดๆ กันมาเลยน่าจะดีนะคะ เพราะมันอร่อยยิ่งกว่านี้อีก”
ฟาร์มารู้สึกได้รับการเยียวยาขณะพูดคุยกับจูเลียน่าซึ่งยังคงคอยติดต่อกับเขาอยู่ แม้ว่าเขาจะอยู่ในนครศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักอยู่มากนัก
“ตอนนี้ก็อิ่มแล้วด้วย อีกสักพักเดี๋ยวผมน่าจะงีบแล้วลองทบทวนศาสตร์ต้องห้ามดูอีกสักรอบในตอนบ่ายนะครับ”
“คือว่าที่ท่านรีบสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาก็เพื่อปกป้องผู้คนจากพวกวิญญาณร้ายและทำลายคำสาปของฝ่าบาท…สินะคะ”
“ใช่แล้วครับ เพราะตอนนี้ผมไม่มีเวลาแล้วเลยต้องรีบทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด”
ตอนนี้แม้จะยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจนกว่าตราหลอมละลายของจักรพรรดินีจะเริ่มทำงาน
แต่กับโลกที่มีวิญญาณร้ายอยู่ แค่วิทยาศาสตร์ของโลกเขาอย่างเดียวไม่อาจจะเพียงพอสำหรับการต่อสู้กับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติอย่างพวกวิญญาณร้ายและผู้ดูแลสุสานได้
หากเป็นโลกแห่งวิทยาศาสตร์ที่ฟาร์มาจากมาเขาก็จะมีความรู้พื้นฐานที่ได้มาจากบรรพบุรุษของพวกเขาเหมือนกับยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์ ดังนั้นบนโลกใบนี้ก็ย่อมมียักษ์อยู่เช่นเดียวกัน
สิ่งนั้นก็คือศาสตร์แห่งเทพที่ตกทอดมาตั้งแต่ในอดีตถึงแม้จะไม่มีคำอธิบายชัดเจนถึงวิทยาการที่เกิดขึ้นนี้
แต่ฟาร์มาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามกฎทั่วไปของโลกใบนี้และทำการยืมไหล่ของยักษ์โลกนี้เพื่อมองดูทิวทัศน์ที่สูงขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ ผมแค่จะทำการทวนเฉยๆ เท่านั้น เพราะหากผมยังฝืนทำอะไรแปลกๆ ในสภาพแบบนี้ บาดแผลก็คงจะแย่ลงไปด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นความคืบหน้าของการใช้ศาสตร์ต้องห้ามก็จะล่าช้าขึ้นไปอีก”
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะไว้ใจท่านนะคะ ส่วนทางฉันเดี๋ยวคงต้องไปทำงานเอกสารในช่วงบ่าย”
ฟาร์มาก็ยอมว่าง่ายแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะนอนลงไปบนเตียง
แล้วทางจูเลียน่าก็หันไปเห็นกองเอกสารบนโต๊ะของเขา
“เอกสารพวกนั้นเป็นของท่านเหรอคะ”
“ครับมันเป็นโจทย์ข้อสอบไล่”
“ข้อสอบไล่?”
“เป็นข้อสอบไล่ที่ใช้ในมหาวิทยาลัยครับ เนื่องจากผมมีหลายคลาสที่ต้องจัดการก็เลยกองเยอะแบบนั้น ถึงจะต้องเสียเวลาบ้างแต่เพราะจะทำให้ข้อสอบง่ายก็คงจะไม่ได้ด้วย ถึงพวกนักเรียนจะต้องหนักใจกันบ้าง แต่ผมก็ปล่อยไปไม่ได้จริงๆ”
แล้วจูเลียน่าก็กำลังนึกขึ้นได้
“จริงสิคะ ท่านเป็นทั้งเทพผู้พิทักษ์ เจ้าของร้านยา แพทย์โอสถหลวง ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยนี่นา ชีวิตช่างดูยุ่งจังเลยนะคะ”
“ก็ได้แต่หวังว่าสักวันจะได้กลับไปเป็นแพทย์โอสถประจำเมืองธรรมดาแล้วใช้ชีวิตอย่างสงบครับ”
ด้วยเหตุผลนี้เอง ฟาร์มาจึงบอกกับจูเลียน่าว่าเขาเลยจำเป็นต้องพยายามทุกทางเท่าที่ตนจะทำได้ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายสุดท้ายที่เขาวางไว้
“นั่นสินะคะ หากท่านฟาร์มาอยู่กับพวกเราได้ตลอดไปก็คงจะดี”
จูเลียน่าพูดทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนที่ฟาร์มาจะตกลงไปยังห่วงนิทรา
——-
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟครับผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code