Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก – ตอนที่ 102

ตอนที่ 102 จุดเริ่มต้นการประสานงานทางการแพทย์

 

 

การสอบของมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิที่แสนวุ่นวายก็ได้จบลงไปเรียบร้อยแล้ว

 

สาขาแพทยศาสตร์ โอสถศาสตร์ และแนวทางการปฏิบัติ มีนักเรียนทั้งสิ้น 5 คนด้วยกันที่สอบไม่ผ่านในภาควิชาบังคับ แต่หลังจากการประชุมกันของคณาจารย์ก็ได้ข้อสรุปว่า จะมีมาตรการแก้ไขเพิ่มเติม โดยการให้ส่งรายงานเป็นการสอบซ่อม

 

ฟาร์มากับเอเลนตอนนี้ก็กำลังสรุปผลการเรียนของเหล่านักเรียนในห้องทำงานของศาสตราจารย์ ฟาร์มาได้ยอมสละวันหยุดของตนมาเพื่ออ่านรายงานของเหล่านักเรียนที่ส่งมาหลังการสอบ ความเหนื่อยล้าของเขาก็ย่อมสูงตามไปด้วย

 

ทางเอเลนได้ทิ้งตัวลงนอนไปที่โซฟา จนทำให้ฟาร์มาเห็นเท้าเปล่าของเธอยาวไปจนถึงต้นขา เนื่องจากความระมัดระวังตัวของเธอ มันได้สร้างความน่าหนักใจและดึงดูดสายตาของฟาร์มายิ่งนัก

 

 

「ฟาร์มาคุงนี่ละก็ ทั้งที่ขู่เอาไว้ขนาดนั้นแท้ๆ ก่อนสอบ แต่สุดท้ายสาขาวิจัยยาก็ผ่านทุกคนเลยนี่นา」

 

 

「ที่ผมพูดไปก็เพื่อกระตุ้นพวกเขาไง ผลที่ได้ก็น่ายินดีด้วย」

 

 

ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นไปตามที่เขาวางแผนไว้ทุกประการ

 

 

「แถมเรื่องที่นาตาลี บลอนเดลสามารถสอบผ่านได้ทุกวิชานี่น่าแปลกใจจังเลยนะ หรือเอ็มเมอริคคุงเค้าไปพูดสร้างแรงฮึดให้เธอกันนะ ด้านคลาสฝึกศาสตร์แห่งเทพที่ใช้หน่วยกิตของคลาสพลศึกษาแทนก็ทำออกมาได้ดีด้วย」

 

「เป็นคุณเอ็มเมอริคกับคุณโจเซฟีนน่ะที่ช่วยกันดูแลเธอ จากมุมผมก็เห็นว่าพวกเธอเข้ากันได้ดีเลยนะ…แต่เรื่องส่วนตัวของเธอ ผมว่าต้องรีบทำอะไรให้สำเร็จโดยเร็วด้วย」

 

 

「แต่มันไม่มีตัวยาที่สามารถรักษาเนื้องอกในสมองเฉพาะเลยนี่ นี่ก็ผ่านมาได้สัปดาห์หนึ่งแล้ว นายมีแผนที่จะรักษาแน่นอนแล้วเหรอ? 」

 

 

เอเลนกระโดดตัวขึ้นจากโซฟาก่อนจะโน้มตัวมาหาฟาร์มา แล้วถามด้วยความอยากรู้

 

จะผ่อนคลายบ้างก็ไม่มีใครว่าหรอก แต่ฟาร์มาก็อยากจะให้เธอติดกระดุมเสื้อเพิ่มอีกสักเม็ดก่อนเข้ามาหาเขาใกล้แบบนี้

 

 

 

「เรื่องนั้นผมก็กำลังพิจารณาความเป็นไปได้อยู่น่ะ」

 

 

หลังจากละสายตาจากเอเลนไป ฟาร์มาก็ดูข้อมูลที่เขารวบรวมมาภายในแล็บท็อปและอุปกรณ์อื่นๆ ความรุนแรงของอาการก็เรียนได้ว่าแทบสิ้นหวัง ขนาดฟาร์มาหาหนทางในการใช้ความสามารถสุดโกงของเขาแล้ว ก็ยังไม่เห็นวิธีการที่เหมาะสมและแน่นอนได้เลย

 

เอเลนที่เห็นฟาร์มาเป็นแบบนั้นก็ทำหน้ามุ่ย และคิดอะไรบางอย่างขึ้น

 

 

 

「ทำไมไม่ลองพึ่งการผ่าตัดล่ะ ทางมหาวิทยาลัยเราก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นอยู่นี่」

 

 

「การผ่าตัดสินะ…ที่จริงคุณเอ็มเมอริคก็บอกผมไว้เหมือนกัน แต่ผมน่าจะต้องตัดมันออก」

 

 

ฟาร์มาคิดถึงข้อเสนอของเอเลนไว้เหมือนกัน แต่ก็ตัดสินใจว่าไม่น่าจะเป็นไปได้

 

 

「มีใครเรียกชื่อผมหรือเปล่าครับ? 」

 

「อ๋อไม่มีอะไรหรอกครับ」

 

เอ็มเมอริคที่เหมือนได้ยินคนเรียกชื่อตนอยู่ที่ห้องข้างๆ ก็วิ่งเข้ามาหา แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเขาจึงเดินกลับไปที่ห้อง

 

 

「เพราะผมไม่สามารถเสี่ยงด้วยการผ่าตัดสมองได้น่ะสิ」

 

 

「ทำไมนายถึงคิดงั้นล่ะ หัวหน้าแพทย์หลวงก็เคยผ่าตัดสมองกันมาบ้างแล้วด้วยนะ แถมยังมีผู้รอดชีวิตจากการผ่าตัดด้วย ฉันว่ามันไม่ได้เสี่ยงขนาดสิ้นหวังนะ」

 

 

 

ก็จริงอยู่ที่การผ่าตัดนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดตามแนวทางปฏิบัติในการรักษาพื้นฐานของโลกเขา แต่เขาก็ยังลังเลที่จะเลือกใช้มันในสถานการณ์นี้ เพราะความเป็นไปได้ของการผ่าตัดมันจะมากขึ้นก็ต่อเมื่อมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยและแนวทางการรักษาที่เหมาะผมกับประสบการณ์ของแพทย์ที่มากเท่านั้น

 

ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจหมอของจักรวรรดิ

 

เร็วๆ นี้เครื่องมือในการผ่าตัดก็ถูกปรับปรุงใหม่เป็นจำนวนมาก เทคนิคในการดมยาสลบก็ถูกนำมาใช้ก่อนการผ่าตัดแล้วด้วย และแนวทางการรักษาดูแลผู้ป่วยหลักผ่าตัดก็ถูกจัดการเสียใหม่ด้วยความร่วมมือจากทางสาขาแนวทางการปฏิบัติทางการแพทย์ ผลลัพธ์ที่ได้หลังการผ่าตัดก็ดีขึ้นจนขนาดนักเรียนของทางโนวารูทได้เข้ามาศึกษาดูงาน

 

 

ในอดีต การผ่าตัดแต่ละครั้งนั้นจะมีเพียงแค่ ผ่ากับเย็บและปล่อยให้ที่เหลือเป็นการชี้นำของเหล่าเทพผู้พิทักษ์ แต่ปัจจุบันหลังจากได้ฟังความเห็นของฟาร์มาที่เน้นในการวินิจฉัยและวิเคราะห์แนวทางก่อนการผ่าตัด โดยได้ความร่วมมือจากสาขาแนวทางการปฏิบัติทางการแพทย์ ก็เลยได้ผลลัพธ์ที่ดีในการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วย ประเมินเงื่อนไขในการผ่าตัดซึ่งพิจารณาอย่างรอบคอบว่าเหมาะสมกับตัวผู้ป่วยหรือไม่ และแบ่งงานขั้นตอนในการรักษาผู้ป่วย หากจะให้พูดก็เป็นความก้าวหน้าที่น่าทึ่งเลยทีเดียว

 

 

ส่วนตัวฟาร์มาถึงจะไม่ได้เชี่ยวชาญด้านนี้เลย แต่เขาก็พอจะตรวจสอบขั้นตอนการผ่าตัดผ่านข้อมูลสมัยใหม่บนโลกของเขาได้ ก่อนจะทำการส่งต่อข้อมูลให้คนอื่น นอกจากนี้ด้วยการใช้เฉลียงทางเดินของชีพจรแห่งเทพที่ทางมหาวิหารเชื่อมต่อเข้ากับวิหารทั่วโลก ฟาร์มาจึงสามารถดึงเอาไวไฟจากทางนครศักดิ์สิทธิ์เข้ามาใช้ที่จักรวรรดิได้ด้วยเราเตอร์ที่เขานำกลับมาจากห้องปฏิบัติการต่างโลก ทำให้จากนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปมาระหว่างสองที่อีกแล้ว ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่น่ายินดี

 

แต่เนื่องจากโลกใบนี้ยังขาดระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่เหมาะสม พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เทคนิคสมัยใหม่บางตัวได้ เพื่อชดเชยส่วนที่ขาดไป กลุ่มนักวิจัยเฉพาะทางจึงได้ทำการวิจัยหาแนวทางทดแทน โดยเริ่มทดลองกับสัตว์ก่อน

 

 

จากที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ว่าอย่างไร ฟาร์มาก็ยังกังวลที่จะต้องมอบความไว้วางใจในการผ่าตัดสมองให้พวกเขา

 

เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะแยกว่าสมองปกติกับเนื้องอกต่างกันอย่างไร มันจำเป็นต้องใช้เทคนิคขั้นสูง ความสำเร็จในการกำจัดเนื้องอกนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้ของศัลยแพทย์สมองเสียเป็นส่วนใหญ่ด้วย

 

 

 

「แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เด็กคนนั้นก็จะตกอยู่ในอันตรายนะ นอกจากนี้หากเราลองใช้มันร่วมกับศาสตร์แห่งเทพดูละพอจะเป็นไปได้ไหม? 」

 

 

「เรื่องนั้นผมได้ลองผสมผสานพลังของผมกับศาสตร์แห่งเทพดูแล้ว แต่ผลไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก」

 

 

มันคงจะดีหากเขาสามารถยืดอายุขัยเธอได้ด้วยความสามารถโกงและยาของเขา แต่ทั้งหมดที่เขาลองค้นหาความเป็นไปได้ดู ก็ยังไม่พบอะไรที่น่าพอใจ

 

 

「ถ้างั้น ยาอายุวัฒนะล่ะ? 」

 

 

「ยาอายุวัฒนะและโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ผมสร้างได้ในตอนนี้จะเกี่ยวข้องกับพวกวิญญาณร้ายเสียส่วนใหญ่น่ะ ไม่มีอะไรที่เข้าทางพอจะรักษาเนื้องอกในสมองได้เลย ส่วนยาครอบจักรวาลก็ขาดวัตถุดิบในการทำด้วย」

 

 

แต่พอฟาร์มาได้ฟังเรื่องยาอายุวัฒนะก็เหมือนเขาจะนึกอะไรได้

「แต่หากเราลองเอาโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์แห่งการเกิดใหม่กับโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ชั่ววันใช้ร่วมกันในการผ่าตัดอาจจะไหวนะ」

 

「ยังไงเหรอ」

 

「ก็หากดูผลของยาทั้งสองตัวที่ทำให้ผู้ใช้ไม่มีวันตายไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กับยาที่สามารถยื้อชีวิตของคนที่กำลังจะตายได้พักหนึ่งผมว่าเข้าท่าอยู่นะ」

 

 

「เห…มีของน่าเหลือเชื่อแบบนั้นด้วยเหรอ」

 

 

เอเลนคิดหลุดไปไกลแล้ว ถึงตอนนี้เธอจะไม่จำเป็นต้องใส่แว่นตาอีกแล้วก็ตาม แต่เธอก็มักจะเผลอยกแว่นตาอากาศของเธอขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจเสียทุกที

 

 

「หากใช้ยาพวกนี้เราก็น่าจะเลี่ยงการเสียชีวิตหลังการผ่าตัดได้ด้วย」

 

「ก็แปลว่าหากเราให้เธอใช้ยานี้เรื่อยๆ หลังการผ่าตัดก็น่าจะไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมล่ะ」

 

 

「ไม่ได้หรอก ผลของมันอย่างมากสุดก็น่าจะแค่ครั้งสองครั้ง」

 

 

แต่ถึงจะบอกไปแบบนั้น ผลของโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์มันก็ยิ่งใหญ่มากจริงๆ

 

พูดตามตรงว่า ถึงฟาร์มาจะเชี่ยวชาญในการปรุงยาพวกนี้แล้ว แต่เขายังหาวิธีการใช้งานมันไม่ได้จริงๆ ถึงมันจะช่วยยืดอายุขัยได้ชั่วคราว แต่ในทางการรักษาโดยตรงมันไม่ได้มีผลขนาดนั้น

 

แต่ถึงมันจะไม่ได้มีส่วนในการรักษาอาการเจ็บป่วยโดยตรง แต่ถ้านำมันมาเป็นตัวช่วยในการผ่าตัดและหลังจากนั้นแล้ว…

 

(หากเราใช้สิ่งนั้นดู ความเป็นไปได้ในการผ่าตัดและดูแลผู้ป่วยหลังจากเอาเนื้องอกออกไปแล้วก็น่าจะพอไหว)

 

 

ฟาร์มาตัดสินใจจะลองทางนี้ดู

 

ส่วนทางเอเลนก็เอียงศีรษะขณะมองฟาร์มาจ้องมองหน้าต่างก่อนทำท่าเหมือนจะออกไปข้างนอก

 

 

「สรุปคือคิดว่าไหวใช่ไหม? 」

 

 

「ผมคิดว่าหากเป็นโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ก็น่าจะได้จริงๆ นั่นแหละ」

 

 

「โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์….สินะ…แล้วฟาร์มาคุง รอบนี้นายต้องจ่ายอะไรเป็นค่าตอบแทนล่ะ ฉันได้ยินว่ามันทำร้ายนายด้วยไม่ใช่หรือไง? 」

 

 

ถึงเอเลนจะเห็นความเป็นไปได้เหมือนกันแต่เธอก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี ส่วนทางฟาร์มาที่เห็นความเป็นไปได้ก็ไม่คิดจะยอมแพ้แต่อย่างใด

 

「ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ แต่ถ้าโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้ต้องจ่ายแค่เส้นผมเป็นค่าตอบแทนน่ะ」

 

 

「ทุกคนเขาก็เป็นห่วงนายนะ กลัวนายจะหัวล้านก่อนแก่เนี่ยสิ」

 

 

「ถ้าเป็นงั้นจริง เดี๋ยวผมค่อยไปยืมวิกของบลานช์ที่ท่านพี่เคยใช้ก็ได้」

 

「จริงๆ หากนายไม่ทำก็ไม่มีใครว่านายได้หรอกนะ」

 

「ไม่หรอก พวกเราไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว」

 

 

จริงอยู่ที่มนุษย์สามารถสร้างยาอายุวัฒนะได้ แต่มีเพียงเทพผู้พิทักษ์เท่านั้นที่สามารถสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ และเหล่าเทพผู้พิทักษ์จะลงมาบนโลกนี้ทีละองค์เท่านั้น ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ลงมาพร้อมกันเลย

 

และจากที่ฟาร์มาหาข้อมูลมา ก็จบว่าไม่มีใครอื่นที่ปรากฏบนโลกนี้ซึ่งสืบทอดพลังของเทพโอสถมาเลย ก็หมายความว่าฟาร์มาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำมันได้และไม่มีใครทดแทนตัวของเขาได้

 

ถึงเอเลนจะรู้แบบนั้น เธอก็ดูเหมือนจะทนไม่ได้อยู่ดีและลองเสนอทางเลือกอื่น

 

 

「จริงสิ มันน่าจะต้องมีโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เทพผู้พิทักษ์ในอดีตหลงเหลือไว้บ้างสิ」

 

「เป็นไปไม่ได้หรอก เนื่องจากโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์มันจะสลายไปทันทีหลังการสร้างได้ไม่นานนัก ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องสร้างมันโดยคำนวณเวลาที่ต้องใช้ไว้ด้วยน่ะ ก็หมายความว่าเราต้องดูประสิทธิภาพของมันหน้างานเลยด้วย」

 

 

ดังนั้นจากนี้เขาก็จำเป็นต้องนำเรื่องไปบอกกับบลอนเดลในคลาสครั้งถัดไป

 

จริงอยู่ที่เขาสามารถตรวจสอบว่าการผ่าตัดที่รวมเข้ากับศาสตร์แห่งเทพจะสำเร็จหรือไม่ด้วยดวงตาวินิจฉัย

 

หากเกิดแสงสีแดงขึ้นระหว่างนั้น เขาก็ยังพอจะสามารถใช้ยาตัวอื่นเข้าช่วยได้ แต่มันน่าจะยืดอายุขัยไปได้อีกเพียงชั่วคราว สุดท้ายเธอก็ต้องตายอยู่ดี

 

นั่นจึงเป็นความเสี่ยงที่ฟาร์มาไม่ต้องการเลย

 

 

(แล้วจะทำยังไงดีล่ะ? มีใครที่จะรับมือไหวอีก? หรือเราจำเป็นต้องทำเองกัน? )

 

จนกระทั่งตอนนี้บลอนเดลก็ยังไม่ได้รู้ถึงเนื้องอกในสมองเธอเลย

 

เอาเป็นว่าเพื่อที่จะแนะนำเธอให้กับคลอดได้รู้จักก่อนจะทำการผ่าตัด เขาก็จำเป็นต้องอธิบายถึงโรคที่เธอเป็นและสาเหตุของมันเพื่อรับการตรวจร่างกายต่อไปตามลำดับ แต่จนถึงตอนนี้ฟาร์มารู้สึกกลัวเหลือเกินว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาจะถูกเปิดเผย เมื่อเขาอธิบายถึงโรคและแผนการรักษาให้กับผู้ป่วย ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความสามารถโกงของเขาและยาที่เขาสามารถปรุงได้แต่เพียงผู้เดียว

 

ก็จริงว่าโลกใบนี้มีศาสตร์แห่งเทพอยู่และบ่อยครั้งพวกเขาก็จะใช้มันในการรักษา โดยไม่บอกถึงข้อมูลในการรักษาเนื่องจากเป็นความลับของทางวิชาที่ตนมี แต่เมื่ออยู่ในมุมของฟาร์มาแล้วที่ไม่มีศาสตร์แห่งเทพและมีกฎในการเคารพสิทธิของผู้ป่วยเพื่อให้พวกเขาตัดสินใจเอาเองว่าจะรับการผ่าตัดหรือไม่ เขาก็จำเป็นต้องอธิบายทุกขั้นตอนในการรักษา วิธีการ ผลที่คาดว่าจะได้รับและความเสี่ยงทั้งหมดที่ผู้ป่วยต้องเจอ สุดท้ายนี้เขาก็ยังคงเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วจริงๆ

 

ยิ่งกับการรักษาที่มีความรุนแรงถึงระดับนี้และท้าทายความสามารถแพทย์ยุคนี้ด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งจำเป็นต้องอธิบายให้ผู้ป่วยฟังอย่างเหมาะสมเพื่อขอความร่วมมือจากผู้ป่วยด้วย

 

 

ยังไงเราก็จำเป็นต้องแจ้งและอธิบายให้เธอได้รู้เพื่อให้เธอตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด)

 

 

ว่าแล้วฟาร์มาก็ได้ทำการนัดหมาย คล็อด เดอ ชาร์ดิแอ็ค หัวหน้าแพทย์หลวงและคณบดีสาขาแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยยา

 

 

 

「มีอะไรเหล่าเปล่า จู่ๆ ท่านก็มาหาผม? 」

 

 

「ขอโทษที่รบกวนในช่วงยุ่งๆ นะครับ แต่อย่างที่ได้แจ้งไปทางจดหมาย ผมอยากจะขอความร่วมมือคุณในฐานะศัลยแพทย์ครับ」

 

 

จากนั้นฟาร์มาก็อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอีกทีอย่างสังเขป ทางคล็อดที่ฟังอยู่ก็ตอบรับคำขอด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย

 

 

「เรื่องนั้นก็ได้ครับ แต่ผมก็มีเรื่องที่อยากจะถามสักหน่อย อย่างแรกท่านรู้ได้อย่างไรว่าเธอมีเนื้องอกในสมองเพราะโดยปกติแล้วเราจะเจอมันก็ต่อเมื่อมีการชันสูตรศพ」

 

「มันเป็นศาสตร์แห่งเทพเฉพาะตัวของผมครับ」

 

 

ก็ไม่คิดหรอกนะว่าจะเชื่อโดยง่าย แต่สำหรับโลกใบนี้แล้วมันเป็นคำแก้ตัวที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

 

 

 

「ต่อมาคือ ทำไมท่านถึงไม่เป็นคนจัดการเองเลยล่ะครับ? 」

 

「สำหรับผมคงไม่ไหวหรอกครับ」

 

 

「ขนาดว่าเป็นศาสตร์แห่งเทพของท่านก็ไม่ได้ผลเหรอครับ」

 

「อย่างที่ว่าครับ…คือว่าผมขอดูมือของคุณหน่อยได้ไหมครับ」

 

「เชิญเลยครับ」

 

 

คล็อดยื่นมือของเขาไปหาฟาร์มาด้วยความสงสัย จากนั้นฟาร์มาก็ใช้ดวงตาวินิจฉัยของเขาตรวจดูนิ้วของคล็อดที่สวมแหวนเอาไว้อยู่ จากนั้นเขาก็มองหาบลอนเดลที่อยู่อาคารอื่นผ่านมือของคล็อดอีกทีจากระยะไกลก่อนจะซูมเข้ามาดูสมองเธอเพื่อทำการรักษา

 

 

「นี่เป็นครั้งแรกเลยสินะที่ผมได้เห็นท่านใช้ศาสตร์แห่งเทพเฉพาะตัว ที่จริงก็สงสัยมาสักพักแล้ว แต่การเคลื่อนไหวแบบนี้มันคือศาสตร์ในการวินิจฉัยหรือทำนายสินะครับ? 」

 

 

「น่าจะอะไรประมาณนั้นครับ」

 

 

「ว่าแต่ทำไม ต้องมองออกไปนอกกำแพงด้วยล่ะครับ? 」

 

「ผมสามารถมองเห็นสมองของเธอผ่านกำแพงนี้ได้ครับ」

 

 

「เอาอีกแล้วนะครับ! ทำผมประหลาดใจได้อยู่เรื่อย」

 

 

คล็อดก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับการคุ้มครองจากเทพโอสถที่ยิ่งใหญ่ในจักรวรรดิ

 

การคุ้มครองจากสวรรค์นั้นเป็นเรื่องจริงแน่นอน แสงส่วนใหญ่ที่ส่องแสงออกมาจากสมองของบลอนเดลมันหายไปเมื่อเขาส่องมันผ่านมือของคล็อด ที่กระทั่งมือของฟาร์มายังไม่สามารถทำให้หายไปได้

 

พอฟาร์มาเห็นแบบนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยรูปแบบการผ่าตัดของคล็อด และวิธีการรักษาเพื่อรับมือกับไกลโอบลาสโตมา แล้วปิดด้วยโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์

 

ผลที่ออกมาคือแสงที่สองมานั้นหายไปอย่างสมบูรณ์ผลลัพธ์หลังจากการผ่าตัดก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

 

 

 

 

「แบบนี้ไหวแน่!」

 

 

「ท่านได้เห็นแนวทางอะไรแล้วใช่ไหมครับ? 」

 

「ครับ ดังนั้นคุณช่วยเป็นคนผ่าตัดเนื้องอกในสมองของคุณบลอนเดลทีได้ไหมครับ หากเป็นคุณละก็โอกาสที่จะสำเร็จมันสูงมากเลยทีเดียว」

 

「น่าประหลาดใจจังเลยนะครับ ที่ท่านสามารถทำการวินิจฉัยร่วมกับการมองเห็นอนาคตได้เช่นนี้ เป็นไปได้อย่างไรกันนะ? 」

 

 

ฟาร์มาแสดงความเคารพต่อคล็อดอย่างสุดหัวใจ พอคล็อดเห็นแบบนี้ก็รู้สึกดีใจไม่น้อย ก็แน่ละว่าหากตัดความสามารถดวงตาวินิจฉัยออกไปแล้ว การพูดออกมาแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเห็นอนาคตแบบที่คล็อดบอก

 

แต่ถ้าพูดถึงการเห็นอนาคต ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะคลาร่าก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่สำหรับฟาร์มาแล้วพลังของเขาจะไปในทางการรักษาที่สร้างและลบสสารแทนซึ่งเอาจริงๆ ก็เหมือนเป็นการใช้ศาสตร์แห่งเทพทั่วไปที่พัฒนาขึ้นมานิดหน่อยไม่ต่างจากคนอื่นนัก (เช่นการสร้างไฟแทนที่จะเป็นศาสตร์แห่งเทพ ก็เกิดมาจากการสร้างสสารแทน) หากคล็อดว่าแบบนั้นเองฟาร์มาก็คิดว่าเป็นการดีที่จะไหลตามน้ำไป

 

 

「เท่าที่ผมทราบมันคือศาสตร์แห่งเทพที่สาบสูญไปแล้ว จากบันทึกในอดีตก็ดูเหมือนจะมีแพทย์หรือแพทย์โอสถบางคนที่สามารถใช้ศาสตร์นี้ในการเห็นอนาคตการรักษาของพวกเขาได้ด้วย หากเป็นไปได้ท่านพอจะแบ่งปันเคล็ดลับหรือบทร่ายให้ผมได้ไหมครับ ไม่สิได้โปรดสอนมันให้กับผมทีเถิด」

 

 

แต่ถึงจะถูกขอร้องมาแบบนี้ ฟาร์มาก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเกี่ยวกับดวงตาวินิจฉัยของเขาดี

 

 

 

 

「คือว่า…อันที่จริง มันไม่ได้มีบทร่ายหรือเคล็ดลับอะไรเลยครับ」

 

「….เอาเถอะครับ ไว้เป็นโอกาสหน้าก็ได้ เช่นนั้นสรุปคือท่านพอจะทราบตำแหน่งและขนาดของเนื้องอกแล้วสินะครับ? 」

 

「ก็พอทราบระดับหนึ่งครับ」

 

 

พอฟาร์มาตอบไปแบบนั้น คล็อดก็อ้าปากค้างและพูดอะไรไม่ออก

 

「…งั้นต่อมาคือ ท่านคงจะต้องเป็นตาให้กับผมแทนแล้วครับ หน้าที่ของผมจะอยู่ในส่วนเอาเนื้องอกนั้นออก ส่วนท่านก็คอยสนับสนุนผมด้วยพลังของท่านแบบนี้เป็นไงครับ? 」

 

「ได้เลยครับ นอกจากนั้นเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดผมสามารถช่วยบอกตำแหน่งของเนื้องอกและตำแหน่งของเส้นเลือดได้ด้วย สุดท้ายผมก็มีโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ในการป้องกันการเสียชีวิตของผู้ป่วยไว้แล้วครับ」

 

 

คล็อดแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองพอได้ยินคำว่าโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์

 

 

 

「หูผมฟังไม่ผิดใช่ไหม..โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์เหรอครับ」

 

「ครับ」

 

「ไม่คิดเลยนะครับว่าโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์จะมีอยู่จริง แล้วเป็นไปได้ไหมครับที่จัดหามันในปริมาณที่มาก?」

 

「พูดตามตรงก็คือ แค่คนเดียวก็ถึงขีดจำกัดในการจัดหาแล้วครับ」

 

「นั่นสินะครับ ผมจะไม่ถามถึงวิธีการที่ได้มาแล้วกัน เพราะพ่อของท่านก็คงจะคิดเหมือนกัน แถมนี่เป็นความลับของตระกูลเดอ เมดิซิสด้วยสิผมคงไม่ต้องกังวลอะไรถึงผลของยา!」

 

「ดังนั้นคุณหมอคล็อดผมจะคอยเป็นผู้ช่วยให้คุณเองครับ เรามาสรุปกันเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดระหว่างปฏิบัติงานเบื้องต้นนะครับ หน้าที่ที่ผมจำเป็นต้องทำก็คือ การวินิจฉัยโรคและเตรียมการจัดหายาต่างๆ ไว้ให้พร้อม เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเสียชีวิตระหว่างการผ่าตัด แต่หากในกรณีที่เลวร้ายสุดผลของโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์หมดลง ผู้ป่วยก็อาจจะเสียชีวิตได้ด้วย」

 

「ท่านอย่าคิดในแง่ร้ายเช่นนั้นเลย เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเราที่จำเป็นต้องมั่นใจในทักษะของตัวเองและความสามารถในการต่อสู้กับโรคร้าย ยิ่งเป็นชนชั้นสูงแล้วด้วยพลังจากศาสตร์แห่งเทพที่มีเทพผู้พิทักษ์คุ้มครองก็จะช่วยให้มีโอกาสรอดชีวิตขึ้นด้วย ผมมองว่าท่านควรจะมั่นใจมันให้มากกว่านี้หน่อยนะครับ」

 

 

หากพูดตามตรงแล้วสิ่งที่คลอดกล่าวมาก็ไม่ต่างอะไรกับยาหลอก แต่เพราะโลกใบนี้มันสิ่งที่เรียกว่าศาสตร์แห่งเทพและเทพผู้พิทักษ์อยู่ ชนชั้นสูงจึงได้รับอิทธิพลทางการรักษาจากยาหลอกดังกล่าวไปด้วย

 

แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดี นั่นคือสิ่งที่ฟาร์มาตระหนักได้

 

 

「ส่วนขั้นตอนในการผ่าตัดเราค่อยมาสรุปกันในที่ประชุมอีกที หากเป็นไปได้เราน่าจะสามารถหาแนวทางการผ่าตัดได้จากศพที่มีอยู่」

 

 

「งั้นพรุ่งนี้ผมจะเรียกประชุมเหล่าศัลยแพทย์พร้อมกับจัดการหาศพมาให้เองครับ」

 

「ขอบพระคุณมากครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ」

 

 

นี่เป็นจุดเริ่มต้นของฟาร์มาและคล็อดในการร่วมมือกันรักษาไกลโอบลาสโตมา

 

 

 

 

 

「ในที่สุดพวกวิญญาณร้ายก็หายไปจากเมืองหลวงหมดแล้วสินะคะ」

 

ลอตเต้ที่ฝึกศาสตร์แห่งเทพอย่างหนักหน่วงตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นั้นมาที่คฤหาสน์ของเมโลดี้กำลังพักดื่มน้ำชาอยู่ แม้จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้วเธอก็ยังจะหาเวลาว่างในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์มาฝึกฝนศาสตร์แห่งเพลิงและการสร้างวงเวทจากเมโลดี้ราวกับเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ

 

ลอตเต้ไม่ใช่ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพโดยกำเนิด เธอจึงจำเป็นต้องยืมพลังของเมโลดี้ มันเป็นวิธีที่ง่ายในการเขียนวงเวทขึ้นมาด้วยน้ำมันศักดิ์สิทธิ์และจุดเปลวเพลิงขึ้นมาบนวงเวทนั้นเพื่อเป็นการใช้งาน

 

「หรือก็คือคุณไม่ค่อยรู้สึกพอใจที่ไม่มีเป้าจริงให้ซ้อมสินะคะ? ส่วนตัวฉันว่าหากไม่มีวิญญาณร้ายเลยน่าจะดีกว่านะ」

 

 

แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของคุณนะ เมโลดี้พูดและหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ

 

 

 

「ค-ค่ะ…เรื่องนั้นก็เห็นด้วยหรอก แต่ฉันไม่มีเป้าซ้อมที่ใช้ยืนยันว่าวงเวทแห่งเพลิงที่ได้มาจากท่านเมโลดี้มันได้ผลกับวิญญาณร้ายจริงหรือเปล่าน่ะสิคะ」

 

 

ศาสตร์แห่งเทพที่ลอตเต้ร่ำเรียนมานั้นใช้ได้ผลกับวิญญาณร้ายเท่านั้น ดังนั้นหากไม่มีพวกมัน เธอก็ไม่สามารถประเมินประสิทธิภาพของมันได้ การฝึกบางสิ่งอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่รู้ถึงความคืบหน้าของมันก็เปรียบเสมือนการจับต้องความว่างเปล่า หากไม่สามารถรู้ถึงระดับปัจจุบันของตนก็จะเป็นอุปสรรคต่อการฝึกฝนแทน

 

 

 

「นั่นก็จริงอยู่ แต่เพราะฝ่าบาทได้เข้ารับตำแหน่งพระสันตะปาปาแล้วเป็นผลทำให้เมืองหลวงของพวกเราได้รับการปกป้องจากพวกวิญญาณร้ายแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นวิหารแห่งเทพผู้พิทักษ์ทั่วโลกก็ยังได้รับผลดังกล่าวด้วย ดังนั้นพวกเราคงจะไม่ได้เห็นมันไปอีกนานเลยค่ะ」

 

 

นับตั้งแต่เอลิซาเบทที่ 1 ได้รับตำแหน่งในฐานะ “จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์” ที่ดำรงตำแหน่งทั้งพระสันตะปาปาและจักรพรรดินี ความลับที่ถูกเก็บเอาไว้ในนครศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อดีตก็ค่อยๆ ถูกเปิดเผยออกมาทีละน้อย

 

ทางลอตเต้กับเมโลดี้ก็ขอบคุณในพระคุณของเอลิซาเบท เมื่อพวกเธอได้รู้ว่าศาสตร์แห่งเทพของพวกนักบวชระดับสูงสามารถสร้างเครือข่ายเป็นเฉลียงทางเดินพลังแห่งเทพที่เชื่อมโยงไปทั่ววิหารผู้พิทักษ์ทั่วโลกซึ่งมีความสามารถในการยับยั้งการปรากฏตัวของวิญญาณร้ายที่เกิดขึ้นในสถานที่ต่างๆ แต่สุดท้ายการกระทำดังกล่าวก็เป็นอุปสรรคในการฝึกฝนของลอตเต้อยู่ดี

 

 

「หรือฉันควรไปตามหาพวกวิญญาณร้ายที่อยู่ในพื้นที่นอกเหนือการคุ้มครองของวิหารดูนะ」

 

 

「อย่าพูดอะไรโง่ๆ แบบนั้นสิ หากคุณเจอวิญญาณร้ายที่ไม่สามารถกำจัดได้ด้วยวงเวทนั้นล่ะ คุณจะทำยังไงกันแล้วสุดท้ายมันจะมีประโยชน์อะไร」

 

「เข้าใจแล้วค่ะ」

 

 

เมื่อเมโลดี้ตำหนิลอตเต้ เธอก็ทำหน้าสลดออกมา

 

แต่คุณก็ทำได้ดีแล้ว เมโลดี้เข้าไปจับและลูบหลังมือของลอตเต้

 

 

「บางทีสุดท้ายแล้ว พวกเราอาจจะไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับพวกวิญญาณร้ายอีกต่อไปแล้วก็ได้นะ หากเป็นตามข่าวลือที่ได้มา」

 

「หมายความว่ายังไงเหรอคะ」

 

 

「เพราะนอกเหนือจากการที่ฝ่าบาทขึ้นรับตำแหน่งพระสันตะปาปาแล้ว ทางศาสนจักรยังค้นพบวิธีการที่จะสร้างอาณาเขตป้องกันโดยสมบูรณ์แล้วน่ะสิ」

 

「อ่ะ..เอ๋!? 」

 

 

ดวงตาของลอตเต้เบิกกว้างราวกับไม่สามารถเข้าใจถึงเรื่องที่พูดได้

 

 

「นั่นจะต้องเป็นเพราะฝ่าบาทผู้ซึ่งรับใช้เทพผู้พิทักษ์ได้พบกับเทพผู้พิทักษ์แล้วอย่างแน่นอน」

 

 

「ว่าแต่เทพผู้พิทักษ์นี่จะเป็นคนแบบไหนกันนะคะ!」

 

 

เมโลดี้ก็ได้แต่ปลอบลอตเต้ที่ตาเป็นประกายเพราะเหมือนอยากเจอเทพผู้พิทักษ์เช่นกัน

 

 

「ท่านเป็นตัวตนศักดิ์สิทธิ์ พวกเราคงไม่มีโอกาสได้พบท่านหรอก และฉันก็ไม่คิดด้วยว่าท่านจะออกจากนครศักดิ์สิทธิ์ไปที่อื่น」

 

 

หลังจากได้ยินเรื่องนี้ หัวของลอตเต้ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับเทพผู้พิทักษ์ที่จุติลงมายังโลกใบนี้ หลังจากกลับมาจากคฤหาสน์ของเมโลดี้ เธอก็เดินทางไปที่วิหารเทพผู้พิทักษ์แห่งใหม่เพื่อรวบรวมข้อมูล เนื่องจากที่เก่านั้นถูกทำลายลงไปด้วยฝีมือของวิญญาณร้าย วิหารแห่งใหม่จึงถูกสร้างในเขตของพระราชวังซึ่งเปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปได้ในฐานะวิหารเทพผู้พิทักษ์แห่งใหม่ และนักบวชจากทางนครศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ที่นั่นด้วย

 

 

แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่เธอหวังเพราะตอนนี้ทางเข้าวิหารเทพผู้พิทักษ์แห่งใหม่ถูกปิดแล้วเป็นที่เรียบร้อย

 

พอลอตเต้ไปถึงด้วยความกระวนกระวายใจอยู่บริเวณหน้าทางเข้า ก็ต้องเจอกับคนเฝ้าประตูเข้ามาขวางไว้

 

 

 

 

「วันนี้ทางวิหารหมดเวลาทำการแล้ว มีธุระอะไรหรือเปล่า」

 

「คือว่าฉันอยากจะมาฟังการเทศน์จากวิหารค่ะ」

 

「งั้นคงต้องมาใหม่พรุ่งนี้นะ」

 

 

「เข้าใจแล้วค่ะ ขอโทษนะคะ งั้นพรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่」

 

 

ทั้งที่ปกติแล้ววิหารเทพผู้พิทักษ์จะเปิดทำการตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูงหรือสามัญชนก็สามารถเข้ามาได้ทั้งช่วงเช้าตรู่หรือตกดึก ลอตเต้ก็เลยสงสัยว่าหรือจะเป็นแค่วันนี้กันนะที่ไม่สามารถเข้าไปได้

 

 

 

「เพราะกำลังก่อสร้างอยู่หรือเปล่านะ? 」

 

 

สำหรับวันนี้เธอจึงจำเป็นต้องยอมแพ้และกลับคฤหาสน์เดอ เมดิซิสไปแทน แต่แล้วก็เกิดบางอย่างแปลกๆ ขึ้น เพราะบริเวณเท้าของเธอกำลังส่องแสงขึ้นจากวงเวทสีทอง

 

ดูจากแสงที่ออกมาแล้วมันน่าจะเป็นแสงที่ทะลุออกมาจากส่วนใต้ดินข้างล่างเท้าของเธอ

 

 

「นี่มันอะไรกัน? 」

 

ตัวของลอตเต้ไม่ได้แค่เรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์แห่งเปลวเพลิงจากเมโลดี้เท่านั้น แต่เธอยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์แห่งเทพธาตุอื่นอีก 3 ชนิดอย่างละเล็กละน้อยด้วย ลวดลายของวงเวทที่ออกมานั้นช่างสวยงามจนสามารถกระตุ้นความสนใจของลอตเต้ที่เป็นจิตรกรหลวงได้ โดยขนาดของวงเวทดังกล่าวนั้นมันครอบคลุมไปทั่ววิหาร แถมเธอก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับวงเวทสีทองมาก่อนเลย

 

「นี่มันเป็นศาสตร์แห่งเทพธาตุไหนกันนะ? ของพวกนักบวช…ไม่สิถ้าเป็นพวกนักบวชจากวิหารก็ควรจะเป็นแสงสีขาวสิ…..」

 

ด้วยความสงสัยลอตเต้จึงเดินไปยังบริเวณด้านหลังของวิหารและพยายามแอบดูภายในนั้นผ่านกระจกสี แต่เนื่องจากโครงสร้างของวิหารที่มีความซับซ้อนเพื่อบดบังทัศนียภาพสิ่งที่เธอเห็นจึงเป็นเพียงมุมเดียวจากกระจก ที่เธอแอบมอง

 

อาสนวิหารเป็นสถานที่ลับที่ผู้คนทั่วไปจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้และมันก็ไม่มีทางเข้าด้วย

 

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นโครงสร้างของอาสนวิหารก็ถูกสร้างให้เห็นทะลุไปถึงส่วนใต้ดิน และที่ด้านล่างนั้นเธอก็ได้เห็นวัตถุบางอย่างที่คล้ายกับแท่นบูชา โดยใจกลางตรงนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังร่ายมนตร์บางอย่างที่มีโครงสร้างแสนละเอียดอ่อน ซึ่งบริเวณรอบๆ ของมันก็มีแถบเส้นสีทองหลายชั้นค่อยๆ ขยายตัวออกไปเรื่อยๆ จากการร่ายมนตร์ของเขา จนทำให้ร่างของเขาลอยขึ้นขณะที่มนตร์กำลังส่งผล

 

ร่างกายของเขาโปร่งแสงและดูจะหายไปได้ตลอดเวลาราวกับละอองดวงดาว

 

ลอตเต้รู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับแสงสีทองที่เกิดขึ้นมาจากมนตร์ที่เข้าใช้

 

แต่เพราะเธอมองจากมุมด้านบน เธอจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดนัก

 

แต่อย่างน้อย…เธอก็เห็นสัญลักษณ์พิเศษบางอย่างบนร่างกายของเขา

 

 

 

「เจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน!」

 

ชายในชุดนักบวชได้พบตัวลอตเต้ที่กำลังแอบมองด้านในวิหารเข้าและต่อว่าเธอ

 

น่าเสียดายที่ตอนนี้ลอตเต้สวมชุดลำลองไว้อยู่และเธอไม่ได้พกตราของจิตรกรหลวงไว้ด้วย

 

ดังนั้นหากเป็นคนที่ไม่รู้จักเธอมาก่อน ก็ย่อมเห็นเธอเป็นคนน่าสงสัยได้ไม่ยาก

 

 

 

「บอกข้ามาเดี๋ยวนี้! เจ้าเป็นสายลับใช่หรือไม่」

 

 

「ฉันเป็นจิตรกรหลวงค่ะ ถึงวันนี้จะไม่ได้พกตรามาก็เถอะ แต่หากเป็นฝ่าบาทล่ะก็ พระองค์จะสามารถรับรองสถานะของฉันได้แน่นอนค่ะ!」

 

 

「แล้วทำไมคนอย่างจิตรกรหลวงต้องมาแอบมองที่แบบนี้กันด้วยล่ะ」

 

 

นักบวชได้ชี้คทาของตนไปยังลอตเต้ด้วยความหงุดหงิดเพราะเขาไม่สามารถคลายความสงสัยในตัวเธอลงได้เลย

 

หาเธอไม่รีบพูดอะไรออกมา เขาก็จะต้องคิดว่าเธอตั้งใจมาก่อเรื่องแน่ๆ เธอจึงยอมแพ้และบอกไปตามตรง

 

 

 

 

「คือฉันเห็นคนอยู่ข้างล่างนั่นค่ะ」

 

「นี่เจ้าเห็นท่านแล้วงั้นเหรอ!」

 

 

「ถึงจะไม่เห็นหน้าก็เถอะ….」

 

 

เฮ้อ…นักบวชถอนหายใจออกมา แต่เธอก็พูดเรื่องจริงเพราะเธอยังไม่เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ เลย

 

จากนั้นนักบวชก็มองเธอที่กำลังสอดรู้สอดเห็นต่อ แต่หลังจากเธอนำอุปกรณ์ในการวาดภาพออกมาแสดงให้เขาดู เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไรอีกต่อไป เพราะหากตนไปยุ่งอะไรเข้ากับจิตรกรหลวงของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาอีกมากแน่จากการที่ทำให้เธออารมณ์เสีย

 

 

 

「งั้นก็จงหยุดการกระทำนี้เสีย แล้วกลับไปเถอะ!」

 

 

「ถ้างั้น….ฉันขอถามอะไรสักข้อได้ไหมคะ」

 

「ว่ามาสิ」

 

「เรื่องที่เทพผู้พิทักษ์จุติลงมาแล้วเป็นเรื่องจริงเหรอคะ」

 

「นี่คงจะตามข่าวลือตามท้องถนนมาล่ะสินะ」

 

 

นักบวชขมวดคิ้ว ราวกับว่าเธอกำลังถามเรื่องที่ไม่ควรจะถาม

 

 

「ก็จริงอยู่ที่เทพผู้พิทักษ์ปรากฏตัวขึ้น ซึ่งพระองค์ก็อาศัยอยู่ที่นครศักดิ์สิทธิ์และถึงท่านจะไม่ได้เดินทางไปยังอาณาจักรอื่นๆ แต่ก็ไม่ต้องกังวลหรอกด้วยพลังของพระองค์ที่ส่งพลังผ่านทางมหาวิหารไปยังวิหารทั่วโลกก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว」

 

 

「ถ้างั้นคนที่สร้างวงเวทที่ชั้นใต้ดินของวิหารแห่งนี้คือใครกันคะ? 」

 

「ไม่มีอะไรสำคัญหรอกน่า ลืมๆ ไปเสียเถอะ」

 

「เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ」

 

 

 

(……ไม่ผิดแน่)

 

 

ลอตเต้แทบอย่างจะทรุดตัวลงกับพื้น แต่เธอก็ต้องฝืนยืนขึ้นและเดินจากไปอย่างเข้มแข็ง

 

จากนั้นเธอก็ไปนั่งอยู่บริเวณบันไดหินที่เป็นทางเข้าไปยังพระราชวัง ถึงเธอจะพยายามควบคุมลมหายใจของเธอแล้ว แต่อาหารใจสั่นของเธอก็ไม่ได้บรรเทาลงเลย

 

เด็กชายคนนั้นต้องเป็นฟาร์มาอย่างแน่นอน ในฐานะคนรับใช้ของเขา เธอย่อมได้เห็นหน้าและใช้เวลากับเขาทุกวันอยู่แล้ว ถึงจะไม่ได้เห็นหน้าชัดแต่เธอก็มั่นใจว่าเธอมองไม่ผิด

 

และที่สำคัญที่สุดก็คือ แขนทั้งสองข้างของเขาคนนั้นมีตราแห่งเทพโอสถอยู่

 

 

 

(ท่านฟาร์มาก็มีแผลเป็นที่คล้ายกับตราแห่งเทพโอสถอยู่…แต่เรื่องที่ร่างกายของท่านส่องแสงจนโปร่งใสออกมา….เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย)

 

 

หรือสิ่งที่เขาแสดงให้เธอเห็นเป็นเรื่องหลอกลวงมาโดยตลอดกันนะ

 

สำหรับลอตเต้แล้ว ฟาร์มาคือเจ้านายที่เธอรับใช้มานานหลายปี เขาเป็นทั้งแพทย์โอสถหลวง เป็นเจ้าของร้านขายยาต่างโลก เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัย นั่นคือทั้งหมดที่เธอรู้เกี่ยวกับฟาร์มาผู้เป็นที่รักของเธอ

 

แต่ตอนนี้เธอกลับได้เห็นอีกด้านหนึ่งของเขาที่เธอไม่รู้มาก่อน

 

 

 

 

「ต้องรีบกลับไปที่คฤหาสน์ー」

 

ในช่วงเย็นเมื่อฟาร์มากลับมาถึงคฤหาสน์เดอ เมดิซิสสภาพร่างกายของเขาก็กลับมาเป็นปกติ

 

 

เขาสวมเสื้อผ้าธรรมดา ร่างกายของเขาก็ไม่ได้โปร่งแสง ไม่มีแสงใดๆ ส่องออกมา ร่างก็ไม่ได้ลอยขึ้น ลอตเต้สามารถบอกกับตัวเองได้ด้วยซ้ำว่าที่เธอเห็นเป็นแค่สิ่งที่เธอคิดไปเอง

 

ลอตเต้ต้อนรับการกลับมาของเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือขณะเดินไปถอดเสื้อโค้ตของเขาเหมือนเช่นเคย

 

วันนี้ตามกำหนดการปกติของเขาที่เธอทราบในตอนเช้า เขาต้องเข้าไปในวังเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์

 

 

「ยินดีต้อนรับกลับนะคะ」

 

「เป็นอะไรไปหรือเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะ」

 

 

ดูเหมือนฟาร์มาจะสังเกตได้ว่าลอตเต้ทำตัวแปลกๆ ไปจากเดิม

 

พอฟาร์มาจ้องมองไปยังหน้าของเธอ ลอตเต้ก็โบกมือเล็กน้อยเพื่อเป็นการปฏิเสธไป

 

 

 

 

「คือ ฉันสบายดีค่ะ! ขนาดร้องเพลงออกมาได้สบายเลย!」

 

「ไม่มีอะไรจริงๆ เหรอ? ไม่ได้ป่วยอะไรใช่ไหม? ถ้ามีอะไรก็มาปรึกษาได้เลยนะ แต่เดี๋ยวรอผมไปเอาสัมภาระที่ค้างไว้ก่อนแล้วกัน」

 

 

「ถ้าเป็นสัมภาระละก็เดี๋ยวฉันเป็นคนจัดการให้เองค่ะ」

 

ท่าทางและการกระทำของฟาร์มาก็ไม่ต่างจากปกติเลย

 

 

「แต่ท่านนี่ใจดีกับฉันเสมอเลยนะคะ พอมีอะไรเกิดขึ้นท่านก็สังเกตเห็นตลอดเลย กลับกันฉันสิคะที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยว่า อาจจะมีสิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับท่าน」

 

 

「หากมีอะไรไม่สบายใจก็บอกผมได้เลยนะ」

 

 

ฟาร์มายังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เธอราวกับกังวลเรื่องที่เธอเจออย่างแท้จริง

 

ลอตเต้สัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวจากรอยยิ้มของเขา แต่สิ่งที่เธอทำได้ก็มีเพียงยิ้มกลับไปให้เขา

 

จากนั้นเขาก็ได้เห็นสีหน้าที่โศกเศร้าของเธอ

 

 

 

 

「มีอย่างเกิดขึ้นใช่ไหม….」

 

 

ตอนนี้ฟาร์มาไม่สามารถมองข้ามเรื่องที่ลอตเต้เจอได้แล้วและเขาจะไม่ปล่อยไปด้วย ลอตเต้จึงได้เบือนหน้าหนีเขาไป

 

ฟาร์มาวางมือบนไหล่ซ้ายของเธอและใช้มืออีกข้างหันคางของเธอเข้ามามองหน้าเขา

 

 

 

「มองมาทางนี้สิ」

 

 

ทั้งสองได้จ้องตากันราวกับกำลังสัมผัสถึงความรู้สึกของกันและกันอยู่

 

 

「ผมรู้แล้วว่าคุณอยากจะพูดถึงอะไรกันแน่….มาสิเดี๋ยวผมจะบอกความจริงกับคุณเอง」

 

「เอ๋」

 

「เพราะไม่อยากถูกเกลียดก็เลยยอมเก็บความลับนี้ไว้แทน…มันกลายเป็นทำร้ายคุณแทนสินะ ดูขี้ขลาดจังเลยเนอะ」

 

 

 

จากนั้นฟาร์มาก็กลับมาสวมเสื้อโค้ตที่เพิ่งถอดไปและพาลอตเต้ออกจากลานบ้าน ก่อนจะนำคทาแห่งเทพโอสถของเขาออกมาจากเอว

 

 

「เราไปหาที่คุยส่วนตัวกันจะดีกว่า ปิดปากให้แน่นแล้วก็อย่าเผลอกันลิ้นตัวเองเข้านะ」

 

 

ฟาร์มาเอื้อมมือไปจับเอวของลอตเต้ขึ้นมาบนคทาของเขาก่อนจะบินไปยังบนท้องฟ้ายามค่ำคืนเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของผู้คน

 

เมื่อทิวทัศน์ของเมืองหลวงค่อยๆ ไกลออกไป ฟาร์มาก็เริ่มหันคทาของเขาเป็นมุมพุ่งขึ้นสูงกว่าเดิมโดยโอบร่างของลอตเต้เอาไว้ด้านหน้า พอความเร็วถึงจุดที่ความกดของอากาศเริ่มส่งผล ฟาร์มาก็ร่ายมนตร์เพื่อป้องกันในทันที

 

พอถึงจุดที่เขาพอใจเขาก็ร่ายมนตร์บางอย่างบนอากาศก่อนจะร่อนลงที่จุดนั้นโดยให้ลอตเต้ลงมากับเขาด้วย ลักษณะของมันเหมือนกับพรมที่บินได้

 

 

 

「ท่านฟาร์มา นี่คืออะไรเหรอคะ」

 

「มันเป็นวงเวทสร้างพื้นที่จำกัดเอาไว้น่ะ ผมเห็นว่าลอตเต้ก็กำลังศึกษาเรื่องวงเวทอยู่นี่」

 

 

「แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยนะคะ ที่ฉันเห็นวงเวทที่ลอยบนฟ้าได้!」

 

<

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลกายในช่องว่างแห่งมิติไร้ซึ่งที่สิ้นสุด ที่ซึ่งเหล่าผู้เคยต่อสู้ฝ่าฟันกับชีวิตของตนดำรงอยู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าที่นี่คือแห่งหนใด พื้นที่กว้างใหญ่เป็นอนันต์เปรียบเสมือนดั่งสุสาน มีผู้พิทักษ์ไร้นามคอยปกป้องอยู่ เหล่าผู้ล่วงลับต่างหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของตนเป็นนิรันดร์ วันหนึ่งผู้พิทักษ์สุสานได้เลือกคน คนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของคนผู้นั้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ตนนั้นได้ดึงเอาความทรงจำของร่างดังกล่าวออกมาจากสุสานก่อนจะโยนมันเข้าไปในห้วงอวกาศ มันได้ล่องลอยไปในจักรวาลอันห่างไกลและท้ายที่สุดมันก็ถึงยังจุดหมาย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งภายในร่างของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตจากฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset