Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก – ตอนที่ 103

ตอนที่ 103 ดอกไม้สีเหลืองริมหน้าต่าง

 

「งั้นเรามาเริ่มประชุมกันเลยดีกว่าครับ」

 

 

นี่คือการประชุมกันก่อนจะเริ่มการผ่าตัดซึ่งผู้ดำเนินการในครั้งนี้ก็คือ คล็อด เดอ ชาร์ดิแอ็ค คณบดีสาขาแพทยศาสตร์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ และฟาร์มา เดอ เมดิซิส คณบดีสาขาวิจัยยา จนถึงตอนนี้การประชุมเกี่ยวกับการทบทวนกรณีศึกษานั้นมักจะถูกจัดขึ้นเป็นประจำในสาขาแพทยศาสตร์ อยู่แล้วซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนกันระหว่างเหล่าแพทย์และนักเรียนแพทย์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จะมีการร่วมมือกันของสองสาขา

 

แม้แต่ในชีวิตที่แล้วของเขา ฟาร์มาก็เคยมีประสบการณ์ในการประชุมร่วมกันกับเหล่าแพทย์แค่ไม่กี่ครั้ง ซึ่งก็เป็นช่วงฝึกอบรมทางคลินิกของทางมหาวิทยาลัย แล้วก็ตอนที่เขาไปประจำที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้เข้าไปแทรกแซงอะไรมากนักในที่ประชุมและปล่อยให้ ความคืบหน้าของการประชุมถูกดำเนินด้วยคล็อด

 

「เคสในครั้งนี้ คือผู้หญิง อายุ 18 ปี สูง 5.3 คทา น้ำหนัก 40 จอก รูปร่างผอม อาการของผู้ป่วยหลักๆ คือ สติในการรับรู้และความเข้าใจผิดปกติ มีภาวะความจำเสื่อม หงุดหงิดได้ง่าย จากประวัติทางการแพทย์และประวัติครอบครัวของเธอ ยังไม่สามารถเชื่อมโยงหาสาเหตุเกี่ยวข้องกันได้ชัดเจน ความผิดปกติทางแขนและขานั้นไม่มี โรคทางเมตาบอลิซึมหรือโรคทางจิตเวชไม่ได้ถูกตรวจพบ มีอาการชาตามร่างกายเล็กน้อย และลักษณะการเดินที่ผิดปกติ」

 

 

คล็อดค่อยๆ เขียนรายละเอียดของเคสดังกล่าวลงไปบนกระดาน หน่วยวัดที่คล็อดกล่าวมาข้างต้นก็ไม่ใช่หน่วยวัดที่ใช้กันทั่วไปในจักรวรรดิ แต่เป็นหน่วยวัดสากลที่มาจากทางนครศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็เพื่อทำให้แพทย์และโอสถแพทย์ทุกคนเข้าใจตรงกัน

 

ตามคำอธิบายดังกล่าว คทาที่เป็นหน่วยวัดก็คือความยาวทั่วไปของคทาแห่งเทพ ซึ่งมีความยาวประมาณ 30 ซม. ส่วนเรื่องของ “จอก” นั้นจะเป็นหน่วยที่วัดจากน้ำหนักของจอกศักดิ์สิทธิ์

 

หลังจากที่คล็อดได้อธิบายถึงเคสเบื้องต้น ฟาร์มาก็จะทำการพูดต่อจากเขา

 

「จากการตรวจสอบด้วยศาสตร์แห่งการทำนายของผมแล้ว พบว่ามีการก่อตัวของเนื้องอกในสมองกลีบหน้าทางด้านขวาขนาด 0.1 คทาหรือน้อยกว่า เค้าโครงของเนื้องอกดังกล่าวค่อนข้างชัดเจนและสามารถระบุพื้นที่ได้แม่นยำพอสมควร ในขณะเดียวกัน ผมก็ได้ทำการ ตรวจลักษณะการไหลเวียนของเลือดและบันทึกตำแหน่งของเส้นเลือดโดยรอบเอาไว้ตามรูปดังกล่าวที่แสดงอยู่นี้ ส่วนผลจากการตรวจเลือดของผู้ป่วยผ่านสาขาปฏิบัติการทางการแพทย์ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ ส่วนผลของการตรวจชิ้นเนื้องอกก็พบว่าเนื้อเยื่อของมันนั้นมีความหนาแน่นสูงจากการส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยมีนิวเคลียสอยู่ภายในหลากหลายขนาด มีโครมาติรวมตัวกัน มีมัลตินิวเคลียส เมกะนิวเคลียสและชิ้นเนื้อที่ตายไปแล้ว ส่วนผลในการทดสอบการกลายพันธุ์ของยีนใน P53 พบว่า CDKN2A นั้นมีปริมาณที่ลดลง EGFR มีปริมาณที่เพิ่มขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของ MAPK การตรวจอิมมูโนฮิสโตเคมีที่แสดงถึงอัตราการแสดงออกของเนื้องอกซึ่งชี้จาก MIB-1 คือ 19% จากหลักฐานเพิ่มเติมที่ได้จากสาขาปฏิบัติการทางการแพทย์เกี่ยวกับระบบประสาทและพยาธิวิทยา ก็ทำให้ทราบถึงข้อวินิจฉัยก่อนการผ่าตัดว่า ไกลโอบลาสโตมาได้เข้าสู่ระดับ 4 แล้ว ซึ่งเป็นระดับที่ร้างแรงที่สุดในบรรดาของไกลโอมา และทำให้พวกเราจำเป็นต้องรีบผ่าตัดโดยด่วนครับ」

 

 

หลังจากฟังคำอธิบายของฟาร์มาจบ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวหน้ากำลังเช็ดน้ำตาอยู่

 

เธอก็คือฟรองซัวส์ เดอ ซาวอยแพทย์โอสถหลวงและแม่แท้ๆ ของนาตาลี บลอนเดล

 

เอเลนก็นั่งอยู่ภายในนี้เช่นเดียวกัน

 

 

「จากที่กล่าวมาทำให้เราทราบว่าการประเมินผู้ป่วยก่อนการผ่าตัดนั้นไม่ได้มีปัจจัยที่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด จากนี้ไปผมจะเริ่มอธิบายถึงขั้นตอนและวิธีการผ่าตัดแบบเปิดกะโหลกเป็นลำดับถัดไป」

 

 

คล็อดได้เริ่มทำการอธิบายอีกครั้ง นอกเหนือจากศาสตร์แห่งเทพที่เขาได้พัฒนาร่วมกับโนวารูทเพื่อใช้ในการรักษาแล้ว ก็ยังมีรูปแบบการผ่าตัดแบบเปิดกะโหลกที่เป็นหลักสูตรใหม่ของโลกใบนี้ซึ่งได้คำแนะนำมาจากฟาร์มาเพิ่มเติม

 

 

「เราจะทำการผ่าตัดเปิดกะโหลกเพื่อจัดการกับเนื้องอกในกะโหลกศีรษะของผู้ป่วย ในวันที่ 10 เดือน มีนาคม ส่วนข้อสงสัยในเรื่องที่ผู้ป่วยอาจจะมีอาการมะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยนั้น เราจะหารือกันเป็นลำดับถัดไป」

 

 

พอกล่าวมาถึงตรงนี้ บริกิต เลอ นอร์ ก็ยกมือขึ้นมา

 

เธอคือรองศาสตราจารย์ มือหนึ่งด้านศัลยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโนวารูท แม้เธอจะยังเด็กและมีหุ่นที่สมบูรณ์ แต่เธอก็เป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งของคล็อดผู้เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและทะนงตัวตามความสามารถที่เธอมี

 

ชุดที่เธอสวมเข้ามาในการประชุมครั้งนี้คือชุดคลุมสีขาวที่ให้อารมณ์เหมือนแม่ชี

 

เนื่องจากคล็อดนั้นเป็นแพทย์หลวงและคณบดีสาขาแพทยศาสตร์ โดยปกติแล้วเขาก็มักจะประจำการอยู่ภายในวัง จนทำให้หลายครั้งเขาได้ฝากเธอให้มาสอนในคลาสแทน หรือก็คือเธอเป็นตัวแทนของเขานั่นเอง

 

 

โดยแพทย์จากทวีป ไล่เรียงเป็นขั้น 1 2 3 ไม่ต่างกันกับแพทย์โอสถ

 

บนโลกนี้หากพูดถึงแพทย์แล้ว ทุกคนล้วนมีความสามารถในเชิงศัลยแพทย์และการผ่าตัด ถึงความเชี่ยวชาญจะแตกต่างกันออกไปบ้างก็ตาม

 

เห็นได้จากวิทยาลัยแพทย์ที่เปิดสอนเฉพาะแผนกศัลยกรรมเท่านั้น โดยจะมีการแยกย่อยออกไปอีกมากมายตามความสามารถไม่ว่าจะเป็น สาขาศัลยกรรมทั่วไป ศัลยกรรมกระดูก และศัลยกรรมประสาท

 

แพทย์ขั้น 1 ก็คือแพทย์ระดับสูงที่มีเทพผู้พิทักษ์เป็นเทพโอสถ คอยคุ้มครองพวกเขาอยู่ เนื่องจากคนเหล่านี้หาตัวจับได้ยาก พวกเขาส่วนมากจึงรับใช้แต่ราชวงศ์กับชนชั้นสูง

 

แพทย์ขั้น 2 ก็คือแพทย์ที่เป็นชนชั้นสูง ซึ่งมีเทพผู้พิทักษ์เป็นเทพองค์อื่น มีความสามารถในการรักษาอาการบาดเจ็บและบาดแผลต่างๆ แต่โดยส่วนมากพวกเขาก็จะทำการผ่าตัด โดยแพทย์ระดับนี้มักจะได้รับหน้าที่เป็นแพทย์ทหารในช่วงสงคราม

 

แพทย์ขั้น 3 ก็คือแพทย์สามัญชน ที่ทำหน้าที่ในการถอนฟัน เจาะเลือด กรีดฝี ขนาดที่เห็นได้ว่าบางคนก็ทำหน้าที่เป็นช่างตัดผมควบคู่กันไปด้วย แน่นอนว่าพวกเขาก็ยังเป็นสมาชิกของกิลด์ร้านตัดผม

 

แต่ในปีนี้ก็จะเห็นได้ว่า ไม่ได้มีเหล่าสามัญชนเข้ามาเรียนเลยสักคนเดียวในสาขาแพทยศาสตร์เพราะพวกเขาขาดความสามารถในด้านวิชาการและฝีมือ ดังนั้นจึงมีแต่เหล่าชนชั้นสูงที่ลงเรียน จนสามารถพูดได้ว่าเป็นสาขาที่แตกต่างจากสาขาอื่นที่สุดในมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิ

 

จากนั้นบริกิตก็ยิงคำถามใส่ฟาร์มา

 

 

「เมื่อครู่ท่านกล่าวถึงศาสตร์การทำนายใช่ไหมคะ หรือก็คือชิ้นเนื้อที่ท่านนำมาตรวจสอบนั้นก็ผ่านการทำนายด้วยศาสตร์แห่งเทพของท่านเหมือนกัน ช่างดูเป็นการทำนายที่ไม่ต่างจากการทำนายทั่วไปในอดีตเลยนะคะ」

 

「ก็เหมือนกับที่คุณพูดครับ」

 

 

ฟาร์มาตอบกลับไปทันที

 

「เข้าใจแล้วค่ะ ดูเหมือนท่านจะมีความมั่นใจอย่างมากในทักษะของท่าน ก็เข้าใจได้จากที่ท่านสามารถเป็นแพทย์โอสถหลวงตั้งแต่อายุยังน้อย ฉันรู้ดีว่าท่านเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่หาจับตัวได้ยาก แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น กับตัวผู้ป่วยแล้วด้วยการวินิจฉัยเพียงแค่นี้มันก็ยังดูไม่เหมาะสมค่ะ หากมันผิดพลาดขึ้นมาท่านจะทำเช่นไรคะ? 」

 

「หากเป็นเรื่องนั้น ผมก็ไม่มีวิธีที่จะยืนยันถึงข้อผิดพลาดในการวินิจฉัยและรักษาได้เช่นกันครับ」

 

 

ฟาร์มาครอบครองความสามารถที่คล็อดเรียกมันว่าการหยั่งรู้ แต่ฟาร์มาเรียกมันว่าดวงตาวินิจฉัย ส่วนผลลัพธ์ของมันจะถูกต้องต้องหรือไม่นั้นก็คงจะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้

 

เขาก็เพียงหาชื่อโรค และยาที่ตนที่ว่าเหมาะสมสำหรับการรับมือด้วยความรู้ที่เขามี แต่บางครั้งมันก็อาจจะมีบางอย่างที่เหนือการควบคุมของเขาไปด้วยก็ได้

 

“เรื่องมันก็เท่านี้แหละครับ” หลังจากที่บริกิตก็ส่งเสียงออกมาว่า “เห….” จากที่ฟาร์มาเดาดูเหมือนเธอพยายามจะเหน็บแนมคณบดีเด็กคนนี้ที่เธอไม่ค่อยชอบหน้าเท่าใดนัก

 

 

 

「เป็นการไร้ความรับผิดชอบที่ทำฉันอึ้งไปเลยนะคะ」

 

「หุบปากของเจ้าไปเสียบริกิต พวกเราไม่ใช่แพทย์ธรรมดากันเสียหน่อย พวกเราคือแพทย์ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ มันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือไงที่พวกเราจะใช้ศาสตร์แห่งเทพในการรักษาซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย นอกจากนี้ผลของการตรวจชิ้นเนื้อของฉันก็พบว่ามันมีเนื้องอกอยู่จริงด้วย」

 

 

คล็อดเป็นผู้ที่เข้ามาแทรก เนื่องจากเขาเองก็มีเทพโอสถเป็นเทพผู้พิทักษ์ เขาจึงสามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพหลายอย่างในการตรวจสอบและผ่าตัดได้

 

 

 

「หากมองดูตามภาพแล้วมันก็อาจจะเป็นเรื่องจริงค่ะ แต่ศาสตร์แห่งเทพดังกล่าวก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่ใช้มันได้คิดว่ามันเหมาะสมที่จะปักใจเชื่อแล้วเหรอคะ ที่พวกเราพยายามพัฒนากันมาจนถึงตอนนี้ก็เพื่อที่จะไม่ต้องใช้ศาสตร์แห่งเทพในการรักษาแท้ๆ ท่านเดอ เมดิซิสก็กล่าวเองว่าพวกเราจำเป็นต้องปฏิรูประบบการแพทย์เพื่อให้แพทย์ธรรมดาสามารถวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยได้โดยไม่พึ่งพาศาสตร์แห่งเทพนี่คะ」

 

 

เป็นการพูดที่ตรงไปตรงมา แต่ฟาร์มาก็คิดว่าความเห็นของเธอนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

 

 

「นั่นก็จริงครับ แต่เพราะมันคือศาสตร์แห่งเทพที่ผมได้เรียนรู้มาโดยบังเอิญมันจึงไม่สามารถสอนต่อกันได้โดยง่าย」

 

 

「หากเป็นเช่นนั้นมันก็คงเป็นศาสตร์แห่งเทพที่ใจแคบน่าดู」

 

 

บริกิตแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน แต่ดวงตาของฟาร์มาก็เปร่งประกายออกมาอย่างเฉียบคมราวกับว่ารอเวลานี้อยู่

 

 

 

「ดังนั้นผมเลยคิดว่าจะแสดงอะไรบางอย่างที่ใกล้เคียงให้พวกคุณได้เห็นกันแทน」

 

ฟาร์มาหยิบเครื่องแก้วและรูปภาพออกมาจากกระเป๋า

 

นี่คือหลอดเอกซเรย์และภาพถ่ายเอกซเรย์ที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะของกระดูกมือมนุษย์

 

 

 

「ส่วนนี่คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการปล่อยรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า ส่วนตรงนี้คือภาพถ่ายที่เราได้เมื่อทำการปล่อยรังสีผ่านเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ เนื่องจากทุกคนคงจะเคยฟังการบรรยายในคลาสของผมมาแล้วก็น่าจะทราบว่ารังสีแม่เหล็กไฟฟ้าคืออะไร และเหตุใดมันถึงปรากฏออกมาในลักษณะนี้」

 

 

ฟาร์มาได้ส่งรูปถ่ายดังกล่าวให้กับเหล่าผู้เข้าร่วมการประชุมภายในห้อง

 

บริกิตเบิกตากว้างขณะคว้าเอาภาพถ่ายจากมือฟาร์มา ส่วนทางคลอดก็ปรบมือด้วยท่าทางที่เกินจริงไปมากขณะกล่าวออกมา “น่าทึ่งยิ่งนัก” จากนั้นบริกิตก็ถามฟาร์มาด้วยความสงสัยต่อ

 

 

「ที่ท่านปรับปรุงสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะสามารถวินิจฉัยผู้ป่วยได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการทำนายนั่นสินะคะ? 」

 

「ก็เหมือนกับที่อาจารย์เลอ นอร์กล่าวครับ มันจะไม่มีความหมายอะไรเลยหากคนอื่นไม่สามารถทำได้เหมือนกับผม ดังนั้นผมจึงเตรียมอุปกรณ์ตัวต้นแบบเพื่อให้ทุกคนสามารถใช้มันได้ด้วย」

 

 

「ก็ทำได้ไม่เลวเลยนี่คะ ศาสตราจารย์เด็กน้อย!」

 

 

บริกิตก็ยังคงแอบแซะเขาเบาๆ

 

 

「พอได้แล้วน่า เลอ นอร์คุงอย่าแสดงท่าทางแบบนั้นอีก ศาสตราจารย์เดอ เมดิซิสผมต้องขอโทษแทนเธอด้วย เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องนี้ในภายหลังเอง」

 

 

 

 

คล็อดได้แสดงออกเหมือนกับเป็นผู้ปกครองของบริกิต จากนั้นแพทย์คนอื่นก็ยกมือขึ้นถาม

 

 

「การถ่ายภาพด้วยฟลูโอโรสโคปีเช่นนี้ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่จริงๆ รู้สึกคาดหวังถึงอนาคตของเทคโนโลยีนี้มากขึ้นแล้วสิ ส่วนแนวทางในการรักษาดังกล่าว มีเคสตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จแล้วหรือเปล่าครับ? 」

 

 

「ถ้าเรื่องนั้นผมยังไม่มีประสบการณ์กับมนุษย์ครับ แต่หากเป็นในการทดลองกับสัตว์ขนาดเล็ก ผมได้ทำการทดลองมาแล้ว ผลที่ได้คือ 8ใน10ของสัตว์ทดลองนั้นรอดชีวิตได้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังทำการผ่าตัดโดยไม่ต้องใช้โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์」

 

 

 

ตอนนี้คล็อดกำลังพยายามลับฝีมือของตนให้พร้อมสำหรับการผ่าตัดเปิดกะโหลกที่จะเกิดขึ้นในอีก 1 สัปดาห์

 

ส่วนตัวฟาร์มาก็เชื่อมั่นในความสามารถของเขา

 

 

「ถ้างั้นขอให้ฉันถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่าคะ」

 

 

คราวนี้คนที่ถามขึ้นมาคือฟรองซัวส์

 

พอพูดถึงการผ่าตัดของลูกตัวเอง ในฐานะคนเป็นผู้ปกครองแล้วก็คงอยากจะคลายข้อสงสัยต่างๆ ให้กระจ่าง ไม่กี่วันที่ผ่านมาฟาร์มาและคล็อดได้แจ้งให้กับทางฟรองซัวส์และนาตาลีทราบถึงเนื้องอกไกลโอบลาสโตมาแล้ว และได้รับคำยินยอมในการผ่าตัดจากทั้งคู่ พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นในการรักษาอีกแล้ว นอกจากนี้ตัวฟรองซัวส์เองก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนผ่าตัดด้วย

 

 

「ต้องขอขอบคุณที่ทุกท่านวางแผนการผ่าตัดขนาดใหญ่และท้าทายเช่นนี้เพื่อลูกสาวของฉันด้วยนะคะ ฉันขอเป็นตัวแทนในการขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง」

 

 

จากนั้นฟรองซัวส์ก็โค้งคำนับไปประมาณ 2-3 วินาทีเพื่อแสดงความขอบคุณ

 

「ฉันมีคำถามด้วยกันสองข้อค่ะ ฉันได้ยินเกี่ยวกับการมีอยู่ของโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์สองตัวที่จะใช้ในการบริหารยาระหว่างการผ่าตัด แต่ยาดังกล่าวมันสลายตัวไปอย่างรวดเร็วเลยไม่ใช่หรือไงคะ แล้วเหตุใดทางศาสนจักรจึงสามารถเก็บยาดังกล่าวมาได้นานกว่าร้อยปีแล้วกันคะ แล้วมันจะกระทบกับยาที่ท่านใช้อยู่ตอนนี้ด้วยหรือไม่คะ? 」

 

「เรื่องนั้นผมจะเป็นคนตอบให้เองครับ รายละเอียดของโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นความลับของทางนครศักดิ์สิทธิ์ ผมจึงไม่สามารถพูดออกมาได้ด้วยตนเอง แต่อย่างน้อยผมก็สามารถพูดได้ว่าตัวยาที่ผมจัดหามาได้นั้นไม่มีปัญหาในด้านประสิทธิภาพครับ แต่ตัวยาดังกล่าวก็คงจะสามารถจัดหามาได้เพียงแค่ในครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างยาตัวอื่นกับโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ ทางเราได้ประเมินเบื้องต้นแล้วผ่านการวิเคราะห์ด้วยศาสตร์แห่งเทพ พบว่าไม่มีปัญหาใดๆ ครับ」

 

 

ถึงจะเจ็บปวดที่ต้องพูด แต่ฟาร์มาก็ไม่ได้โกหกไปเสียทั้งหมด

 

แพทย์และแพทย์โอสถในห้องนี้ก็คงไม่มีใครคิดหรอกว่า ฟาร์มาจะเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเองกับมือ ทางเอเลนก็ได้แต่แสดงสีหน้าลำบากใจออกมาก่อนจะขยิบตาให้ฟาร์มา เพราะเธอคือคนเดียวในห้องที่รู้ความจริงนี้

 

 

「หรือก็คือท่านไม่สามารถเปิดเผยองค์ประกอบของยาดังกล่าวได้เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความลับของนครศักดิ์สิทธิ์สินะคะ แล้วท่านจะทำเช่นไรกันคะหากมันไม่ได้ผล」

 

 

 

เป็นบริกิตที่เข้ามาแทรกในการสนทนาอีกครั้ง ก็ใช่ว่าฟาร์มาไม่สามารถเปิดเผยมันได้ แต่มันไม่มีประโยชน์ที่จะเปิดเผยสิ่งที่ฟาร์มาสามารถทำได้แต่เพียงผู้เดียว จากนั้นฟาร์มาก็พูดตอบกลับ

 

 

「อันที่จริง การผ่าตัดนี้ไม่จำเป็นต้องใช้โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ครับ เพราะอัตราความสำเร็จก็น่าจะเท่าเดิม แต่เนื่องจากนี่เป็นการผ่าตัดเอาเนื้องอกในสมองออกเป็นครั้งแรกของโลก ดังนั้นผมจึงใช้มันเพื่อเป็นหลักประกันกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝันครับ」

 

「หากสามารถใช้โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ได้จริง ทำไมเราถึงไม่นำมันมาควบคู่กับการผ่าตัดหลังจากนี้ไปเลยล่ะคะ หรือมันมีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลังอีกกัน? 」

 

「มันก็เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ทรัพยากรและวัตถุดิบในการสร้างนั้นเป็นของที่ได้มาจากของที่เทพผู้พิทักษ์หลงเหลือเอาไว้ให้ซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดดังนั้น…」

 

 

ฟาร์มาไม่ได้พยายามแก้ไขความเข้าใจผิดอะไรเพิ่ม เพราะตอนนี้บริกิตและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้รู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันของฟาร์มา พวกเขาทั้งหมดต่างเข้าใจว่าโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นได้มาจาก เทพโอสถที่จุติลงมาในอดีต

 

ฟาร์มาก็เลยถือใช้ประโยชน์จากจุดนั้นไปเสียเลย

 

「การใช้โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่อย่างจำกัดจึงไม่ควรถูกนำมาเป็นตัวหลักในการรักษาต่อจากนี้ไปครับ และเราก็ไม่ควรจะเผยแพร่มันออกไปด้วย ผมคิดว่าเป็นการดีที่สุดที่พวกเราจะมุ่งเน้นไปในการใช้ศาสตร์แห่งเทพและแผนการรักษาที่คนทั่วไปก็สามารถเข้าถึงได้จะดีกว่า」

 

「อันที่จริงก็ควรเป็นแบบนั้นแหละ」

 

「ก็ช่วยไม่ได้นี่เนอะ」

 

เหล่าแพทย์และแพทย์โอสถต่างก็ลงความเห็นกันเป็นเอกฉันท์

 

 

ถึงจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้แต่ก็คงต้องยอมไป

 

 

「แล้วแพทย์โอสถจะมีส่วนช่วยในการผ่าตัดด้านไหนบ้างเหรอครับ? 」

 

 

เป็นคำถามจากทางสาขาโอสถศาสตร์

 

 

「สำหรับแพทย์โอสถที่เข้ามาทำงานร่วมกับทีมแพทย์ผ่าตัดนั้น เราจะช่วยในการบริหารยาระหว่างการผ่าตัดครับ ไม่ว่าจะเป็นการ ดมยาสลบ ควบคุมอุณหภูมิ และจัดเตรียมยาเพิ่มเต็มระหว่างการผ่าตัด วัดปริมาณยาที่ใช้อย่างเหมาะสม โดยรายละเอียดผมจะคุยกันภายในสาขาพรุ่งนี้ครับ แม้มันจะเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก แต่พวกเราก็จะพยายามกันเต็มที่เพื่อช่วยชีวิตเธอให้ได้ หากไม่มีคำถามใดๆ เพิ่มเติม เราจะทำการปิดการประชุมในวันนี้ลงแล้วนะครับ」

 

 

ดังนั้น นี่จึงเป็นการปิดการประชุมร่วมกันก่อนผ่าตัดในวันนี้ลง ถึงแม้มันจะยังไม่สามารถขจัดความกังวลออกไปได้จนหมดก็ตาม

 

 

 

 

 

แล้วรุ่งเช้าของวันนั้นก็มาถึง

 

เมื่อนาตาลีตื่นขึ้นมาภายในห้องของโรงพยาบาล สายตาของเธอก็ถูกดึงดูดไปทางด้านนอกหน้าต่างที่กำลังเปิดอยู่ ด้านหลังของม่านนั้นกำลังมีดวงอาทิตย์ที่ขึ้นตัดผ่านหมอกอันหนาทึบของจักรวรรดิ แสงสว่างค่อยๆ ส่องกระจายออกไปทั่วเมือง

 

 

 

「อรุณสวัสดิ์นะ คุณนาตาลี บลอนเดล」

 

 

「พระอาทิตย์ยามเช้านี่สวยจังเลยนะคะ ศาสตราจารย์」

 

 

นาตาลีตอบกลับมาขณะมองออกไปนอกหน้าต่างโดยที่ไม่หันกลับมามองฟาร์มา

 

จากนั้นฟาร์มาก็ไปยืนอยู่ข้างๆ นาตาลีที่ริมหน้าต่าง

 

 

 

「จากสภาพอากาศแล้วคงจะเป็นแบบนี้ไปอีก1-2วันครับ ฤดูใบไม้ผลิคงจะใกล้มาถึงแล้ว」

 

 

「เอาซะอยากจะซึมซับแสงของมันเข้าไปให้เต็มดวงตาเลยค่ะ」

 

 

นาตาลีระบายความรู้สึกที่ไม่สบายใจออกมาให้กับฟาร์มาที่นำยาสำหรับก่อนการผ่าตัดมาให้เธอ

 

「หากใช้ตารับแสงไปขนาดนั้น ดวงตาอาจจะไหม้เลยก็ได้นะครับ ยังไงเดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเราก็จะได้เจอกันใหม่อยู่แล้วไว้ค่อยมามองอีกทีก็ได้ ส่วนเรื่องอาหารเพราะเป็นก่อนการผ่าตัดคงต้องงดไปนะครับ」

 

 

ระหว่างที่กำลังคุยกับนาตาลี ฟาร์มาก็นำโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ที่บรูโนมีส่วนเข้ามาช่วยเตรียมให้ด้วยความยากลำบากตั้งแต่เที่ยงคืนที่ผ่านมาพร้อมกับยากล่อมประสาท

 

โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์นี้จะเป็นหลักประกันความปลอดภัยในชีวิตเธออีกไม่กี่วันข้างหน้า

 

ฟาร์มาที่เฝ้ามองนาตาลีกำลังดื่มยาสีน้ำเงินนั้นไปจนหมดแก้วก็ถามขึ้นมา

 

 

 

 

「มีอาการผิดปกติอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายหรือเปล่าครับ」

 

 

「ไม่เลยค่ะ ร่างกายรู้สึกอบอุ่นและสงบใจขึ้นมายังไงไม่รู้เหมือนกัน」

 

 

นาตาลีค่อยๆ ลูบอกของเธอ

 

สำหรับประสิทธิภาพของโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนมันจะช่วยให้ผู้ดื่มสงบสติอารมณ์คลายความกังวลลงได้ด้วย

 

 

 

「ดีแล้วครับ ที่เหลือก็มั่นใจและคิดบวกเอาไว้นะครับ」

 

「คือว่าฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องศาสตราจารย์ค่ะ เพราะฉันคงจะเอามันไปให้ท่านแม่โดยตรงไม่ได้ แต่หากเกิดอะไรขึ้น รบกวนท่านเก็บสิ่งนี้ไว้ให้หน่อยได้ไหมคะ? 」

 

 

มันคือจดหมายหลายฉบับที่อยู่ภายในกล่องเล็กๆ นาตาลีมอบมันให้กับฟาร์มา

 

แต่หน้าซองก็จะมีชื่อของผู้ที่ต้องรับส่งให้จ่าหน้าอยู่ ดูเหมือนมันจะเป็นจดหมายสั่งลาที่เธอตั้งใจจะมอบมันให้กับ แม่ ญาติพี่น้อง และเพื่อนของเธอ

 

พอเขาเปิดดู ก็พบว่ามีชื่อของเขาอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งมันมีรอยหมึกที่ไหลอยู่บนซองจดหมาย หากให้เขาเดานั่นน่าจะต้องเป็นน้ำตาของเธอที่หยดลงบนจดหมายระหว่างเขียน จากนั้นฟาร์มาก็รับคำขอของนาตาลีไว้

 

「ผมจะเก็บสิ่งนี้ไว้ให้คุณเองครับ แต่ผมก็มีบางอย่างจะมอบให้กับคุณเช่นกัน นี่เป็นดอกไม้ที่ผมปลูกในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา ดอกของมันออกมาสวยงามมากเลยครับ ดูสิ」

 

 

ฟาร์มาได้นำดอกไม้สีเหลืองที่ถูกใส่เอาไว้ในขวดเล็กๆ ไปตั้งไว้บริเวณริมหน้าต่างของห้อง

 

 

「ศาสตราจารย์ก็ปลูกดอกไม้ประดับเหมือนกันเหรอคะ? น่าแปลกจัง ฉันก็นึกว่าท่านจะปลูกแต่ของอย่างสมุนไพรเสียอีก」

 

「ผมก็ไม่ได้เป็นแพทย์โอสถตลอดทั้งวันทั้งคืนสักหน่อยครับ นอกจากนี้ ผมได้ยินมาว่าแม่ของคุณก็ชอบดอกไม้ด้วยนี่นา」

 

「แล้วดอกไม้นี้มีความหมายหรือเปล่าคะ? 」

 

「มีสิครับ」

 

 

ฟาร์มายิ้มออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ

 

 

 

「เอ๋ มีด้วยเหรอคะ」

 

 

「ไม่มีผู้ใดรู้ถึงวันพรุ่งนี้ แต่อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่ใช่วันตายของคุณครับ」

 

 

「…เดี๋ยวเถอะค่ะ นี่กะจะมาหลอกกันแบบจริงจังเลยสินะคะ」

 

 

「อย่างน้อยนั่นก็คือความตั้งใจของผมนะ ไว้เจอกันที่ห้องผ่าตัดนะครับ」

 

 

ฟาร์มาให้กำลังใจนาตาลีด้วยคำพูดนั้น จากนั้นเขาก็กำมือของตัวเองไว้ด้วยอีกมือหนึ่งแล้วเดินออกจากห้องพักไป

 

นาตาลีที่เห็นท่าทางแปลกๆ ของฟาร์มาที่เหมือนกับกำลังเล่นละครใบ้ก็ได้แต่นั่งงง

 

 

 

「เป็นแบบนั้นเองเหรอ」

 

 

ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอจึงได้ทำการเป่าลมจากปากใส่ดอกไม้นั้น ก่อนจะใช้นิ้วของเธอลูบไล้ไปตามกลีบดอกอย่างเบามือ

 

เธอรู้แต่แรกอยู่แล้วว่าภาษาของดอกโครคัสคืออะไร

 

สิ่งที่ฟาร์มาอยากจะบอกเธอก็คือ “เชื่อมั่นในตัวผมสิ”

 

「ฉันละเกลียดคนแบบเขาจริงๆ ให้ตายสิ ทำไมถึงไม่ยอมพูดเรื่องสำคัญแบบนี้ออกมากันนะ? 」

 

 

แต่ถึงนาตาลีจะบ่นออกมาแบบนั้น แต่ใบหน้าของเธอกลับยิ้ม

 

 

 

 

ปี 1148 วันที่ 10 มีนาคม เวลา 9.00 น. นาตาลี บลอนเดล ได้เข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลซึ่งติดอยู่กับมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิ เนื่องจากห้องผ่าตัดนั้นเป็นห้องกระจก เหล่านักเรียนแพทย์จำนวนมากจึงได้เดินทางเข้ามาดูพร้อมกับสมุดจดและกล้องถ่ายรูปของตน แน่นอนว่าแสงสว่างภายในห้องผ่าตัดนั้นก็เพียงพอ เพราะใช้หลักการสะท้อนของกระจกเพื่อทำการรวบรวมแสง

 

นอกจากนี้เกี่ยวกับสุขอนามัยของห้องผ่าตัด อาณาเขตกำจัดเชื้อและมนตร์ชำระล้างอากาศให้บริสุทธิ์ของคล็อดก็ถูกนำมาใช้งานล่วงหน้าแล้ว จึงทำให้ห้องดังกล่าวปราศจากเชื้อโรค

 

ตอนนี้นาตาลี บลอนเดลได้รับโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์สองชนิดที่สร้างขึ้นโดยฟาร์มาเรียบร้อยแล้ว ลักษณะของเธอตอนนี้อยู่ในสภาพนอนหงายและถูกตรึงศีรษะเอาไว้ด้วยอุปกรณ์โลหะสามชิ้น บริเวณส่วนที่จะผ่าตัดก็ได้ถูกโกนเอาเส้นผมออกไปจนหมดแล้ว ก่อนจะฆ่าเชื้อบริเวณดังกล่าวด้วยโพวิโดน-ไอโอดีน ก่อนจะตามด้วยแอลกอฮอล์ จากนั้นเมื่อทำการขีดเส้นบริเวณส่วนที่จะผ่าตัดเสร็จ พวกเขาก็ทำการดมยาสลบเธอ เนื่องจากว่าไม่สามารถใช้การดมยาสลบแบบผ่านท่อช่วยหายใจได้เนื่องจากอุปกรณ์ที่ขาดไป พวกเขาจึงได้ใช้หน้ากากวาล์วในการรับยาสลบแทน

 

ฟาร์มาได้ทำการตรวจสอบปริมาณยาที่ต้องใช้ล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว โดยกระบวนการดังกล่าวนั้นนอกจากฟาร์มาแล้วก็ได้แพทย์ประจำอีกท่านหนึ่งที่กำลังอยู่ในช่วงฝึกฝนการเป็นวิสัญญีแพทย์ช่วย พูดตามตรงว่า บนโลกใบนี้แทบไม่มีผู้เชี่ยวชาญในด้านการจัดการยาสลบมาก่อนเลย ที่พูดก็รวมถึงฟาร์มาด้วย ดังนั้นเขาจึงต้องขอความร่วมมือจากเอเลนที่ใช้ดวงตาวินิจฉัยได้เช่นเดียวกับเขา ในการฝึกจับชีพจรอยู่หลายวัน เพื่อตรวจหาความอิ่มตัวของออกซิเจน อุณหภูมิของร่างกาย และอัตราการหายใจ รวมไปถึงความผิดปกติอื่นๆ ที่มีนัยสำคัญ

 

เนื่องจากดวงตาวินิจฉัยของพวกเขาไม่สามารถวัดคลื่นสมองได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องวัดระดับมันด้วยความตื่นตัวด้วยสีที่เปลี่ยนไปของสมองตามสิ่งเร้าที่กระทำแทน

 

 

แถมถ้าปล่อยให้เธอใช้พลังเป็นเวลานาน เอเลนก็จะหมดแรงด้วย

 

ต่อมาคือเรื่องอุปกรณ์การแพทย์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ทั้งหมดไม่มีอยู่ที่นี่ พวกเขาจึงต้องให้เอเลน คอยรายงานไปด้วยหากมีเหตุร้ายแรงถึงชีวิตของผู้ป่วย

 

ถ้าร่างของบลอนเดล เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ไม่ใช่แค่บริเวณส่วนหัว ก็แปลว่าเกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้นนั่นเอง

 

เพราะการใช้ดวงตาวินิจฉัยนั้นสามารถพยากรณ์แนวทางการรักษาของโรคได้ แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นเหมือนเดิมเสมอไป มันสามารถเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา และอาจจะนำพาไปสู่ความล้มเหลวในการผ่าตัดได้ ถึงจะมีโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์และสามารถอยู่ไปได้อีกสองถึงสามวันเพราะร่างกายที่เป็นอมตะก็ตาม แต่สุดท้ายเธอก็คงจะเสียชีวิตหลังจากนั้นอยู่ดี เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องนั้นขึ้น เอเลนจึงไม่สามารถลดการเฝ้าระวังลงได้เช่นกัน

 

ทั้งหมดที่ว่ามาฟาร์มาจึงปล่อยให้เอเลนเป็นฝ่ายตรวจสอบสัญญาณชีพของนาตาลี ส่วนเขาจะจัดการในส่วนอื่น เพราะฟาร์มาจำเป็นต้องสนับสนุนการผ่าตัดของคล็อดโดยตรงในการจัดการเนื้องอกและให้คำแนะนำ (จะให้เอามือมาติดข้างตาระหว่างผ่าตัดบ่อยๆก็คงจะทำไม่ได้)

 

เขาไม่จำเป็นต้องประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป และแบ่งงานให้คนอื่นทำเพื่อไม่ให้ตนเป็นภาระมากเกินไป

 

 

 

「จากนี้ไปจะเริ่มทำการผ่าตัด ผู้ป่วยอายุ 18 ปี ตำแหน่งของเนื้องอกคือบริเวณสมองกลีบขวาส่วนหน้า กำหนดการผ่าตัดคือ 4 ชั่วโมง ขอฝากตัวด้วยทุกคน」

 

 

หลังจากสิ้นเสียงของคล็อด เขาก็เริ่มทำการกรีดมีดลงไปที่หนังศีรษะที่ทำเครื่องหมายเอาไว้แล้ว

 

สายตาของฟาร์มานั้นจะเป็นผู้นำทางการผ่าตัดของศัลยแพทย์ทั้งหมด และฝีมือการผ่าตัดที่จะทำให้เรื่องนั้นเป็นจริงได้ก็คือคล็อดแต่เพียงผู้เดียว จากนั้นเขาก็ยังต้องขอให้บริกิตที่ยังคงแสดงความไม่พอใจมาเป็นผู้ช่วยในการผ่าตัดด้วย

 

ในมือของคล็อดนั้นคือมีดที่ทำมาจากคริสทัล ซึ่งมันสามารถกลายเป็นคทาแห่งเทพขนาดเล็กได้ด้วย นั่นก็หมายความว่ามันสามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้นั่นเอง ทำให้เลือดที่ออกมาจากตัวของผู้ป่วยนั้นถูกควบคุมได้โดยศาสตร์แห่งเทพ ใบมีดที่ผ่าไปยังร่างของผู้ป่วยบริเวณผิวหนังชั้นนอกถูกกรีดออกมาโดยฝีมือที่ประณีต แน่นอนว่าหลังจากกรีดไปก็ไม่ได้มีเลือดออกมาตามแผลที่ถูกกรีดเนื่องจากศาสตร์แห่งเทพของคล็อดได้ทำการควบคุมเหมือนฟิล์มที่กันเลือดเอาไว้แล้ว

 

แม้จำเป็นไปตามที่เขาบอกทั้งหมด แต่ฟาร์มาก็ยังอดกลัวไม่ได้

 

จากนั้นบริกิตก็เข้ามาช่วยเอาหนังศีรษะออก ก่อนจะใช้ผ้าก๊อซปิดขอบแผลดังกล่าว และเปิดเอาเยื่อดูราออกมา

 

 

คล็อดได้ทำการกรีดแผลต่อไปราวกับวาดลายเส้น เขายกส่วนที่ปิดผิวหนังออกไปจนหมดก่อนจะใช้มีดสำหรับเยื่อดูรา เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนดังกล่าวอย่างราบรื่น มันก็สร้างความน่าประหลาดใจให้กับเหล่าแพทย์ที่สังเกตการณ์อยู่

 

 

 

「สมกับเป็นท่านหัวหน้าแพทย์หลวง」

 

 

「เดี๋ยวเถอะ พวกเรากำลังเริ่ม อย่ารีบมาพูดประจบกันตอนนี้」

 

 

คล็อดพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ในขณะที่มีเสียงสรรเสริญดังขึ้น แต่ถึงจะมีเสียงรบกวนเหล่านี้อยู่ ก็ไม่ได้ทำให้เขาเสียสมาธิไปเลยแม้แต่น้อย

 

จากนั้นเขาก็หยิบเอาสว่าน มาเจาะรูเล็กๆ หลายรูบริเวณ บนผิวของกระดูกศีรษะ ก่อนจะตัดช่องว่างเหล่านั้นออกราวกับดึกจิ๊กซอว์ นอกจากนั้นเขาก็ทำการเจาะรูเอาไว้ล่วงหน้าสำหรับการตรวจชิ้นเนื้อในสมองแล้วด้วย ก่อนจะให้น้ำเกลือตามที่จำเป็น ส่วนทางด้านของบริกิตก็จะเป็นฝ่ายป้องกันไม่ให้เศษกระดูกกระเด็นออกไปที่อื่นได้

 

 

 

「เอาละทีนี้ก็ถึงเวลาของการหาเนื้องอก โปรดนำทางผมไปที」

 

 

ถึงแม้จะมีการแสดงแบบจำลองภาพในสมองของบลอนเดลมาก่อนแล้ว ฟาร์มาก็ยังจำเป็นต้องคอยกำกับดูเพื่อป้องกันเส้นเลือดและบอกทิศทางของเนื้องอกที่ถูกต้องจริงๆ ส่วนทางคล็อดก็ทำการผ่าเยื่อสมองและเนื้อขาว เพื่อตรงไปยังจุดที่เนื้องอกอยู่ตามแผน

 

 

 

「นี่มัน….เจอสักที สีของมันต่างจากเนื้อขาว แปลว่าคือเนื้องอกสินะ」

 

 

บริเวณโดยรอบของเนื้องอกนั้นจะถูกกรีดออกไปโดยมีดผ่าตัดของคล็อด ซึ่งอยู่ในระยะที่ปลอดภัยกับตัวสมอง จากนั้นคล็อดก็ทำการกรีดเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้าด้านขวาตามคำแนะนำของฟาร์มา อันที่จริงแล้วหากเป็นการผ่าตัดสมองการผ่าตัดสมองแบบผู้ป่วยตื่นจะมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่อย่างน้อยด้วยความสามารถจากศาสตร์แห่งเทพที่คล็อดควบคุมอยู่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ส่วนทางด้านบริกิตก็ทำการดูแลจุดที่มีเลือดออกซึ่งเกิดจากมีดไปด้วยเพื่อป้องกันเลือดจับตัวกัน ก่อนจะทำการห้ามเลือดในลำดับถัดไป

 

ไม่นานนัก คล็อดก็เริ่มหายใจเข้าออกลึกๆ เมื่อเสร็จสิ้นการผ่าตัด และดื่มน้ำด้วยความสงบนิ่ง แม้จะเสร็จงานแล้วเหงื่อของเขาก็ยังไม่ออกมาเลยแม้แต่หยดเดียว

 

 

「เอาละ การผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว แต่ไม่แน่ใจเนื้องอกได้ถูกผ่าออกมาหมดแล้วหรือยัง ศาสตราจารย์ฟาร์มาขอรบกวนด้วย」

 

 

พอเสร็จหน้าที่ของคล็อดแล้ว ฟาร์มาก็ทำการมองเข้าไปภายในสมองก่อนจะสอดนิ้วของตนเข้าไปตรวจสอบเพื่อดูว่ามีก้อนเนื้อแข็งๆ หลงเหลืออยู่ไหม

 

 

「ครับ เป็นไปตามที่คาด เนื้องอกกว่า 99% ถูกนำออกไปแล้ว จากนี้เราสามารถนำไปวินิจฉัยต่อได้เลย」

 

 

จากนี้ไปก็จะเป็นการค้นหาที่มาของเนื้องอกผ่านพยาธิวิทยา แน่นอนว่าปัจจุบันยังไม่มีแพทย์อายุรเวช แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีแผนกที่รวมการทำงานระหว่างการตรวจทางคลินิกและแผนกพยาธิวิทยาเข้าไว้ด้วยกันแล้ว

 

ระหว่างที่รอการวินิจฉัยหลังการผ่าตัด ฟาร์มาก็คอยตรวจสอบซ้ำอีกทีว่ามีเนื้องอกหลงเหลืออยู่ไหม โดยไม่พึ่งพาดวงตาวินิจฉัยเข้าไปด้วย แต่ไม่ว่าจะวิธีไหน เขาก็ไม่เห็นส่วนที่ผิดแปลกออกไปในสมองเธอแล้ว

 

เขามองว่าระยะในการสกัดกั้นการลุกลามของมันน่าจะเพียงพอแล้ว จากนั้นเขาก็ไปขอคำยืนยันจากมุมของเอเลนว่าเห็นตรงกันกับเขาไหม

 

 

เพราะเป้าหมายของเขาคือการผ่าตัดให้สมบูรณ์ภายในครั้งเดียว โดยไม่จำเป็นต้องผ่าเนื้องอกเพิ่มอีก

 

 

「เอเลนเห็นว่าไงบ้าง? 」

 

「จากมุมฉันก็มองว่าไม่เหลืออะไรอยู่แล้วนะ ไม่เห็นส่วนที่ประกายออกมาด้วย ถึงจะยังไม่ได้ใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูก็เถอะ」

 

 

「เอาเถอะ การจะมองเข้าไปถึงหน่วยเซลล์เลยมันก็มีขีดจำกัดด้วยนี่….」

 

 

หลังจากผ่านไปประมาณ 15 นาที แพทย์ที่ดูแลเรื่องการตรวจผลก็นำผลมาแจ้งให้เขา

 

 

「ดูเหมือนเราจะไม่พบเนื้องอกที่หลงเหลืออยู่ภายในสมองอีกแล้วครับ ดังนั้นคงไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดเพิ่ม」

 

 

「ขอขอบพระคุณมากเลยครับ」

 

 

ฟาร์มาตอบกลับราวกับรู้ผลอยู่แล้ว

 

 

 

「เพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นมาซ้ำอีก เราจะทำการใส่เมทริกซ์โพลิเมอร์ที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพของคาร์มัสทีนลงไป ก่อนจะทำการให้สารรังสีที่มุ่งเป้าโดยตรงไปยังเนื้องอก」

 

「ถ้าเช่นนั้น ที่เหลือพวกเราจะปล่อยเวทีนี้ให้กับท่านศาสตราจารย์เดอ เมดิซิสต่อแล้วกันนะครับ」

 

 

ฟาร์มาจะทำการรับผิดชอบในส่วนนี้ โดยการใช้คาร์มัสทีนในการยับยั้งการถอดรหัสและจำลองตัวเองของดีเอ็นเอเนื้องอกออกไปไม่ให้มันเพิ่มจำนวนได้ ก่อนจะใช้ยากัมมันตรังสีที่เป็นแอนติบอดี้ที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการกับเนื้องอก ซึ่งฟาร์มาค้นพบมันตอนที่ทดสอบทางพันธุ์กรรมก่อนการผ่าตัด จากตัวอย่างชิ้นเนื้อที่เขาได้มา มันจะทำการจัดการเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้องอก นอกจากนี้กัมมันตภาพรังสีที่ปล่อยรังสีบีตาและรังสีแกมมาออกมาจะจับตัวเข้ากับแอนติบอดี้เอง เพื่อทำการฆ่าเซลล์เนื้องอกซึ่งกระจายอยู่ในสมอง

 

 

 

「จากนี้ไป เราก็จะเริ่มปิดแผลของผู้ป่วย โดยเริ่มจากส่วนที่ลึกสุดก่อน」

 

 

คล็อดทำการเย็บดูราและปิดมันด้วยกาวไฟบรินที่ฟาร์มาจัดหามาให้ เพื่อกันไม่ให้น้ำไขสันหลังรั่วออกไปได้ เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ไม่ได้มีการถ่ายเลือดให้ผู้ป่วย จึงไม่จำเป็นต้องใส่ท่อระบาย ชิ้นส่วนกระดูกและขอบของมันก็ถูกเย็บเข้าที่เดิมก่อนจะยึดมันด้วยด้าย ซึ่งขึ้นตอนการเย็บในส่วนชั้นใต้ผิวหนังนั้นจะถูกทำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้โดนส่วนสำคัญ ต่อมาก็เป็นผิวหนังชั้นนอกที่จะถูกปิดเอาไว้ด้วยเครื่องเย็บกระดาษทางการแพทย์

 

 

 

 

「เสร็จสิ้นการผ่าตัดส่วนสุดท้าย เหนื่อยกันหน่อยนะทุกคน」

 

 

เอเลนและฟาร์มารีบเข้ามาทำการตรวจสอบสภาพทั่วไปของบลอนเดล

 

ฟาร์มารับช่วงต่อมาจากคล็อด และเข้ามาดูแลการพักฟื้นจากฤทธิ์ของยาสลบ บลอนเดลไม่น่าจะมีอาการติดเชื้อหลังรับการผ่าตัดตราบใดที่เธอยังอยู่ในพื้นที่ปลอดเชื้อ แต่เขาก็ควรจะสังเกตอาการอย่างน้อย 20-30นาทีก่อนผู้ป่วยจะตื่น

 

 

「เวลาปฏิบัติการทั้งหมดอยู่ที่ 4 ชั่วโมง 41 นาที มีเลือดออกทั้งหมด 50 ครั้ง ทุกคนทำได้ดีมาก」

 

 

หลังจากที่คล็อดออกจากห้องผ่าตัดไป ฟาร์มาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

 

 

 

「โชคดีที่การคาดเดาของท่านแม่นยำนะคะ ศาสตราจารย์เดอ เมดิซิส」

 

 

บริกิตพูดกับฟาร์มา ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันคือคำเหน็บแนมหรือชมกันแน่

 

 

 

 

 

 

หลังจากผลของยาสลบหมดลง นาตาลีก็ลืมตาตื่นขึ้นมา เห็นว่าแม่ของเธอกับฟาร์มากำลังจ้องมองเธออยู่ด้วยสายตาที่ห่วงใย

 

 

「รู้หรือเปล่าว่าแม่เป็นใคร อดทนได้ดีมากเลยนะ ส่วนการผ่าตัดก็ประสบความสำเร็จด้วย」

 

 

ฟรองซัวส์เข้ามาจับมือของนาตาลีเอาไว้ ขณะที่ฟาร์มาก็เฝ้าดูอาการของนาตาลีอย่างระมัดระวังและประเมินอาการของเธอเมื่อตื่นขึ้น ถึงจะเป็นตัวฟาร์มาเองแต่เอาจริงๆ เขาก็ไม่รู้ถึงรายละเอียดในขั้นตอนนี้มากหรอก ต้องขอบคุณข้อมูลในเน็ตที่เขาหามาได้จริงๆ

 

 

 

「เนื้องอกถูกเอาออกไปหมดแล้วนะ ตอนนี้ลูกไม่เป็นไรแล้ว」

 

 

「งั้นเหรอคะ….ขอบคุณมากเลยนะคะ」

 

 

นาตาลีเงยหน้าขึ้นมาและขอบคุณฟาร์มาที่ยืนอยู่ถัดจากฟรองซัวส์

 

 

ฟาร์มาก็พยักหน้าเล็กน้อยและยิ้มออกมา และแล้วเธอก็เห็นคนอื่นๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็น แพทย์ แพทย์โอสถ เอ็มเมอริค โจเซฟีน รวมไปถึงเพื่อนของเธอที่เข้ามาดูอาการเธอหลังการผ่าตัด ทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้สำเร็จขึ้นมาได้ก็เพราะความร่วมมือจากทุกฝ่าย เธอจึงกล่าวขอบคุณออกมาอีกครั้ง

 

หลังจากที่ได้ยินว่านาตาลีตื่นขึ้นมาแล้ว ดูเหมือนคล็อดจะถูกพวกรุ่นน้องแพทย์วิ่งไปแจ้งและเรียกตัวเขามาดูทันที เขาจึงโผล่เข้ามาในห้องโดยยังสวมชุดคลุมสีขาวเอาไว้อยู่

 

 

 

「โฮ่ น่ายินดีจริงๆ ที่เธอตื่นขึ้นมาได้แล้ว」

 

 

「ฉันก็เหมือนกันค่ะ ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะ」

 

 

นาตาลีมองไปยังทุกคนและก้มหัวให้ ก่อนจะร้องไห้ออกมา

 

 

 

「ฉันรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นการผ่าตัดที่ยาก ทั้งที่ถอดใจไปแล้วครึ่งหนึ่งและคิดว่าจะไม่มีทางตื่นขึ้นมาได้อีกแล้วแท้ๆ 」

 

「少จากนี้ก็พักผ่อนอีกสักหน่อยนะครับ หากรู้สึกเจ็บตรงไหนก็บอกผมได้เลย นอกจากนี้หากมีความกังวลใดๆ เพิ่มเติมก็แจ้งได้ทันทีนะครับ วันนี้ผมจะคอยอยู่ดูแลคุณ ดังนั้นหน้าที่ในการจัดการความเจ็บปวดของคุณก็จะมีผมกับแม่ของคุณคอยดูแลเอง」

 

 

ฟาร์มาขยิบตาให้กับนาตาลี

 

&nbsp

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลกายในช่องว่างแห่งมิติไร้ซึ่งที่สิ้นสุด ที่ซึ่งเหล่าผู้เคยต่อสู้ฝ่าฟันกับชีวิตของตนดำรงอยู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าที่นี่คือแห่งหนใด พื้นที่กว้างใหญ่เป็นอนันต์เปรียบเสมือนดั่งสุสาน มีผู้พิทักษ์ไร้นามคอยปกป้องอยู่ เหล่าผู้ล่วงลับต่างหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของตนเป็นนิรันดร์ วันหนึ่งผู้พิทักษ์สุสานได้เลือกคน คนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของคนผู้นั้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ตนนั้นได้ดึงเอาความทรงจำของร่างดังกล่าวออกมาจากสุสานก่อนจะโยนมันเข้าไปในห้วงอวกาศ มันได้ล่องลอยไปในจักรวาลอันห่างไกลและท้ายที่สุดมันก็ถึงยังจุดหมาย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งภายในร่างของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตจากฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset