ตอนที่ 104 ความเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน
ปี 1148 ช่วงกลางเดือน มีนาคม
วันนี้เป็นวันที่ฟาร์มาต้องเข้าร่วมประชุมตามวาระกับเหล่าคาร์ดินัลที่วิหารเทพพิทักษ์ของวัง
ด้วยการที่ได้จักรพรรดินีเอลิซาเบทมาเป็นพระสันตะปาปาแห่งนครศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งได้ปฏิรูปศาสนจักรทั้งหมดเสียใหม่ ซึ่งมีซาโลม่อนเป็นผู้จัดการในเชิงโครงสร้างทั่วไป ส่งผลให้พิธีการและวาระการประชุมที่จำเป็นต้องมีฟาร์มาเข้ามาเกี่ยวข้องนั้นถูกลดจำนวนลงเหลือน้อยมาก จนทำให้มีแต่เรื่องที่จำเป็นต้องมีเขาเท่านั้นจริงๆ ถึงเชิญมา
หากเป็นช่วงก่อนฟาร์มาก็คงจำเป็นต้องเดินทางไปที่นครศักดิ์สิทธิ์เพื่อประชุมสัปดาห์ละครั้ง แต่ตอนนี้ศูนย์รวมอำนาจหลักนั้นได้ถูกโยกย้ายมายังเมืองหลวงจักรวรรดิแล้ว
「จากนี้ไปก็จะเป็นการประชุมตามวาระนะครับ」
ว่าแล้วฟาร์มาก็ได้รับบางสิ่งมาจากนักบวช
ในอดีตแน่นอนว่าเทพผู้พิทักษ์ย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการประชุมที่สำคัญของทางศาสนจักร รวมไปถึงการออกความเห็นด้วย แต่เพราะเอลิซาเบทเป็นผู้จัดการเองทั้งหมด ฟาร์มาจึงสามารถมาอยู่ตรงนี้ได้
「นี่เป็นรูปแบบโครงสร้างเครือข่ายของเราที่ทางท่านเทพผู้พิทักษ์ขอครับ โดยเราทำการสรุปสถานที่ตั้งของวงเวทและเฉลียงทางเดินพลังแห่งเทพที่กระจายอยู่ทั่วโลก」
「ได้มาแล้วสินะครับ ต้องขอขอบคุณมากจริงๆ 」
ในตอนแรกฟาร์มานั้น ถูกปฏิบัติราวกับไม่ใช่มนุษย์ซึ่งแตกต่างจากนักบวช แต่ด้วยเวลาที่ทั้งสองฝ่ายได้เปิดใจและใช้ร่วมกันก็ทำให้พวกเขามองเห็นว่าแท้จริงฟาร์มาเป็นเช่นไร ก่อนจะเริ่มพูดคุยกับเขาเหมือนเป็นมนุษย์คนหนึ่งมากขึ้น นอกจากนั้นในการประชุมรอบนี้เขายังได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ซาโลม่อนได้เดินทางไปยังทั่วทุกหนแห่งเพื่อสร้างสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งใหม่และวงเวทพิเศษเพื่อทดแทนของเดิมที่เสียหายบางส่วน โดยมีจูเลียน่าร่วมทางด้วย
「บริเวณจุดนี้จะเป็นพื้นที่เขตที่อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่สามารถเข้าไปถึงได้ครับ」
「ตรงนี้….ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่รกร้างเลยนะครับ」
ฟาร์มาแสดงสีหน้าที่จริงจังออกมา
「สถานที่เช่นนี้แหละครับ ที่จะกลายเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าวิญญาณร้าย」
「หากเป็นตามแผนที่นี้ จุดนั้นเป็นบริเวณทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีป อย่างเอนแลนสินะ? 」
เอลิเซเบทมองไปยังฟาร์มาก่อนจะใช้ปลายไม้ชี้ไปยังแผนที่ดังกล่าว ทางนักบวชก็ได้อธิบายให้เธอฟัง
「ฮ่ะ ถึงทางเราจะทราบดี แต่พวกเราก็ไม่สามารถไปยุ่งอะไรกับส่วนนั้นได้พ่ะย่ะค่ะ」
แน่นอนว่านครศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นประเทศที่ทำอำนาจเชื่อมโยงไปยังทั่วทุกประเทศในทวีปเพราะพวกเขาเป็นฝ่ายคอยควบคุมศาสตร์แห่งเทพเอาไว้ในมือ แต่ทว่าก็ยังมีประเทศในแถบขั้วโลกอย่างอาณาจักรเอนแลนซึ่งไม่ยอมรับในอำนาจของทางศาสนจักร และปกครองประเทศด้วยตนเองพร้อมกับมีกองกำลังในการต่อต้านศาสนจักรอยู่
「หากเป็นดั่งที่พวกคุณบอก แม้ที่นั่นจะไม่ได้มีการคุ้มครองจากศาสนจักร แต่พวกเขาก็มีกองกำลังในการปกป้องประเทศตนเองใช่ไหมครับ」
「เรื่องนั้นมันก็ใช่ครับ แต่พวกเขาไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ ดังนั้นก็คงจะป้องกันได้เพียงแค่สิ่งที่มีกายหยาบ」
「เอ๋ แบบนั้นจะไม่แย่เอาเหรอครับ? 」
「….มันก็ต้องแย่อยู่แล้วครับ ว่าแต่ท่านไม่ทราบมาก่อนหรอกเหรอครับ? 」
「ขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมยังไม่ค่อยรู้เรื่องโลกใบนี้เท่าไหร่นัก」
จากความทรงจำของเขา เขารู้เพียงว่ามาอาณาจักรเอนแลนอยู่บนแผนที่โลกใบนี้เท่านั้น แต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นรัฐที่ไร้ศาสนา
(การจะมีกลุ่มคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เหมือนเป็นการถ่วงสมดุลทางอำนาจด้วย)
หากไม่มองถึงเรื่องที่ต้องรับมือกับพวกวิญญาณร้าย ฟาร์มาก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องแย่อะไร
หากลองคิดดูง่ายๆ ว่า มีศาสนาเดียวที่สามารถปกครองโลกใบนี้ได้ นั่นแหละถึงจะเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ถึงตัวฟาร์มาจะอยากขยายพื้นที่ในการคุ้มครองมากขึ้นก็ตามที
ดังนั้นตัวเขาที่ไม่รู้เรื่องราวของโลกใบนี้มากนัก ก็ได้ถามซาโลม่อนขึ้น
「หรือก็คือ คนในประเทศนั้นไม่มีใครสามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้เลยเหรอครับ」
「ใช่แล้วครับ ถึงกองกำลังทางทหารของประเทศจะเกรียงไกรเพียงใดก็ตาม แต่เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเปิดชีพจรแห่งเทพกันได้เลย จึงทำให้ประเทศนั้นไม่มีผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพแม้แต่คนเดียวครับ」
「งั้นเหรอครับ…อีกเรื่องหนึ่งก็คือ จริงสินะครับที่บอกว่าทุกคนสามารถขับไล่พวกวิญญาณร้ายออกไปได้ แต่ไม่สามารถกำจัดให้มันสูญหายไปตลอดกาลได้」
「นั่นเป็นเรื่องจริงครับ ไม่ว่าพวกเราจะใช้ศาสตร์แห่งเทพแบบไหนก็ตาม ก็ไม่มีทางกำจัดพวกวิญญาณร้ายให้หายไปตลอดกาลได้」
ซาโลม่อนพยักหน้าให้กับเขา ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์แห่งเทพของศาสนจักร หรือศาสตร์แห่งเทพทั้งหมดบนโลกใบนี้ก็ทำได้เพียงขับไล่และป้องกันไม่ให้พวกวิญญาณร้ายเข้าใกล้ได้ แต่ที่กล่าวมาไม่มีมนตร์ไหนเลยที่ทำให้วิญญาณร้ายดับสูญไปได้
「สำหรับคนอื่นที่ไม่ใช่ท่าน ก็น่าจะต้องเผชิญเรื่องแบบนี้กันทั้งนั้นครับ」
「แบบนี้นี่เอง พวกวิญญาณร้ายมันจะไม่มีทางหายไปไหน และด้วยนิสัยพวกมันมักจะไปรวมตัวกันในที่ที่มีมนุษย์อยู่ ดังนั้นหากพวกมันถูกขับไล่ออกไปจากประเทศของพวกเราโดยเลี่ยงอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรจนไม่มีที่ไป ตามที่เอเลนเคยบอก ก็มีความเป็นไปได้ว่าพวกมันอาจจะหลั่งไหลไปทางเอนแลนไม่ก็ประเทศที่การคุ้มครองของอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ไปไม่ถึงสินะครับ? 」
จากที่เอเลนเคยบอกเขา การขับไล่วิญญาณชั่วร้ายก็เหมือนการกวาดเม็ดทราย
ถึงเราจะสามารถกำจัดเม็ดทรายออกไปจากที่หนึ่งได้ สุดท้ายมันก็จะไปกองอยู่อีกที่หนึ่งแทน
「ถือว่าเป็นสมมุติฐานที่ดีครับ นอกจากนี้แล้ว หากความหนาแน่นของพวกวิญญาณร้ายที่มารวมตัวกันนั้นมากขึ้น ก็มีความเป็นไปได้ว่าพวกมันจะหลอมรวมเข้าด้วยกัน จนเกิดขึ้นมาเป็นวิญญาณร้ายที่แสนทรงพลังครับ」
นักบวชอีกคนเสริมฟาร์มา
ถึงแม้จะไม่สามารถส่งหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบกับทางเอนแลนได้ แต่อย่างน้อย จากการสังเกตการณ์ในระยะไกลก็พอจะบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศเหล่านี้บ้าง ยกตัวอย่างได้เหมือนตอนเหตุการณ์กาฬมรณะที่วิญญาณร้ายได้กลืนกินประเทศเนเดลไปจนต้องทำให้พบจุดจบที่น่าสยดสยอง
「ถ้างั้นพวกเราก็ไม่สามารถปล่อยพวกเขาไว้ตามลำพังได้แล้วสิครับ ถึงอาจจะมีความขัดแย้งการด้านศาสนาแต่เราก็จำเป็นต้องช่วยพวกเขานะครับ ไม่เช่นนั้นอีกหลายชีวิตจะต้องสูญเสียไปแน่ๆ 」
ฟาร์มาบอกกับเหล่านักบวชในที่ประชุม แต่แล้วนักบวชคนหนึ่งก็ปฏิเสธออกมา
「หากทำตามที่ท่านพูด พวกเราก็จำเป็นต้องส่งผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพติดอาวุธไปยังประเทศดังกล่าว การกระทำเช่นนั้นอาจส่งผลทำให้เกิดสงครามระหว่างประเทศได้เลยนะครับ ดังนั้นทางเราก็ควรรอให้ทางนั้นมาขอความช่วยเหลือจะดีกว่า หรือหากพวกเขาเลือกทางนั้นเองเราก็ต้องยอมรับการตัดสินใจครับ」
「แต่หากรอถึงตอนนั้นมันจะไม่สายเกินไปเหรอครับ ทำไมเราไม่ลองส่งสารไปทางเอนแลน เพื่อขอความร่วมมือในการขับไล่พวกวิญญาณร้ายล่ะครับ แน่นอนว่าหลังจากจัดการพวกวิญญาณร้ายเสร็จ เราจะทำการจัดวางโครงข่ายอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ และสัญญาว่าจะไม่ยุ่งกับกิจการภายในของประเทศด้วย」
「ท่านแน่ใจแล้วเหรอครับ? 」
「ทำไมล่ะครับ? 」
「มันไม่มีประโยชน์ที่จะส่งกองกำลังของเราไปยัง อาณาจักรเอนแลนที่เป็นศัตรูกับศาสนจักรเลยนะครับ นอกจากนี้ในอดีตพวกเขาก็เคยมีการยั่วยุท่านอดีตสันตะปาปาปิอุสเอาไว้ด้วย」
「แต่ตอนนี้ พระสันตะปาปาคนใหม่อย่างเราก็มาแทนเขาแล้วนี่ เราควรจะล้างเรื่องไม่ดีในอดีตออกไปด้วย หากทางเอนแลนตกอยู่ในอันตรายจากพวกวิญญาณร้ายแล้ว ความเสียหายก็ย่อมกระจายไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย เราจึงควรรีบเดินหมากก่อนจะสายเกินไป」
เหมือนกับตอนที่เธอเป็นจักรพรรดินี เอลิซาเบทยังคงสามารถตัดสินใจได้รวดเร็วเช่นเคย
แต่สำหรับตัวฟาร์มานั้น แค่การตัดสินใจในที่ประชุมครั้งนี้ยังไม่อาจคลายความกังวลของเขาได้ เขาจึงทำการบินไปยังเอนแลนช่วงกลางดึก อาณาจักรเอนแลนนั้นเป็นประเทศเกาะซึ่งอารยธรรมของพวกเขานั้นถือว่าพัฒนาไปสูงมากพอสมควร จากมุมของฟาร์มาแล้ว ให้ความรู้สึกคล้ายกับประเทศอังกฤษทางตอนเหนือเลย
พอเขาไปถึงจุดหมายก็พบว่ามีหมอกสีดำหมุนวนอยู่รอบเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันเป็นสัญญาณก่อรการระบาดของพวกวิญญาณร้าย
สถานการณ์ไม่ต่างกับที่เกิดขึ้นในจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟเลย
เมื่อมีหมอกหนาเกิดขึ้นในระดับหนึ่ง พวกวิญญาณร้ายก็จะออกมาโจมตีผู้คน
” อาณาเขตชำระล้างโรคระบาด”
ฟาร์มาได้ทำการปัดเป่าหมอกสีดำที่เป็นศูนย์รวมของพวกวิญญาณร้ายออกไป แต่เขาก็รู้ดีว่ามันเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว หากทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็น่าจะยื้อได้เพียงแค่สองสามวัน
อาณาเขตชำระล้างโรคระบาดนั้นเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพมากก็จริง แต่สุดท้ายมันก็เหมือนกับสเปรย์ไล่แมลง การจะรับมือกับเรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็คือการสร้างอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาผ่านเฉลียงทางเดินศาสตร์แห่งเทพของศาสนจักร
พอคิดแบบนี้ก็ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมศาสนจักรจึงจำเป็นต้องขยายอิทธิพลไปทั่วโลกและตั้งวิหารเทพผู้พิทักษ์ขึ้น มันมีเหตุและผลของมันอยู่ในตัวเอง พวกเขาไม่ได้ทำการรุกรานประเทศอื่นๆ แบบสุ่มสี่สุ่มห้า แต่การคุ้มครองของพวกเขามีประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไปอย่างแท้จริง
อันที่จริงมันก็เป็นไปได้อยู่ที่จะแอบติดตั้งอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์อย่างลับๆ ขึ้นมาในพื้นที่ที่มีคนอยู่น้อยๆ ภายในเอนแลน แต่เนื่องจากพวกวิญญาณร้ายมันมักจะชอบรวมตัวกันในที่ที่มีคนอยู่มาก จึงไม่มีความหมายเท่าใดนักหากไม่ถูกตั้งเอาไว้ในเมืองหลวง สุดท้ายฟาร์มาก็ต้องทำการเกลี้ยกล่อมคนในประเทศนี้ให้ได้ก่อนอยู่ดี
แต่สำหรับตอนนี้ เขาก็ทำเท่าที่ตัวเองพอทำได้ไปก่อน ฟาร์มาทำการขุดเสาต้นเล็กๆ มาสลักมนตร์เอาไว้ก่อนจะใช้มันตั้งไว้บริเวณหอระฆัง หากเป็นความสูงมันหอระฆังนี้ก็น่าจะช่วยทำให้เสาต้นนี้เนียนไปกับโครงสร้างได้
ถึงนี่จะเป็นการบุกรุกเข้ามาในประเทศที่มีความเป็นศัตรูกับศาสนจักร แต่มันก็เป็นเรื่องที่จำเป็น
ระหว่างที่เขากำลังสร้างกำแพงขึ้นมาปิดเสาเอาไว้ เด็กชายที่ดูเหมือนกำลังจะตื่นขึ้นมาเพื่อเข้าห้องน้ำก็มองจากหน้าต่างชั้นสามและเห็นฟาร์มาที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าโดยมีคทาอยู่ในมือ
ฟาร์มาที่เห็นเด็กคนนั้น เขาก็ทำการเอามือปิดปากตัวเองเอาไว้ก่อนจะขอให้เด็กคนนั้นเงียบและแสร้งไม่เห็น ก่อนที่เด็กคนนั้นจะแสดงสีหน้าอันแข็งทื่อออกมาและปิดหน้าต่างไป หากจะมีพยานพบเห็นเขาสักสองหรือสามคน ก็คงจะเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่หากจะให้ดีก็ไม่ควรมีมากกว่านี้เพื่อลดความยุ่งยากลง
พอฟาร์มาเห็นว่าพอเหมาะแล้ว เขาก็หยุดมือและบินออกจากเมืองไป
「เห้อ…พอเอนแลนเป็นหมู่เกาะที่กระจัดกระจายไปรอบ ก็คงจะสร้างบาเรียมาล้อมให้หมดทุกเกาะก็เป็นไปไม่ได้ด้วย แถมหลังจากขับไล่พวกวิญญาณร้ายออกไปได้หมดแล้วจะเอาไงต่อดีล่ะ」
เพราะหากพวกมันถูกขับไล่ออกไปจากเอนแลน พวกมันก็ต้องหาที่ไปใหม่
นั่นก็หมายความว่า เมื่อเขาจัดการตรงนี้เสร็จ พวกมันก็น่าจะมุ่งไปยังทวีปใหม่หรือนิวเวิล ซึ่งเป็นฐานที่ตั้งของมนุษย์ซึ่งหลงเหลืออยู่นอกอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ แล้วคนที่นั่นจะมีสิ่งที่เอาไว้ต่อสู้กับพวกวิญญาณร้ายหรือเปล่านะ?
(สุดท้ายแล้วการแก้ปัญหาของพวกวิญญาณร้าย ก็มีเพียงโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์อย่าง สรวงสวรรค์พันปี)
แต่ถึงจะคิดได้แบบนั้น การสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ตลอดช่วงที่ผ่านมาก็พูดได้เพียงว่า “เหลืออีกแค่นิดเดียวแท้ๆ” ผลลัพธ์ยังคงไม่เป็นที่น่าพอใจ แม้จะพยายามสักแค่ไหน ด้วยพลังของฟาร์มาในตอนนี้ก็ไม่อาจจะสร้างมันขึ้นมาได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่ฟื้นตัวรอพลังที่เหลือกลับมาก่อน
จากนั้นฟาร์มาก็ร่อนลงมายังนครศักดิ์สิทธิ์ในสภาพที่ปวดใจ
ตอนนี้เขาจำเป็นต้องค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์หรือสมบัติลับที่พอจะสามารถนำไปช่วยเหลือในการสร้างสรวงสวรรค์พันปีว่ามีอยู่บ้างหรือไม่
นักบวชระดับล่างที่ทำการรักษาความปลอดภัยในเมือง เมื่อพาฟาร์มาที่ร่อนลงมายังหลังคาของมหาวิหาร ก็รีบวิ่งเข้ามาโค้งคำนับเขา ก่อนจะไปรายงานต่อนักบวชระดับสูงที่เป็นผู้บังคับบัญชาของตน ไม่นานนักพวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาทักทายฟาร์มาด้วยความร้อนรน
「โอ๊ะโอๆ ยินดีต้อนรับครับท่านเทพโอสถ จากที่ผมทราบท่านไม่ได้มีกำหนดการที่จะมาเยือนทางเราในวันนี้นี่ครับ หรือว่าท่านจะมีธุระด่วนกันต้องการให้ผมเรียกท่านบรูโน เดอ เมดิซิสให้หรือเปล่าครับ」
「วันนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฝึกสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ครับ ดังนั้นคงไม่ต้องเรียกพ่อของผมมา ผมแวะมาเพราะเรื่องอื่นครับ」
「หากเป็นเช่นนั้นก็น่าเสียดายนะครับ」
บรูโนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทววิทยาการแพทย์ที่ตอนนี้อาศัยอยู่ภายในนครศักดิ์สิทธิ์โดยมีเหล่านักบวชร่วมมือให้ข้อมูลเพื่อการค้นคว้าและปรุงยา จึงทำให้ตำราต้องห้ามที่มีอยู่ภายในนครศักดิ์สิทธิ์ บรูโนสามารถเข้าถึงได้ทุกเล่ม ถึงแม้ตัวบรูโนเองจะไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้แต่เขาก็ได้เหล่านักบวชมาทดแทนในจุดนี้แทน
หากมีการค้นพบที่น่าสนใจจริงๆ พ่อของเขาก็คงจะติดต่อมาเอง ดังนั้นตอนนี้เขาเลยไม่อยากจะรบกวนการวิจัยของพ่อเขา
「ส่วนคนที่ผมต้องการพบ ก็คงจะขอเป็นคนที่คุ้นเคยกับมนตร์เฉพาะทางของศาสนจักรแล้วก็พวกวิญญาณร้ายครับ」
「ฮ่ะ งั้นเดี๋ยวผมจะเรียกนักเทววิทยาจากทางมหาวิหารมาให้ครับ」
จากนั้นฟาร์มาก็ทำการถอดเสื้อผ้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันและเปลี่ยนไปสวมชุดสำหรับใส่ในนครศักดิ์สิทธิ์แทน ไม่นานนักก็มีหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมเครื่องแบบของนักบวชและแว่นตาที่เหมือนนักวิชาการเข้ามาที่ห้องของฟาร์มา
「ฉันชื่อ เรียล่า อเวนิอุส นักเทววิทยาซึ่งเป็นบรรณารักษ์หอตำราแห่งมหาวิหารค่ะ」
「ยินดีต้อนรับครับ เชิญเข้ามาได้เลย」
ตัวของเธอยังคงยืนนิ่งอยู่บริเวณหน้าห้อง สีหน้าของเธอก็ดูเครียดมากเสียจนไม่สามารถมองหน้าฟาร์มาตรงๆ ได้ ตัวตนของฟาร์มาในตอนนี้ก็คือเทพผู้พิทักษ์แห่งนครศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ปรากฏตัวออกมานานแล้วนับหลายร้อยปี ตัวตนนั้นย่อมยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา
「คือว่า…แค่ตรงนี้ก็ดีแล้วค่ะ」
เรียล่ายังคงยืนนิ่งอยู่บริเวณหน้าห้องของฟาร์มา โดยไม่เคลื่อนไหวไปไหน
「คือผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาสักหน่อยครับ เชิญเข้ามาคุยกันข้างในเถอะ」
ฟาร์มาขอให้เธอเข้ามาภายในห้องอีกครั้ง แล้วเธอก็ตัดสินใจเข้ามาก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้หลังจากลังเลอยู่นาน
「งั้นก็ขออนุญาตนะคะ」
แม้ว่าเธอจะเข้ามาในห้องและนั่งลงที่เก้าอี้แล้ว มือของเธอก็ยังคงสั่นอยู่จนฟาร์มารู้สึกงุนงงกับปฏิกิริยาที่คาดไม่ถึงนี้ เพราะตั้งแต่เขาเข้ามายังนครศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่เคยเจอใครที่แสดงท่าทางหวาดกลัวเขาขนาดนี้มาก่อนเลย
「เพราะมีความรู้เชิงเทววิทยาอยู่ลึก มันก็เลยรู้สึกว่าการเผชิญหน้ากับตัวตนที่ถูกเรียกว่าเทพผู้พิทักษ์ แตกต่างไปจากปกติเหรอครับ? 」
「….อย่างที่คิดไว้ ท่านสามารถคาดเดาทุกสิ่งได้จริงๆ 」
「อันที่จริง ผมอยากรู้ด้วยซ้ำครับว่าคุณคิดว่าผมจะทำเรื่องโหดร้ายแบบไหนได้บ้าง」
เธอสารภาพออกมาราวกับยอมแพ้
「นักบวชที่ไม่ได้ถูกสังเวยชีวิตไปหลังพบกับตัวตนอย่างเทพผู้พิทักษ์นั้นมีน้อยมากค่ะ ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตก็มีหลากหลาย ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีเจตนาในการทำร้ายเทพผู้พิทักษ์ แต่ก็มักจะถูกพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งกดดันร่างของเขาเหล่านั้นจนทำให้สิ้นใจไป กระทั่งการมองไปที่ร่างของเทพผู้พิทักษ์โดยตรงก็ยังเป็นเรื่องที่เสี่ยงเลยค่ะ….อันที่จริงฉันก็คิดไว้มาบ้างแล้วว่า…ท่านอดีตสันตะปาปาปิอุสคงจะทำให้ท่านไม่พอใจจนเขา….…」
เขาต้องตายเพราะฟาร์มา
ฟาร์มาถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่คิดถึงเรื่องการตายของปิอุสนั้นมันเกี่ยวข้องกับความไม่พอใจของเขาจริงหรือ
「ถึงจะมีเรื่องที่เขาทำให้ผมไม่พอใจบ้าง แต่เขาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุครับ นอกจากนี้ผมก็ใช้ชีวิตในโลกมนุษย์มากกว่า 3 ปีแล้ว คนรอบตัวของผมก็ยังสบายดีกันทุกคน ไม่มีใครตาบอดจากการจ้องมองผมตรงๆ ดังนั้นข้อสงสัยของคุณน่าจะต้องปัดตกไปนะครับ ส่วนเรื่องในวันนี้ผมก็แค่อยากจะขอความรู้จากผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณเท่านั้นเอง」
「แค่นั้นเองเหรอคะ? เช่นนั้นก็ขออภัยด้วยค่ะ」
พอเธอได้รู้แล้วว่าตัวเธอคงจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ เรียล่าก็เริ่มแสดงอาการผ่อนคลายลง ก่อนจะค่อยๆ มองหน้าของฟาร์มา
「แล้วท่านต้องการความรู้เรื่องไหนจากฉันกันคะ」
「ผมกำลังมองหาวิธีที่จะลบล้างเหล่าวิญญาณร้ายให้หมดจากโลกนี้ไปโดยถาวรครับ นี่ก็เพื่อให้คนที่อาศัยอยู่บนโลกนี้สามารถมีความสงบสุขต่อไปได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับวิญญาณร้าย แม้ผมจะหายไปก็ตาม แต่วิธีการดังกล่าวมันจะมีเพียงแค่โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นเหรอครับ」
การวิจัยเกี่ยวกับโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์และยาอายุวัฒนะนั้นเป็นงานที่เขาฝากฝังให้บรูโนไป ซึ่งพ่อของเขาก็ได้ตรวจสอบพวกตำราต้องห้ามที่มีอยู่ในนครศักดิ์สิทธิ์อย่างละเอียดแล้ว ดังนั้นฟาร์มาจึงอยากจะหาวิธีที่แตกต่างออกไป โดยการสอบถามเรียล่าถึงภูมิหลังของประวัติศาสตร์แทน
เรียล่ารับทราบคำขอของเขาก็จะออกจากห้องไป จากนั้นไม่นานนักเธอก็กลับมาพร้อมกับกองหนังสือจากหอตำรา
โดยหน้าปกของหนังสือแต่ละเล่ม ก็เป็นสิ่งที่ฟาร์มาไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น [ประวัติศาสตร์ต้องห้าม-ต้นฉบับ」แต่ละเล่มที่เธอเลือกมานั้นช่างตอบโจทย์ที่ฟาร์มาต้องการสมกับเป็นบรรณารักษ์และแสดงคำอธิบายให้ฟาร์มาฟังทีละเล่ม
「หากอิงจากตำราประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกเอาไว้ จะพบว่าไม่มีเทพผู้พิทักษ์องค์ใดที่ประสบความสำเร็จในการกำจัดวิญญาณร้ายได้อย่างสมบูรณ์เลยค่ะ ดังนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ในตอนนี้ที่จะทำให้พวกมันดับสูญไปตลอดกาล」
「ก็แปลว่า ทางเดียวสำหรับตอนนี้ก็คือโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์สรวงสวรรค์พันปีสินะ…」
ไม่มีหนทางอื่นในการแก้ไขสุดท้ายฟาร์มาก็ต้องกลับไปจุดเริ่มต้นแทน พอเรียล่าเห็นฟาร์มาพูดแบบนั้นเธอก็ถามขึ้นด้วยอาการตื่นตระหนกที่ไม่หาย
「เนื่องจากทางฉันไม่ทราบมาก่อนที่ว่าท่านจะสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ก็หมายความว่าจากนี้ไปท่านตัดสินใจจะจากโลกใบนี้แล้วสินะคะ? 」
「เอ๋? หมายความว่ายังไงเหรอครับ」
「ก็เพราะสรวงสวรรค์พันปี นั้นเงื่อนไขในการใช้งานหลังจากนั้นก็คือทำให้เทพโอสถไม่สามารถอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้แล้วน่ะสิคะ」
「เอ๊ะ!? 」
ดูเหมือนว่าเรื่องที่ฟาร์มาทำการสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนแม้แต่ในนครศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น เรียล่าจึงไม่เคยได้ยินเรื่องที่ฟาร์มากำลังทำอยู่ในขณะนี้มาก่อน
นี่อาจจะเป็นเรื่องที่บรูโนและคนอื่นไม่เคยรู้มาก่อน หรือพวกเขาอาจจะรู้อยู่แล้วแต่ปล่อยผ่านไป ฟาร์มาที่ได้ยินก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเลย
「…หรือก็คือเมื่อสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นขึ้นมาสำเร็จ ผมก็จะหายไปสินะครับ? 」
「ถึงมันจะไม่มีเขียนในพระคัมภีร์ แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นการตีความที่โง่เขลาของฉันเองก็ได้ แต่จากการถอดรหัสภาษาโบราณที่ฉันอ่านก็ได้เป็นแบบนั้นค่ะ」
「เป็นไปได้สูงครับ…เพราะทุกครั้งที่ผมพยายามสร้างมัน ร่างกายของผมก็จะทรุดลงอย่างรวดเร็ว ถ้าผมทำมันสำเร็จขึ้นมา บางทีผมอาจจะหายไปก็ได้」
นั่นมันทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา จนเย็นยะเยือกไปถึงไขสันหลัง
หากสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับนั้นสำเร็จ เขาก็จะสูญสลายไป แต่ถึงจะปล่อยไว้แบบนั้นยังไงเขาก็ต้องหายไปเมื่อถึงเวลาอยู่ดี
ไม่ว่าจะแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ฟาร์มาลูบไปยังอกของตน
พอเขานึกถึงโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ ศาสตร์แห่งเทพ เทพผู้พิทักษ์ วิญญาณร้าย ผู้ดูแลสุสาน โลกใบนี้ช่างมีความเกี่ยวข้องกับศาสนาอยู่อย่างลึกซึ้งจริงๆ
ศาสนาบนโลกของเขานั้นมีบทบาทในการใช้ขจัดความกังวลใจของผู้คน สร้างจริยธรรมที่ใช้ควบคุมผู้คน รักษาความสงบในหมู่คน ฟาร์มาก็เข้าใจในบทบาทของมันมีดีแม้จะมีข้อโต้แย้งในใจเชิงคำสอนบ้าง แต่อย่างน้อยศาสนา ก็คือ เรื่องราวที่ผู้คนสร้างมาเพื่อผู้คนด้วยกันเอง
แต่กับศาสนาบนโลกใบนี้นั้นแตกต่างอย่างชัดเจน
พวกเขาจะทำการอัญเชิญเครื่องสังเวยจากต่างโลกที่เรียกกันว่า เทพผู้พิทักษ์ และสร้างพวกวิญญาณร้ายขึ้นมาคุกคามผู้คนก่อนจะมอบศาสตร์แห่งเทพเพื่อการรับมือกับพวกมัน ผู้คนก็จำเป็นต้องมีศรัทธาให้กับเหล่าเทพผู้พิทักษ์ เพื่อเปลี่ยนมันเป็นพลังขับเคลื่อนตน สุดท้ายเทพผู้พิทักษ์ก็จะต้องถูกบดขยี้ด้วยฟันเฟืองเพื่อเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนโลกใบนี้ต่อไป ก็จริงอยู่ว่าชีวประวัติเกี่ยวกับเทพผู้พิทักษ์นั้นจะถูกบันทึกแยกเป็นองค์ๆ ไปโดยมีการแยกนิกายตามองค์เทพที่ตนศรัทธาแตกต่างกันออกไปผ่านพระคัมภีร์ทีเขียนโดยผู้คนเช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วผู้ดูแลสุสานนั่นแหละคือตัวการขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมด จนทำให้ศาสนาสามารถฝังรากลึกบนโลกใบนี้ได้ งั้นก็หมายความว่าเรื่องราวที่ถูกสร้างขึ้นมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเพียงการนำคนจากโลกอื่นมาหาผลประโยชน์ให้กับโลกใบนี้เท่านั้นเองไม่ใช่หรือ
จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ตำนานต่างๆ ของโลกใบนี้มากมายเป็นเหมือนกับดักที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างชาญฉลาด
การสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจ ไม่ว่าจะเป็นเทพโอสถคนใดที่จุติลงมาก็ตามก็คงจะสนใจมัน
แต่การที่มันไม่ได้อธิบายถึงสิ่งที่ต้องจ่ายเป็นการตอบแทนอย่างชัดเจนในตำราต้องห้าม ก็เกือบจะทำให้ฟาร์มาตกหลุมพรางดังกล่าวแล้วเช่นเดียวกัน
「ก็จริงอยู่ว่าการเตรียมสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องที่ดี แต่ส่วนตัวฉันก็คงจะบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วไม่ได้เหมือนกันค่ะ」
「นั่นสินะครับ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่มีประโยชน์พวกนี้นะครับคุณเรียล่า เพราะคุณแท้ๆ เลยผมเลยเห็นอะไรขึ้นมาอีกเยอะ」
ยังมีอีกหลายสิ่งที่เขายังทำไม่สำเร็จบนโลกใบนี้ ดังนั้นเขาจะยังหายไปตอนนี้เลยไม่ได้
「ขอบคุณมากสำหรับวันนี้นะครับ หากผมมีข้อสงสัยอะไรอีกเดี๋ยวไว้ผมจะไปหานะครับ และหากมีอะไรที่คุณสงสัยก็เชิญถามมาได้เลยครับ」
พอฟาร์มาถามเรียล่าแบบนี้ เธอก็เลยพูดขึ้น
「คือว่า…ฉันขอยืมภูมิปัญญาจากเทพโอสถได้หรือเปล่าคะ เนื่องจากเวลาฉันอ่านหนังสืออยู่ในหอตำราบางครั้งฉันก็มีอาการไอหนักมากจนทำให้คิดว่าตัวเองจะตายให้ได้เลยค่ะ ยิ่งพักหลังมานี้อาการยิ่งแย่ลงกว่าเดิม มันเกิดมาจากอะไรเหรอคะ」
ฟาร์มาเปลี่ยนสีหน้าของตนขณะที่เรียล่าพูดออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่พักเลย ตอนนี้เขาต้องทำหน้าที่ในฐานะแพทย์โอสถแล้ว
「จากอาการที่บอกว่ามันน่าจะเป็นโรคหอบหืดที่เกิดจากการหายใจเอาฝุ่น ไร หรือแมลงที่ตายแล้วเข้าไปครับ ดังนั้นแทนที่จะอ่านหนังสือในหอตำรา ก็ควรจะเลือกห้องที่ถูกทำความสะอาดแล้วจะดีกว่าครับ หรือหากจำเป็นก็ควรจะสวมหน้ากากอนามัยในหอตำราแทน เดี๋ยวผมจะให้ยาเอาไว้เผื่ออาการชักด้วย แต่คงต้องรอสักพักก่อนนะครับ」
「ขอบพระคุณมากเลยค่ะ! พอเป็นแบบนี้แล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังปรึกษากับแพทย์โอสถมากกว่าเทพโอสถเลยนะคะ」
「สิ่งที่ผมพยายามทำในตอนนี้ก็เพื่อจะให้ตนกลับไปเป็นแพทย์โอสถธรรมดาและใช้ชีวิตบนโลกใบนี้อย่างสงบสุขเท่านั้นเองครับ」
รอยยิ้มที่เขายิ้มออกมามันช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน
◆
นี่ก็ 8 วันผ่านมาแล้วตั้งแต่ที่นาตาลี บลอนเดล ได้รับการผ่าตัดเนื้องอกไกลโอบลาสโตมา
แม้ว่าผลของโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์จะหมดลงไป แต่อาการแทรกซ้อนหรือติดเชื้อหลังการผ่าตัดก็ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็น ถือเป็นสัญญาณที่ดี
มหาวิทยาลัยก็เข้าสู่ช่วงปิดเทอมหลังสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิ นักเรียนหลายคนก็เริ่มเดินทางกลับบ้านเกิด แต่ก็ยังมีเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยของนาตาลีบางคนที่ยังอาศัยอยู่ภายในเมืองหลวงจักรวรรดิเพื่อฉลองช่วงปิดเทอมอยู่บ้าง
ตอนนี้เธอได้สวมหมวกปีกกว้างที่มีสไตล์เพื่อปกปิดรอยแผลหลังการผ่าตัดของเธอ นาตาลีได้เดินทางมาหาฟาร์มา คล็อด และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เพื่อขอบคุณ ก่อนจะเตรียมเดินทางออกจากโรงพยาบาลโดยมารถม้ารออยู่ แม้ดอกไม้ริมหน้าต่างห้องรักษาตัวของเธอจะเริ่มเหี่ยวเฉาไปแล้ว แต่เหล่าเจ้าหน้าที่ภายในโรงพยาบาลก็ต่างออกมาแสดงความยินดีกับเธอ ที่การผ่าตัดนั้นเสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี
「ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลยนะคะ ถึงจะหยาบคายที่พูดออกมาเช่นนี้ แต่ฉันไม่เคยคิดเลยค่ะว่าตัวเองจะสามารถออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ได้อีกหลังผ่าตัด ดีใจจริงๆ ที่สุดท้ายตัวเองตัดสินใจจะเชื่อในตัวทุกท่านแทน」
「ก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ ที่ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว」
「หากไม่ไหวก็อย่าฝืนตัวเองมากเลย」
ฟาร์มากับคล็อดพูดกับเธอ ทางนาตาลีก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะยื่นจดหมายขอบคุณให้ทั้งสองอีกที
「ร่างกายฉันเริ่มเฉื่อยชาไปมากแล้วด้วย หลังจากนี้ก็อยากจะออกไปเดินเล่นด้วยสิคะ」
「ยังไงก็อย่าลืมหาคนติดตามไปด้วยเผื่อไว้นะครับ」
「หากเป็นเรื่องนั้นเนื่องจากแพทย์หลวงและแพทย์โอสถหลวงต่างก็ได้รับวันหยุด เดี๋ยวทางฉันจะเป็นคนดูแลเธอเองค่ะ」
คนที่กล่าวออกมาก็คือแม่ของเธอฟรองซัวส์ ซึ่งเป็นแพทย์โอสถหลวง
ความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกที่ก้าวผ่านโรคร้ายนี้ได้เริ่มดีขึ้นมา ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มกลับไปเป็นแม่ลูกที่ดีเช่นเดิม ฟรองซัวส์ก็เริ่มเป็นคนช่างพูดขึ้นอีกครั้ง ระหว่างที่ได้เจอกับฟาร์มาในวัง มหาวิทยาลัย หรือโรงพยาบาลที่ลูกสาวเธอรักษาตัว
「หากมีอะไรผิดปกติก็ขอให้รีบกลับมาเลยนะครับ」
「ทางฉันจะไปพักรักษาตัวกันต่อในเขตที่ห่างจากโรงพยาบาลประมาณ 1 ชั่วโมงรถม้าค่ะ หากมีอะไรเกิดขึ้นกะทันหันก็น่าจะสามารถกลับมาได้ทัน」
「ได้ยินแบบนั้นก็โล่งใจครับ」
เนื่องจากอาการเจ็บป่วยของนาตาลีนั้นได้รับความร่วมมือทางการแพทย์ระหว่างแพทย์ แพทย์โอสถ วิศวกรทางการแพทย์ และฝ่ายเทคนิคอีกหลายส่วนของมหาวิทยาลัย
「เมื่อวันหยุดสิ้นสุดลงแล้ว ก็จะรีบกลับมาฟื้นฟูความรู้ที่ยังขาดหายไปต่อนะครับ ผมจะคอยช่วยเอง」
「ขอบคุณมากค่ะ ศาสตราจารย์ ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดในช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลินี้ค่ะ」
「ครับ งั้นก็รักษาตัวด้วย」
ทั้งฟาร์มาและคล็อดก็ต่างโล่งใจเมื่อเห็นนาตาลียิ้มออกมาอย่างสดใส ก่อนจะส่งเธอขึ้นรถม้ากลับไปพร้อมกับฟรองซัวส์
「ดีจังเลยนะที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี ที่ผ่านมานายคงเหนื่อยมากแน่ๆ เลย」
เอเลนแต่ไหล่และขยิบตาให้กับฟาร์มา แต่ฟาร์มาก็แสดงสีหน้าที่ดูซับซ้อนออกมา
「แต่ยังไงผมก็จำเป็นต้อง ทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่ออยู่ดี เพราะมันมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นซ้ำด้วยสิ」
「โถ่ ถึงจะแค่นิดหน่อย แต่นายก็น่าจะยินดีกับความสำเร็จนี้หน่อยนะ ทำไมเอาแต่คิดมากขนาดนี้กันนะ จะปล่อยให้ตัวเองมีความสุขบ้างสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกน่า ถ้าฉันเป็นแบบนายคงได้อึดอัดตายกันพอดี」
「นั่นสินะ เวลาแบบนี้ก็ต้องดีใจกันหน่อย! 」
ว่าแล้วทั้งสองก็แปะมือกัน ทางคล็อดที่เห็นทั้งสองทำแบบนั้นก็เข้ามาร่วมด้วย จนทำให้เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลที่เหลือก็เริ่มแปะมือกันบ้าง การกระทำของฟาร์มาทำให้คนอื่นเริ่มไหลตามกระแสไปด้วย แต่ก็แน่ละว่าบางคนก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าทำไปเพื่ออะไรเพราะตามไม่ทัน
「ศาสตราจารย์เดอ เมดิซิสนี่ตัวเบามากจนคิดว่าไม่มีอะไรอยู่ข้างในร่างท่านเลยนะเนี่ย」
「เหมือนสัมผัสกับหมอกหรือเมฆเลย บางทีทางฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้」
「พอได้ยินคนอื่นพูดมันก็เจ็บหน่อยๆ นะครับ」
จากนั้นเอเลนก็กลับร้านขายยาไป ส่วนฟาร์มาก็มุ่งไปยังห้องประชุมของมหาวิทยาลัย
โดยที่ประชุมดังกล่าวนั้นมีทั้ง เอ็มเมอริค โจเซฟีน และผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และยามารวมตัวกัน
เนื่องจากเป็นเรื่องที่สำคัญจึงต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขามาช่วย รวมไปถึงด้านเทววิทยา นี่คือการประชุมลับที่มีเป้าหมายในการกำจัดตราหลอมละลายที่อยู่บนร่างของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถูกส่งต่อมาจากอดีตพระสันตะปาปาปิอุส
「จากนี้เราจะเริ่มการประชุมครั้งที่ 4 เรื่องความคืบหน้าของการวิจัยต่อต้านตราหลอมละลาย」
เอ็มเมอริคคือหนึ่งในสมาชิกหลักและผู้นำของการวิจัยครั้งนี้ เริ่มเขียนบนกระดานดำเพื่อจัดระเบียบสถานการณ์ในปัจจุบันที่เกิดขึ้น
ปาลเล่ที่เสร็จจากการเยี่ยมคนไข้ก็เข้าประชุมด้วย
ทางฟาร์มาและคนอื่นๆ ก็นั่งฟังเรื่องที่เอ็มเมอริคพูด
「ก่อนอื่นคือเรื่องของภูมิหลังอาการดังกล่าวครับ ผู้คนบนโลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพหรือสามัญชนทั่วไปนั้น จะมีจีโนมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการสำแดงพลังแห่งเทพขึ้น ซึ่งเราได้ตั้งชื่อว่ากลุ่มยีนแห่งเทพ ซึ่งทางศาสตราจารย์ฟาร์มาได้วิเคราะห์ลำดับยีนและทำการยืนยันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว」
「นอกจากนี้ ผมยังมีความสงสัยเกี่ยวกับพลังแห่งเทพนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ภายในจีโนมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงส่วนของไมโตคอนเดรียดีเอ็นเอกับอวัยวะอื่นๆ ภายในเซลล์ด้วยครับ」
「หากเป็นในกรณีนี้ การติดเชื้อจากไวรัสและกรดนิวคลีอีกที่แอบแฝงมาก็น่าจะเป็นไปได้ด้วยนะ」
ฟาร์มาและปาลเล่ได้เข้ามาเสริมสมมติฐานของเอ็มเมอริค
นี่ก็เป็นผลจากการวิเคราะห์จีโนมทั้งหมดและเปรียบเทียบกับมนุษย์บนโลกเขาเอง ทำให้พบว่ามันต่างกันตรงส่วนดังกล่าว นอกจากนี้เมื่อเทียบยีนของสามัญชนกับชนชั้นสูงบนโลกนี้แล้วก็พบว่า มีความแตกต่างกันของยีนบางส่วนที่ไม่แสดงออกมาด้วย
ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะกลไกการควบคุมการแสดงออกดังกล่าวอาจจะอยู่นอกเหนือจากจีโนมด้วยก็ได้ จึงทำให้ปฏิเสธความเป็นไปได้ของข้อสันนิษฐานข้างต้นได้ยาก ส่วนองค์ประกอบและภาพรวมของกลุ่มยีนแห่งเทพนั้นก็ยังคงอธิบายให้ชี้ชัดออกมาไม่ได้อยู่ดี
「ฮ่ะ หากรวมกลุ่มยีนที่เราพบก่อนหน้านี้เข้าไปแล้ว พวกมันจะทำงานได้ตามปกติในกลุ่มของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า เมื่อกลุ่มยีนเหล่านี้ทำงานขึ้นก็จะส่งผลทำให้คนผู้นั้นสามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ และความแตกต่างภายในกลุ่มยีนเหล่านั้นก็จะเป็นตัวกำหนดคุณลักษณะของศาสตร์แห่งเทพอีกที ยกตัวอย่างเช่น ลักษณะเด่นในกลุ่มยีนมุ่งเน้นไปทางควบคุมความดันของบรรยากาศโดยรอบ กลุ่มก๊าซ ที่ทำให้เกิดความหนาแน่นหรือความชื้นขึ้นมาได้ ก็หมายความว่าคุณลักษณะดังกล่าวจะเป็นธาตุลม」
แล้วเอ็มเมอริคก็สร้างสายลมขึ้นมาจากปลายนิ้วของเขา
ฟาร์มานั้นไม่ทราบคำตอบถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพลังแห่งเทพพวกนี้ ระบบลึกลับนี้เป็นสิ่งที่ถูกส่งมอบเข้ามาภายในยีนผ่านพาหะบางอย่างซึ่งเป็นฝีมือของผู้ดูแลสุสาน ตัวตนที่อยู่ในมิติระดับสูงกว่าเขา แต่คำอธิบายคุณลักษณะทั้งสี่ของศาสตร์แห่งเทพหลักๆ ที่มีอยู่บนโลกใบนี้ มันก็ดันเข้ากันได้กับคำอธิบายของการสร้างและสลายสสารที่ฟาร์มามา
ธาตุน้ำก็ควบคุมน้ำได้ ธาตุไฟก็ควบคุมไฟ ธาตุดินก็ควบคุมอนุภาคแร่ ธาตุลมก็ควบคุมก๊าซ
ฟาร์มามองว่าคุณลักษณะทั้งหมดนี้หากอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ก็เหมือนกับความสามารถเชิงควบคุมวัตถุหรือคุณสมบัติของสสาร เพียงแค่ว่ากลุ่มยีนแห่งเทพจะแสดงความเด่นชัดออกมาทางด้านไหนเท่านั้นเองและแยกว่าธาตุไหนที่ตนจะสามารถใช้ได้หรือไม่ได้ แต่โดยพันธุกรรมแต่กำเนิดของพวกเขาแล้วยีนที่ได้มานั้นจะสามารถใช้คุณลักษณะทั้งหมดได้ เพียงแต่มันจะทำงานหรือไม่ก็เท่านั้นเอง
「เหตุใดเราจึงสามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้เพียงธาตุเดียวกัน หรือเพราะเราเชื่อกันไปเองว่าเมื่อธาตุของพวกเราถูกกำหนดไว้แล้วจะต้องใช้ได้แค่ธาตุนั้น กลุ่มยีนที่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะของธาตุอื่นจะถูกระงับหรือทำลายไปหลังจากถูกกำหนดธาตุแล้วหรือไม่ ทั้งหมดนี้คือพื้นฐานในข้อสงสัยของกลุ่มยีนแห่งเทพ จากการวิเคราะห์ปรับเปลี่ยนฮิสโทนในเซลล์สืบพันธุ์และโซมาติกเซลล์…ผลที่ได้คือ เราพอจะสามารถยืนยันความเป็นไปได้ผ่านการทดลองการดัดแปลงคุณลักษณะที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้ติดตัวมากับดีเอ็นเอของทารกในทันทีหลังจากที่พวกเขาเกิด」
ในขั้นตอนของการสืบพันธุ์ในเซลล์นั้น พบว่าคุณลักษณะธาตุของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพแต่ละคนนั้นไม่ได้ถูกกำหนดออกมาตั้งแต่แรก
แต่ดูเหมือนว่าจะมีการควบคุมการแสดงออกมาของคุณลักษณะในตัวผู้คนหลังจากนั้นแทน ซึ่งเป็นการทำงานระดับเซลล์ภายในร่างกาย
「ในกรณีนี้พวกเราก็จะสามารถอธิบายถึงเหตุผลที่เหล่าสามัญชนไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ ด้วยคำอธิบายที่กล่าวถึงความบกพร่องหรือการทำงานที่ผิดปกติภายในยีนบางส่วน ซึ่งอาจจะอธิบายได้ว่าเป็นการกลายพันธุ์ของยีนที่ส่งผลต่อการแสดงออกของยีนเหล่านั้นเอง」
เอ็มเมอริค ค่อยๆ มองไปยังสีหน้าของคนรอบๆ ก่อนที่เขาจะนำสไลด์มาแขวนบนกระดานดำเพื่อแสดงผลการทดลองของตน โดยที่แก้มของเขายังแดงก่ำซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะความตื่นเต้นที่ได้แสดงถึงผลการทดลองของเขาต่อหน้าคนสำคัญในวงการ
「เพื่อทดสอบสมมติฐานที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมด ผมได้ทำการบ่มเพาะเซลล์ของตัวเองซึ่งเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ และใช้เทคนิคทางพันธุวิศวกรรมเพื่อทำให้ยีนแห่งเทพของผมมีความผิดปกติ ผลก็คือมันไม่สามารถแสดงการตอบสนองต่อพลังแห่งเทพได้อีกต่อไปเหมือนกับยีนของสามัญชน แต่เมื่อผมปรับแต่งให้ฟังก์ชันการทำงานของมันกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่ามันสามารถกลับมาตอบสนองต่อพลังแห่งเทพได้」
ผลลัพธ์ที่เอ็มเมอริคได้มานั้นมันทำให้เหล่าผู้รับฟังทุกคนยกเว้นฟาร์มาต้องตกตะลึง
ก็ไม่แปลกอะไรเพราะฟาร์มานั้นเป็นที่ปรึกษางานวิจัยที่คอยดูแลเขาอยู่ จึงรู้ถึงความคืบหน้าของงานวิจัยดี
「นอกจากนี้ ชาร์ล็อต โซเรล ซึ่งเป็นญาติของผมปัจจุบันสถานะของเธอนั้นเป็นเพียงสามัญชน และหลังจากนำจีโนมทั้งหมดของเธอมาวิเคราะห์ผ่านความช่วยเหลือจากศาสตราจารย์ฟาร์มาแล้ว ก็พบว่าตัวเธอมีความบกพร่องในกลุ่มของยีนแห่งเทพอยู่บางส่วน จึงทำให้เธอไม่สามารถใช้พลังแห่งเทพได้เฉกเช่นเดียวกับกลุ่มคนรุ่นพ่อของผมที่ตัวเขานั้นถูกขับไล่จากตระกูลเพราะไม่สามารถใช้พลังได้ แต่เมื่อผมได้ทำการซ่อมแซมเซลล์ที่กลายพันธุ์ไปในจานเพาะเลี้ยงก็พบว่ามันประสบความสำเร็จที่จ