ตอนที่ 105 ออกเดินทางสู่โลกที่ไม่รู้จัก
เดือนมีนาคม ปี1148 ผ่านพ้นไป
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เอลิซาเบทได้ส่งสารไปยังอาณาจักรเอนแลน เพื่อแจ้งให้ทางนั้นทราบว่า พระสันตะปาปาองค์ใหม่ได้ขึ้นมาแทนที่ปีอุสแล้ว และขอความร่วมมือจากทางนั้นในการรับมือกับพวกวิญญาณร้าย
อย่างไรก็ตาม ราชาแห่งเอนแลนซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาจากพวกวิญญาณร้ายก็ตอบสนองตามที่เธอคาดเอาไว้
เนื่องจากทั้งสองมีความสัมพันธ์เชิงปรปักษ์กันมาช้านาน นักบวชจากนครศักดิ์สิทธิ์ในอดีตก็เคยทำการโจมตีอาณาจักรเอนแลนนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้ทางเอนแลนตกอยู่ภายใต้ปีกของศาสนจักร จนเลยเถิดไปถึงการจี้ปล้นก็มี จึงทำให้สารขอความร่วมมือดังกล่าวไม่มีความน่าเชื่อถือในมุมพวกเขา
คำตอบที่ส่งกลับมา ไม่ต่างจากที่พวกคาร์ดินัลคาดเอาไว้
ด้วยเหตุนี้เอง แม้จะเป็นทางนครศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่สามารถส่งกองกำลังออกไปช่วยเหลือได้และจำเป็นต้องเฝ้าจับตาดูเท่านั้น
เพราะบรรพบุรุษรุ่นก่อนได้ทำเรื่องเสียหายเอาไว้เยอะ การที่เอลิซาเบทจะไม่ได้รับความเชื่อใจด้วยก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ถึงจะเป็นเช่นนั้นแม้ทางอาณาจักรเอนแลนซึ่งมีความสามารถทางการทหารอยู่สูง แต่พวกเขาก็ไม่มีศาสตร์แห่งเทพให้ใช้งาน จึงเป็นเรื่องยากที่จะรับมือและมีความเสี่ยงที่จะถูกพวกวิญญาณร้ายโจมตี
เมื่อทางราชวงศ์และกองทหารแห่งเอนแลนปฏิเสธกำลังเสริม จักรพรรดินีก็ได้แค่กังวลเกี่ยวกับประชาชนที่ไม่มีอาวุธในการรับมือ แต่หลังจากทราบว่าวิญญาณร้ายไม่สามารถเข้าใกล้สถานที่บางแห่งที่ฟาร์มาได้แอบไปสร้างอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้และเหล่าประชาชนก็มักจะหนีไปยังส่วนนั้นช่วงกลางคืนเพื่อหลบภัย ก็ทำให้เบาใจลงได้บ้างว่าพวกเขายังพอจะมีที่ให้พึ่งในสถานการณ์แบบนี้
หากมันถึงทางตันจริงๆ ระหว่างเอนแลนกับนครศักดิ์สิทธิ์จนทำให้เรื่องไม่สามารถไปต่อได้ ฟาร์มาก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเนียนไปปรากฏตัวในความฝันของกษัตริย์แห่งเอนแลนแล้วบอกให้เขายอมรับกองกำลังเสริม
โชคดีที่อย่างน้อยทางเอนแลนก็มีความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับเทพผู้พิทักษ์อยู่บ้างคล้ายกับนครศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นการใช้ของอย่าง “วิวรณ์จากเทพ” น่าจะพอถูไถไปได้
แต่ก็แน่ละว่าตัวฟาร์มาเองก็ไม่ได้อยากจะฉวยโอกาสจากความเชื่อทางศาสนาของผู้คนเพื่อหลอกลวงพวกเขา
ในขณะที่กำลังกังวลเรื่องพวกนี้ หลังจบเรื่องของนาตาลี บลอนเดลแล้ว ฟาร์มาและคนอื่นๆ ก็เดินทางมายังท่าเรือมาร์เชลซึ่งอยู่ในเขตของแกรนดยุกเดอ เมดิซิส เพื่อเข้าร่วมพิธีเดินเรือ
หลังจากที่จักรพรรดินีได้รับการปลดปล่อยจากตราหลอมละลายอย่างสมบูรณ์ ในนามของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เอลิซาเบท ซึ่งมีพลังแห่งเทพมากขึ้นกว่าเดิมก็ออกคำสั่งให้พลเรือเอกฌอง การ์บันให้ออกเดินเรือไปยังทวีปการ์บันตามแผนเดิม
โดยมีลูกเรือในการเดินทางนี้ทั้งสิ้น 200 คน ซึ่งมีเขาเป็นกัปตันของกองเรือทั้ง 5 ลำ เพื่อออกเดินทางไปยังทวีปใหม่
ในชื่อ การสำรวจ การ์บัน คอนทิเนน
จุดมุ่งหมายในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อการค้า ดังนั้นสิทธิ์ในการลงทุนจึงไม่ได้ตกอยู่กับทางบริษัทอินเดี้ยนตะวันออก แต่จะเป็นทางจักรวรรดิและนครศักดิ์สิทธิ์เองที่ทำหน้าที่ในการสนับสนุนทางการเดินเรือ
โดยครั้งนี้ฟาร์มาและอื่นๆ รวมไปถึงบรูโนลอร์ดแห่งมาร์เชลได้มาร่วมงานในฐานะผู้ร่วมพิธี เพื่อส่งกองเรือและลูกเรือออกเดินทาง บรูโนซึ่งใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนอยู่ที่นครศักดิ์สิทธิ์ จำเป็นต้องเดินทางมาจากที่นั่นเพื่อทำหน้าที่ในฐานะลอร์ด ซึ่งเขากล่าวว่านี่จะเป็นครั้งเดียวเท่านั้นที่ตนยอมออกมาร่วมพิธีพวกนี้
ในระหว่างพิธีเดินเรือก็จะมีการแสดงของวงออร์เคสตรา การเปิดอ่านพระราชกฤษฎีกาของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ การกล่าวสุนทรพจน์ของบรูโน และการกล่าวปลุกขวัญกำลังใจของพลเรือเอกฌอง
จนถึงตอนนี้ ฟาร์มาก็ได้ให้การสนับสนุนในทุกรูปแบบสำหรับการเดินทาง ซึ่งมีทั้งการปรับปรุงสภาพโภชนาการบนเรือ การจัดหาเทคโนโลยีสำหรับกักเก็บน้ำใช้และอาหารในระยะยาว การให้ความรู้แก่แพทย์และแพทย์โอสถประจำเรือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาโรคที่ติดเชื้อและบาดแผลบนเรือซึ่งเป็นส่วนที่ต้องระวังมากที่สุด
ตามคำขอของพลเรือเอกฌอง ฟาร์มาได้ทำการเตรียมลูกอมลงเรือให้เพียงพอสำหรับลูกเรือทั้งหมดแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายมาอย่างยาวนานของร้านขายยาต่างโลก อีกทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของลูกเรือทุกคน มันสามารถป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตบนเรือได้เป็นอย่างดี
พอพิธีสิ้นสุดลง เหล่าลูกเรือที่คุ้นชินกับฟาร์มาก็เข้าไปลุ้มล้อมและพูดคุยกับเขา ซึ่งบางคนก็แสดงท่าที่กระสับกระส่ายกว่าที่ควรจะเป็น
「นี่ครับสิ่งที่พวกคุณขอไว้ เพราะจะออกเดินเรือแล้วผมให้ไว้เลยแล้วกัน」
「สิ่งนี้มัน」
「เป็นของพิเศษที่ใช้สำหรับเดินทางไกล ปกติไม่มีขายในร้านหรอกนะครับ」
ฟาร์มาได้มอบของขวัญพิเศษให้ทางลูกเรือที่เป็นผู้ชาย เพราะมีบางคนมาถามกับเขาถึงเรื่องยาหรือของบางอย่างที่ช่วยจัดการเกี่ยวกับความใคร่ของพวกเขา เพราะพวกเขาจำเป็นต้องเดินทางกันอีกนานหากมีอะไรช่วยในเรื่องนี้ได้จะดีมาก ดังนั้นฟาร์มาจึงต้องทำการจัดหาของที่พอจะช่วยพวกเขาได้ เหล่าลูกเรือที่ได้รับมันไปก็ต่างยินดีกันทุกคน
หลังจากทักทายบรูโนเสร็จ พลเรือเอกฌองก็เข้าไปหาฟาร์มา ขณะนี้เขาสวมชุดคลุมพิธีการและสวมหมวกบิคอร์น (หมวกสองมุม) เอาไว้อยู่
หลังของเขานั้นยืดตรงแม้ลักษณะท่าทางเดินจะกะเผลกไปบ้าง
「ว่าไงท่านเจ้าของร้าน ขอบคุณที่ช่วยให้คำปรึกษาข้าในหลายๆ เรื่องนะ」
「คุณฌอง การเดินทางครั้งนี้คงไม่ง่าย ดังนั้นดูแลตัวเองด้วย หากทวีปใหม่มันอันตรายจนเกินไป ก็ขอให้รีบกลับไปที่ทะเลโดยเร็วนะครับ」
「ได้สิ ข้าจะรีบหนีให้ว่องเลย! ข้าไม่ใช่คนโลภที่จะหาแต่ทรัพยากรใหม่ๆ เสียหน่อย นอกจากนี้ข้าก็ได้จุดที่พอจะตั้งฐานได้แล้วประมาณที่สองที่ คงจะดีไม่น้อยหากได้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์เสริมดวงอีกหน่อยก่อนการเดินทาง!」
「แล้วก็ถ้าหากเกิดอะไรอันตรายจนรับมือไม่ไหว ก็ขอให้ใช้สิ่งนี้ในการสร้างบาเรียนะคะ」
ลอตเต้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ฟาร์มา ได้มอบแผ่นกระดาษแบบใช้แล้วทิ้งนับสิบแผ่นซึ่งภายในนั้นก็มีวงเวทถูกวาดเอาไว้ พร้อมกับเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ให้ฌอง ตัวเขาก็รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ลอตเต้ทำ แต่ก็รับมันมาด้วยความยินดีพร้อมรอยยิ้ม
「มีของแบบนี้ด้วยก็อุ่นใจ! เพราะลูกเรือเราหลายคนก็เป็นคนธรรมดากันด้วย หากมีสิ่งนี้ พวกเขาก็น่าจะรับมือกับพวกวิญญาณร้ายได้สักพักด้วย!」
ไม่มีชนพื้นเมืองของทวีปใหม่อาศัยอยู่ในบริเวณที่พลเรือเอกฌองลงเทียบท่า แต่อย่างน้อยก็อาจจะมีพวกสัตว์ป่าที่ต้องรับมือ อันที่จริงฟาร์มาขอให้เป็นแค่สัตว์ป่าเท่านั้นจะดีมาก เพราะหากเป็นวิญญาณร้ายสถานการณ์คงจะเลวร้ายกว่านั้นเยอะ ถึงการเดินทางครั้งนี้จะได้รับการสนับสนุนจากนครศักดิ์สิทธิ์ทำให้มีนักบวชร่วมเดินทางไปด้วย อีกทั้งยังมีผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพจากวัง แต่ในจำนวนคนเหล่านี้ผู้ที่มีประสบการณ์ในการเดินทางก็มีไม่มากนัก และจำนวนผู้ที่ใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ก็มีเพียงประมาณ 20% ของลูกเรือทั้งหมด
ในเงื่อนไขแบบนี้ พวกเขาก็น่าจะพอผ่านจุดที่เรียกกันว่าสุสานเรือไปได้
แต่หากไปยังทวีปใหม่แล้วยังเจอพวกวิญญาณร้ายรออยู่อีกก็คงเรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่แสนยากลำบากอย่างแน่นอน
ในครั้งนี้ ฟาร์มายังได้ช่วยเสนอวิธีการปรับปรุงเรือเพื่อสร้างความปลอดภัยและลดเวลาในการเดินทางให้ดียิ่งขึ้นด้วย
ประการแรก คือพลังในการขับเคลื่อนของเรือนั้นจะใช้เป็นพลังงานลมและการพาย แต่หลังจากปรับปรุงให้มีการใช้ศาสตร์แห่งเทพวารีในการขับเคลื่อนใต้ท้องเรือ และใช้ศาสตร์แห่งเทพวายุในการกำกับใบเรือ ปรับรูปแบบการไหลเวียนของคลื่นเรียกได้ว่ามีการใช้ศาสตร์แห่งเทพเข้ามาช่วยในการเดินเรือนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งไฮโดรฟอยล์เพื่อลดแรงต้านความเร็วไว้ที่ท้ายเรือด้วย
ผลจากการทดสอบเรือรุ่นปรับปรุง ก็พบว่าความเร็วในการแล่นของมันนั้น เทียบได้กับเรือความเร็วสูงในยุคปัจจุบันเลย
ขนาดตัวพลเรือเอกฌองซึ่งเป็นผู้ทำการทดลองด้วยตัวเองยังประหลาดใจกับความเร็วเลย จนพูดขึ้นมาว่า “ถ้ามันเร็วได้ขนาดนี้คงไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทางจากการเดินทางไกลหรือไปเกยตื้นที่ไหนเอาแล้วสิ”
「การเร่งความเร็วของเรือก็ใช้วงเวทในการควบคุม แต่ในกรณีที่พลังแห่งเทพของผู้ดูแลด้านนี้หมดลง ก็ให้ใช้คริสทัลที่บรรจุพลังแห่งเทพนี้แทนนะครับ ซึ่งมันน่าจะช่วยลดภาระของพวกเขาได้เป็นอย่างดีเลย นอกจากนี้ก็เป็นคทาแห่งเทพสำหรับการเดินเรือโดยเฉพาะครับ มันจะทำให้สามารถใช้พลังแห่งเทพได้นานขึ้นด้วย」
ฟาร์มาได้ทำการมอบคทาแห่งเทพให้กับเหล่าผู้ช่วยของฌองซึ่งเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุวารีและวายุ
เท่านั้นยังไม่พอ ฟาร์มายังได้เตรียมของไว้ให้เขาอีกหลายชิ้น
ไม่ว่าจะเป็นเข็มทิศชนิดพกพาที่สามารถบอกทิศทางได้อย่างแม่นยำไม่ว่าเรือจะเอนเอียงไปแค่ไหนก็ตาม
กล้องส่องทางไกลขนาดเล็กชนิดปริซึมที่สามารถรับภาพแบบตั้งตรงได้
บารอมิเตอร์แบบอะนาล็อกทรงโดม ที่บีบอัดสามฟังก์ชันอย่างอุณหภูมิ ความชื้น และความกดอากาศเอาไว้
ของทั้งหมดที่ว่ามาถูกสร้างขึ้นภายในโรงงานมาร์เชล และกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเพื่อจัดจำหน่ายให้คนทั่วไปด้วย
ถึงแม้ความแม่นยำของมันจะไม่สูงเท่าใดนักในตอนนี้ แต่อย่างน้อยมันก็สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ในระดับหนึ่ง หากรวมมันเข้ากับประสบการณ์ของผู้เดินเรือก็น่าจะช่วยได้มาก
นอกจากนี้ก็ยังมีวิทยุสื่อสารประจำเรือ
โดยมีเป้าหมายไว้ใช้ในการติดต่อกับเรือแต่ละลำระหว่างที่เดินทางอยู่ในทะเล
โดยคลื่นวิทยุจะถูกเซตให้เป็นสัดส่วนที่ผกผันกำลังสองของความยาวคลื่น
ด้วยตัวแปรเดียวกันนี้ หากความยาวของคลื่นมีมาก คลื่นวิทยุที่จะสลายไปก็จะมากขึ้นนั่นคือหลักการแปรผกผันของทั้งสอง แต่คลื่นวิทยุดังกล่าวก็สามารถใช้หลักการในการสะท้อนคลื่นบนชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ ที่ทำให้สื่อสารกันในระยะไกลได้ แม้จะเป็นในทะเล แน่นอนว่าฟาร์มาไม่ได้ละเลยในส่วนของการตรวจสอบว่าโลกใบนี้มีชั้นไอโอโนสเฟียร์อยู่ด้วยหรือไม่
หากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์โลกของเขาแล้ว ก็จะเป็นในปี 1902 ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์อย่างกูลเยลโม มาร์โกนีวิศวกรไฟฟ้าชาวอิตาลีที่คิดค้นการสื่อสารแบบไร้สายข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่เชื่อมโยงสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา
ข้อกำหนดขั้นต่ำของการสื่อสารแบบไร้สายนี้ก็จำเป็นจะต้องมีเครื่องส่งสัญญาณ แหล่งจ่ายไฟ และเครื่องตรวจจับสัญญาณ ดีโมดูเลเตอร์
แม้ว่าตัวฟาร์มาเองจะมีความรู้เกี่ยวกับพื้นฐานของวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ แต่หากใช้แค่ความจำของเขาเพียงอย่างเดียวมันก็อาจจะนำพาไปสู่ข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ได้ ดังนั้นเขาจึงใช้อินเทอร์เน็ตในการตรวจสอบความถูกต้องไปด้วย
ต้องขอบคุณข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับงานอิเล็กทรอนิกส์ย้อนยุค ที่ทำให้เขาสามารถสร้างแผงวงจรสำหรับเครื่องส่งสัญญาณซึ่งแม้จะเป็นโลกใบนี้ก็สามารถทำได้ ซึ่งรวมไปถึงหลอดสุญญากาศด้วย
ตัวเก็บประจุฟาร์มาจะเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง เพราะเขาได้นำเครื่องทดสอบความจุออกมาจากห้องปฏิบัติการของเขาด้วยในครั้งก่อน ส่วนการหุ้มประจุด้วยลวดทองแดงนั้นยังไม่สามารถทำมันออกมาได้อย่างชำนาญ ฟาร์มาจึงต้องใช้วิธีต่อลวดทองแดงผ่านสายยางแทนก่อนจะห่อมันด้วยผ้าไว้อีกชั้นหนึ่ง ทำให้มันดูคล้ายกับสายเตารีด
ส่วนทางด้านตัวหลอดสุญญากาศนั้นก็ให้ทางเวิร์กช็อปเมโลดี้เป็นผู้ผลิต จนได้แก้วที่ไม่มีวันแตกออกมาไว้ใช้งาน
ส่วนพวกองค์ประกอบอื่นอย่างเพลท เส้นใยก็สร้างขึ้นมาผ่านความสามารถสร้างสสาร พอเขาได้เห็นแสงสีส้มที่ออกมาจากฮีตเตอร์ของไตรโอดหลอดสุญญากาศ ก็ทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นชวนให้คิดถึงอดีต
สำหรับแหล่งจ่ายไฟ ฟาร์มาได้ใช้ความรู้จากพลังงานลมให้เป็นประโยชน์เหมือนกับที่ทำในโรงงาน รวมไปถึงการใช้ทฤษฎีเหนี่ยวนำของแม่เหล็กไฟฟ้าฟาราเดย์ เพื่อสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้ารุ่นต้นแบบขึ้นมาซึ่งมันขับเคลื่อนด้วยการหมุนของขดลวดจนเกิดเป็นไฟฟ้า ซึ่งทั้งสองน่าจะช่วยส่งพลังงานที่เสถียรขึ้นมาได้
ในเรื่องต่อมาก็คือการรับมือการ แบตเตอรี่ที่อาจจะไหม้และน้ำทะเล ฟาร์มาตัดสินใจทำแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดขึ้นมาหลายชิ้นก่อนจะต่อกันเข้าเป็นอนุกรม โดยมีความจุประมาณ 2V ต่อเซลล์เพื่อใช้รับพลังงานไฟฟ้าจากลม ทางอิเล็กโทรไลต์ ตะกั่วออกไซด์สำหรับขั้วบวกและลบฟาร์มาก็สร้างมันขึ้นมาจากความสามารถสร้างสสารแทน
สำหรับประสิทธิภาพของตัวรับสัญญาณนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องสร้างให้ซับซ้อนอะไรมาก ขอเพียงแค่สามารถส่งสัญญาณผ่านทะเลได้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว
การรับสัญญาณจะทำโดยการใช้เสาอากาศแบบวนซึ่งข้อมูลดังกล่าวเขาก็ได้มาจากอินเทอร์เน็ต ส่วนซอฟต์แวร์ในการรับคลื่นวิทยุเขาก็ทำการติดตั้งมันเอาไว้ในแล็บท็อปของเขาเองด้วย
พร้อมกันนี้เขายังทำการสร้างวิทยุสื่อสารเจอร์เมเนียมซึ่งถูกใช้กันแพร่หลายในอดีต มันเป็นวิทยุสื่อสารที่มีโครงสร้างเรียบง่ายและไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานสูง จะมีก็เพียงไดโอดเจอร์เมเนียมที่ทำจากเจอร์เมเนียม ซึ่งจุดนี้ก็พึ่งความสามารถในการสร้างสสารเองเช่นเดิม
แล้วพอเขาสร้างไดโอดเจอร์เมเนียมขึ้นมาเสร็จ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ทำไมเขาถึงไม่ทำมันตั้งแต่แรก เพราะถ้าทำแบบนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องประสบปัญหาการต่อท่อสุญญากาศเข้ากับเครื่องส่งสัญญาณก่อนหน้านี้เลย แต่กว่าจะมานึกขึ้นได้ก็ตอนจะออกเดินทางแล้ว
เพราะเจ้าวิทยุเจอร์เมเนียมมันมีวงจรที่เรียบง่ายกว่ามาก ขอแค่มีวัสดุก็สามารถทำได้ตลอดเวลา
แน่นอนว่าที่กล่าวมานั้นเขาได้ทำการทดสอบการรับส่งสัญญาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งก็เป็นความร่วมมือจากทางตัวของฟาร์มา เอเลน และปาลเล่ ที่ได้นำตัวส่งและรับสัญญาณไปติดตั้งที่ทวีปการ์บันก่อนแล้ว ผลการทดลองก็พบว่ามันประสบความสำเร็จในการรับส่งข้อมูลระหว่างทวีปด้วย
เป็นไปตามที่พวกเขาคาด และเนื่องจากมันเป็นการใช้คลื่นสั้นในการสื่อสาร จึงทำให้ช่วงเวลากลางคืนการสื่อสารจะเดินทางไปได้ดีขึ้น
สุดท้ายแล้วฟาร์มาและคนของเขาก็เป็นเพียงกลุ่มเดียวในโลกนี้ที่สามารถใช้วิทยุในการสื่อสารถึงกันได้ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาสามารถครอบครองความยิ่งใหญ่ในการเลือกใช้งานความถี่ของคลื่นได้ตามที่ตัวเองต้องการด้วย
นอกจากนี้เมื่อมีสัญญาณวิทยุเกิดขึ้น ข้อความใดๆ ก็ตามที่ถูกส่งมาฟาร์มาก็จะสามารถทราบได้ในทันทีและหากมีสัญญาณของความช่วยเหลือเกิดขึ้นเขาก็จะสามารถบินออกไปหาได้หลังทราบ
ตัวเอเลนก็ถามเขาอยู่หรอกว่า “นายจะส่งสัญญาณมาจากจุดไหนล่ะ?” ทางเขาก็ได้แค่บอกไปว่า “จากระยะไกลน่ะ” แต่ระยะไกลที่เขาว่านั้นไม่มีใครรู้เลยว่ามันคืออีกทวีปหนึ่ง ซึ่งเขาเป็นคนบินข้ามไปเองเพื่อตรวจสอบและยืนยันความปลอดภัยในเบื้องต้น
จากนั้นฟาร์มาก็มอบความไว้วางใจให้กับเหล่าลูกเรือในการควบคุมการสื่อสารทางวิทยุ ซึ่งพวกเขาก็ถูกฝึกฝนกันมาเป็นพิเศษก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนเครื่องรับสัญญาณเขาก็ยกให้กับกองทัพเรือของจักรวรรดิเป็นผู้รับผิดชอบในการส่งคนมาควบคุมเป็นกะไป
ทีนี้ปัญหาการสื่อสารแบบไร้สายก็ถูกแก้ไขแล้ว
เรือสามารถส่งคลื่นวิทยุมาได้ และทางฝั่งก็มีเครื่องรับสัญญาณ
นอกจากนี้หากฝั่งแผ่นดินสังเกตเห็นพายุไต้ฝุ่นที่กำลังเคลื่อนตัวจากท้องฟ้า พวกเขาก็จะสามารถแจ้งไปทางเรือได้ด้วยเพื่อให้เตรียมรับมือ เพราะสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปกะทันหันอาจจะนำพาไปสู่อุบัติเหตุทางทะเลได้ หากเป็นในกรณีอื่นการช่วยเหลือทางทะเลน่าจะพอทำได้ง่ายกว่าพายุ ซึ่งมันสามารถกลืนกินเรือทุกลำเข้าไปได้ในคราวเดียว
แต่ถึงจะพูดมาแบบนั้น ความแม่นยำและรวดเร็วก็คงไม่เท่าการพยากรณ์อากาศในโลกของเขาได้
ทว่าการที่จะทำได้ถึงขนาดนั้น แม้แต่ในโลกยุคใหม่ก็จำเป็นต้องใช้การคำนวณตัวเลขเชิงสถิติจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ และระยะเวลาในการพยากรณ์คร่าวๆ ก็อยู่ที่ 1 สัปดาห์ นั่นหมายความว่าถึงจะเป็นฟาร์มาก็ไม่สามารถพยากรณ์อากาศบนโลกนี้ได้
การจะใช้แล็บท็อปของเขาที่นำกลับมาด้วยก็คงไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากนี้เขาก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจในการสังเกตค่าตัวเลขต่างๆ ที่มันแสดงขึ้นมาด้วย จึงยากจะคาดเดาว่ามันจะบอกถึงอะไรกันแน่ สุดท้ายเทคโนโลยีที่เขาสามารถนำมาใช้งานได้ก็มีจำกัด
สุดท้ายก็จะมีเพียงแค่อุปกรณ์การสื่อสารไร้สายและเรือเท่านั้นที่เป็นของทันสมัยที่สุดเท่าที่จะหาได้ตอนนี้
จะเหลือก็เพียงนึกถึงเรื่องที่พวกเขาสามารถพยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ ตรงจุดนี้น่าจะเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของลูกเรือได้อีกมาก
ส่งผลให้ฟาร์มาพยายามสอนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องความกดอากาศ การเปลี่ยนแปลงของกระแสมวลอากาศ การเคลื่อนไหวของเมฆในทะเล การเพิ่มขึ้นของความชื้นในอากาศและลักษณะพื้นที่ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางทะเล เขาจำเป็นต้องให้ความรู้มากที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้แทน
สำหรับการสนับสนุนเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยก็จะเป็น เรื่องที่ฟาร์มาไปจัดการพวกวิญญาณร้ายแถวสุสานเรือ นั่นน่าจะทำให้พวกมันไม่มารวมตัวกันตรงนั้นสักพักหนึ่ง
นอกจากนี้เขาก็ทำการลบพวกแนวหินโสโครก ปะการังขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มจะเกยตื้น ด้วยความสามารถในการสลายสสารไปหมดแล้ว ก่อนจะปักหมุดมันลงในแผนที่สำหรับการเดินเรือว่าปลอดภัย
พอคุยกับเอเลนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอก็บ่นออกมาว่า “นี่นายเป็นแม่พวกเขาหรือไงกันยะ ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพก็มีอยู่บนเรือนะ นี่เล่นไปจัดการปูทางให้ซะหมดเลยกระทั่งพวกวิญญาณร้าย” มันทำให้เขาตกใจพอสมควร
ว่าแล้วเธอก็หัวเราะออกมา แต่สุดท้ายมันก็เพราะความกังวลของตัวฟาร์มาเองที่อยากจะให้พวกเขาเดินทางกันโดยปลอดภัย
「สุดท้ายข้าก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านทำทั้งหมดหรอกนะ แต่จากที่ได้ยินพวกลูกเรือพูดกัน ก็คงต้องขอโทษด้วยนะที่สร้างความลำบากให้ขนาดนี้ ทั้งที่ตั้งใจจะขอแค่คำแนะนำแท้ๆ 」
พลเรือเอกฌองเกาแก้มของเขาก่อนจะขอโทษ สิ่งที่ฟาร์มาทำให้กับพวกเขานั้นเรียกได้ว่าเป็นการป้องกันหลายรูปแบบราวกับรักษาไข่ในหิน
「นอกจากขอบคุณข้าก็คงไม่มีอะไรจะพูดได้ออก ถึงแม้ท่านจะยังเป็นแค่เด็ก แต่ความสามารถในการประดิษฐ์นี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ 」
「นั่นไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ของผมเองหรอกครับ ทั้งหมดมันคือภูมิปัญญาของบรรพบุรุษทั้งนั้น」
「อย่าถ่อมตัวไปนักเลย ข้ารู้ว่ามานานแล้วว่าท่านเป็นพวกชอบปิดความสำเร็จของตนไว้เบื้องหลัง แต่อย่างน้อยก็ขอให้ท่านรู้ไว้ว่า ความรู้ที่ปราศจากการลงมือทำ มันไม่มีวันเกิดเป็นรูปร่างได้หรอกนะ」
พลเรือเอกฌองเข้าใจในตัวฟาร์มาดี ก่อนจะพยักหน้าให้และแตะไปที่ไหล่ของฟาร์มา
「แถมนี่ก็เป็นเส้นทางที่ข้าเคยผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง อย่ากังวลไปนักเลย」
「แต่มันก็เป็นการเดินทางที่เสี่ยงชีวิตอยู่ดีนะครับ ยังไงก็ขอให้ระวังตัวด้วย」
พอได้ยินแบบนั้น พลเรือเอกฌองก็พูดตลกร้ายออกมาแทน “ข้ามันก็แก่ปูนนี้แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นก็คงไม่แปลกหรอกน่า”
「แต่อย่างน้อยข้าก็จำเป็นต้องนำผลงานกลับมาฝากแผ่นดินแม่บ้างแหละนะ หากเป็นผงทองคำอะไรทำนองนั้นได้ก็คงเหมาะนะ เอาเถอะมันก็คงจะไม่มีอะไรง่ายดายขนาดนั้น ท่านก็อย่าคาดหวังอะไรมากนักล่ะ เชิญกลับไปพักผ่อนเถิด」
「ถึงแม้จะเจอของที่แปลกตาไปบ้าง แต่ก็ไม่ควรนำกลับมาด้วยมากจนเกินไปนะครับ เพราะเรืออาจจะรับน้ำหนักไม่ไหวด้วย นอกจากนี้การกักกันโรคก็เป็นเรื่องจำเป็นด้วย ต้องระวังไม่ให้มีการติดเชื้อระหว่างการเดินทาง」
「หรือก็คือพวกข้าอย่าโลภมากเกินไปนั่นสิน้อ!」
เขาหัวเราะออกมาด้วยความยินดีก่อนจะเดินจากไป จากนั้นฟาร์มากับลอตเต้ก็เข้าไปหาคลาร่าที่นั่งอยู่บนม้านั่งแถวท่าเรือด้วยสีหน้าที่หม่นหมองจนเห็นได้จากไกลๆ
คลาร่าสวมกางเกงที่คล้ายกับกางเกงผู้ชาย และเสื้อผ้าที่เคลื่อนไหวบนเรือได้ง่าย
「คุณคลาร่าเป็นยังไงบ้างครับ? 」
「ก็ค่อนข้างโล่งใจเรื่องอาการเมาเรือเพราะยาที่ท่านแพทย์โอสถมอบให้ค่ะ แต่เรื่องคำทำนายดูยุ่งเหยิง….」
「เพื่อป้องกันการเมาเรือแล้ว หากอยากนอนให้สบายก็ขอให้ไปสูดอากาศบนดาดฟ้าของเรือสักหน่อยนะครับ และดูจากทิศทางของการเดินทางแล้ว คุณฌองบอกว่า คุณน่าจะเริ่มคุ้นเคยกับเรือระหว่างที่เดินทางนี่แหละครับ อาการเมาก็คงจะเบาลงไปด้วย」
「หากเป็นเช่นนั้นได้ จะขอบคุณมากเลยค่ะ」
เธอก็เป็นหนึ่งในลูกเรือครั้งนี้ นอกจากนี้เธอยังเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่มีความพิเศษในการหยั่งรู้อนาคต จากเทพแห่งการเดินทางที่เป็นเทพผู้พิทักษ์ของเธอ
เนื่องจากการเมาเรือนั้นเป็นเรื่องแย่พอสมควร ฟาร์มาจึงได้มอบยาป้องกันอาการคลื่นไส้ให้กับเธอเผื่อไว้แล้ว
「นอกจากนี้ ยาตัวนี้ยังใช้สำหรับการกับประจำเดือนครับ น่าจะช่วยทำให้อาการเบาบางลงได้ด้วย」
「ว่าแล้วเชียว ยาตัวนี้ช่วยทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นสินะคะ เป็นไปตามคาดเลย」
ยาที่ฟาร์มามอบให้เธอคือ low-dose
low-dose ตัวนี้จะประกอบไปด้วยฮอร์โมนเพศหญิงที่สำคัญ อย่างเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งหลอกสมองให้คิดว่าร่างกายของผู้ใช้กำลังตั้งครรภ์ ทำให้ระหว่างที่รับประทานยานั้น ต่อมใต้สมองจะยับยั้งสารกระตุ้นไปส่งไปยังรังไข่เพื่อกระตุ้นการตกไข่ ซึ่งลดการเกิดประจำเดือนและอาการPMS (อาการก่อนมีประจำเดือน) ไม่เพียงเท่านั้นมันยังสามารถป้องกันมะเร็งในรังไข่และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้ด้วย
เนื่องจากตัวคลาร่ามีอาการPMSที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นอาการนอนไม่หลับ ปวดท้องน้อย เต้านมขยาย อารมณ์ไม่คงที่เช่นเกิดอาการซึมเศร้า และเจ็บปวดจากการบีบตัวของมดลูก
หลังจากเธอทานมันเข้าไป อาการไม่สบายตัวและเลือดออกจากประจำเดือนก็ลดลง นี่น่าจะช่วยให้ความทรมานของเธอขณะเดินเรือน้อยลงไปด้วย
ไม่เพียงเท่านั้นลูกเรือที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด ทางร้านขายยาก็ได้มอบชุดชั้นในและผลิตภัณฑ์ทางอนามัยไว้ให้สำหรับการเดินทางระยะไกลด้วย
จะว่าไป ผู้หญิงในประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่บนโลกของเขาก็ใช้low-doseกันเป็นประจำ ถึงแม้ในญี่ปุ่นการใช้ยาดังกล่าวจะมีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม อาจจะเป็นเพราะผลของยานั้นมันช่วยในการคุมกำเนิดด้วย ผลของรักษาPMSและอาการปวดในประจำเดือนจึงไม่เด่นเท่าอย่างแรก ซึ่งมันก็เป็นความเข้าใจผิดของคนที่ฝังรากลึกกันมานานมากแล้ว อีกทั้งการจะใช้ยาคุมกำเนิดจริงๆ มันก็จำเป็นต้องทานภายใน 72 ชม. หลังมีเพศสัมพันธ์ด้วยเพื่อให้ได้ผลป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์
ดังนั้นถึงจะเป็นเด็กผู้หญิงอย่างคลาร่าก็สามารถกินlow-doseได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าตนจะถึงวัยที่มีเพศสัมพันธ์แล้วหรือไม่
สุดท้ายฟาร์มาก็มองว่ามันเป็นเรื่องที่สังคมต้องเปิดใจรับและทำความเข้าใจในผลของการใช้ยาว่าไม่ได้มีแค่มุมเดียวหรือคนกลุ่มเดียวที่ใช้ได้
「แล้วเรื่องคำทำนายของคุณที่บอกก่อนหน้านี้ พวกลูกเรือกลายเป็นโครงกระดูกไป ตอนนี้ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหมครับ? 」
「ไม่แล้วค่ะ ภาพที่ฉันเห็นมันเปลี่ยนไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะการเดินทางครั้งนี้ได้รับการดูแลแก้ไขอย่างเหมาะสมแล้วก็ได้」
「ก็แปลว่าทุกคนจะได้กลับมากันอย่างปลอดภัยสินะครับ」
สรุปก็คือผลการทำนายไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักเพราะมันยุ่งเหยิงไปหมด แต่อย่างน้อยเธอก็รู้ว่าครั้งนี้ไม่มีผู้เสียชีวิต
「อันที่จริง…ฉันก็ไม่อยากจะพูดหรอกนะคะ แต่ฉันมีความรู้สึกว่าจะได้พบกับท่านแพทย์โอสถตอนไปถึงอีกทวีปหนึ่งยังไงก็ไม่รู้สิ」
「เรื่องนั้น…คงคิดไปเองมั้งครับ」
(เดี๋ยวนะถ้าเธอรู้สึกแบบนั้น….ไม่ใช่ว่าสุดท้ายเราต้องไปช่วยเหลือพวกเขาหลังเดินทางข้ามทวีปเสร็จแล้วหรอกนะ)
ฟาร์มามีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีหลังจากได้ยินสิ่งที่คลาร่าบอก
จะทำยังไงดีนะถ้าถึงตอนนี้มีลูกเรือหลายร้อยคนกำลังรอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเกิดจากเรือหลุดการควบคุมหรือล่ม…เพราะเรื่องแบบนี้แค่ตัวฟาร์มาเพียงคนเดียวจัดการไม่ได้แน่ๆ นอกจากนี้ถึงเขาจะสามารถพาคนบินไปกับคทาแห่งเทพโอสถได้ แต่จำนวนของมันก็ใช่ว่าจะขนได้ทีละเป็นร้อย
สิ่งที่เขาพอจะทำได้ก็น่าจะเป็นการสร้างสถานที่พักชั่วคราวให้พวกลูกเรือก่อน และแยกคนป่วยกับผู้บาดเจ็บไว้อีกส่วน
ที่เขาจำเป็นต้องคิดอย่างจริงจัง เพราะเรื่องที่คลาร่าพูดนั้นมักจะเกิดขึ้นจริงเสมอ
(ต้องคิดแผนช่วยเหลืออย่างจริงจังไว้แล้วสิ)
ฟาร์มารู้สึกกังวลใจ แต่เขาก็ต้องยิ้มส่งคลาร่าเพื่อไม่ให้เธอเป็นกังวล
「หากเกิดอะไรขึ้น ผมจะเข้าไปช่วยเองครับ」
「ถึงจะทราบดีว่าคงเป็นไปไม่ได้ แต่พอได้ยินแบบนี้ก็สบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ」
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฟาร์มาก็ต้องยิ้มส่งพวกเธอก่อนออกเดินทาง
ลอตเต้ที่ทำช่อดอกไม้แขวนคอส่งให้เธอกล่าวขึ้น
「หวังว่าทุกท่านจะเดินทางโดยปลอดภัยและกลับมาก่อนกำหนดการนะคะ」
ในที่สุดก็ถึงเวลาออกเรือ เรือใบขนาดใหญ่ทั้ง 5 ลำ ซึ่งถูกประดับประดาไปด้วยธง ซึ่งเป็นพิธีลำดับสุดท้ายก่อนออกเดินเรือ จากนั้นกัปตันเรือก็ได้สั่งให้พวกลูกเรือเรียงแถวกัน โดยเว้นระยะเท่าๆ กัน แล้วก็มีลูกเรือปีนขึ้นไปบนเสากระโดงเรือและยกมือข้างหนึ่งเพื่อทำการโบกมืออำลา
(นั่นมันพิธีขึ้นเสากระโดงเรือไม่ใช่เหรอ?)
ในโลกของเขามันเป็นพิธีที่ใช้ก่อนจะออกเรือ เพื่อทำให้คนเห็นว่าพวกเขาพร้อมแล้วที่จะออกเดินทาง โดยจะมีลูกเรือปีนไปเบาเสากระโดงเรือเพื่อโบกมือบอกเป็นสัญญาณ
ช่างเป็นภาพที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจ ฟาร์มาก็ได้แต่ภาวนาให้พวกเขาปลอดภัยจากการเดินทาง
เมื่อเหล่าลูกเรือทำพิธีเสร็จแล้ว เรือก็เริ่มออกตัว
ในที่สุดก็ถึงเวลาออกทะเล
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป กระแสคลื่นลมที่ควรจะพัดพาเรือออกจากฝั่งด้วยความรุนแรง กลับแผ่วเบาลง
(เดี๋ยว? นั่นความผิดเราหรือเปล่านะ? )
ดูเหมือนสถานะความเป็นเทพของฟาร์มาในบางครั้งก็สร้างพลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาและส่งผลไปถึงสภาพอากาศและความกดอากาศโดยไม่ตั้งใจ นั่นทำให้การอ่านกระแสลมของการออกเรือผิดไป
แม้ว่ากระแสความกดอากาศจะผิดไปบ้าง แต่โดยพื้นฐานแล้วหากรอสักหน่อยแนวโน้มของอากาศและกระแสน้ำก็น่าจะดีขึ้น
「เห้อ ช่วยไม่ได้สินะ」
พอเขาเห็นใบหน้าของพลเรือเอกฌองที่ขุ่นมัวไป ฟาร์มาก็รู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบอะไรสักอย่าง
「คุณฌองครับ รบกวนเปิดเส้นทางการเดินเรือให้ผมดูหน่อย」
「เดี๋ยว? นี่ท่านจะทำอะไรกัน? นั่นมัน!」
เส้นทางก็ถูกเลือกไว้เรียบร้อยแล้ว วันเวลาที่คาดการไว้ในแต่ละจุดหมายก็กำหนดไว้แล้ว
「ตอนนี้สามารถพับใบเรือลงได้นะครับ เพราะนั่นน่าจะช่วยให้เรือเร็วขึ้นด้วย นอกจากนี้ แล้วเราน่าจะลองปล่อยให้เรือไหลไปตามกระแสของน้ำสักระยะจะดีกว่า เพราะอากาศคงจะเปลี่ยนแปลงในช่วงเย็นๆ ถึงค่ำด้วย ดังนั้นให้พยายามไปถึงพื้นที่ปลอดภัยในตอนกลางวันคงจะเหมาะกว่า เอาเป็นเราเริ่มจากเส้นทางนี้ แล้วไปถึงตรงนี้ดีไหมครับ」
「ก-ก็ดีหรอก แต่ว่าท่านคิดจะทำอะไรกันล่ะ」
ว่าแล้วฟาร์มาก็หยิบคทาของเขาขึ้นมาเพื่อเตรียมใช้งาน และถึงเขาจะถูกจับตามองอยู่ เขาก็ไม่ได้สนใจนักก่อนจะเริ่มร่ายมนตร์และสร้างวงเวทขนาดใหญ่ขึ้นมาในทะเล
ทางบรูโนที่กำลังพูดคุยอยู่กับแขกร่วมพิธีก็รู้สีกประหลาดใจกับพลังแห่งเทพที่หลั่งไหลอยู่ ก่อนจะมองไปยังฟาร์มา และดูเหมือนทางบรูโนก็ไม่มีความคิดที่จะห้ามอะไรเขา
「โอ้ー!? 」
「อย่าบอกนะว่าท่านสามารถสร้างกระแสน้ำขึ้นมาในมหาสมุทรด้วยศาสตร์แห่งเทพได้? นี่ยังมีอะไรที่ท่านไม่สามารถทำได้อีกกันเนี่ย!」
「เดี๋ยวนะ วงเวทพวกนี้มันอะไรกัน? หรือมันเป็นวงเวทใหม่สำหรับใช้ในการเดินเรือ」
「น้ำแข็ง! วงเวทพวกนี้ถูกวาดขึ้นมาจากบนน้ำแข็ง」
มันสร้างความประหลาดใจและเสี่ยงโห่ร้อง ให้กับทุกคนที่เห็น
「งั้นก็ ขอให้ทุกท่านโชคดีนะครับ」
เมื่อฟาร์มาวางวงเวทไว้ที่เรือทั้ง 5 ลำ ครบแล้ว เขาก็ได้ใช้ธารน้ำแข็งเป็นตัวผลักเรือออกไปและควบคุมกระแสน้ำให้เรือแล่นไปยังทิศที่ตนกำหนดไว้ ด้วยมีลมจากศาสตร์แห่งเทพหนุน
「งั้นก็ไปละนะคะ!」
「ทุกคน ออกเดินทางกันได้!」
คลาร่าและลูกเรือคนอื่นๆ ได้โบกมือลาคนบนฝั่งจากบนดาดฟ้า
เรือที่กางใบออกได้พุ่งตัวออกจากฝั่งด้วยความรวดเร็วจนคนบนฝั่งเห็นเรือเล็กเท่าเม็ดถั่วในเวลาไม่นาน ฟาร์มาและคนอื่นๆ ที่เห็นภาพนั้นก็ได้แต่หัวเราะ ก่อนจะถอดหมวกของพวกตนและโบกมือลาอีกครั้ง หลังเสร็จการร่ำลา ลอตเต้ก็ถามกับฟาร์มา
「วงเวทที่ท่านสร้างขึ้นมาเมื่อกี้น่าทึ่งมากเลยค่ะ! ฉันยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับวงเวทที่ควบคุมกระแสน้ำได้ระดับนั้นมาก่อนเลย! นอกจากนี้ยังมีการใช้วงเวทธาตุวายุเข้าไปด้วยสินะคะ?!」
「มันเป็นการสร้างน้ำแข็งขึ้นมาเพื่อใช้เป็นฐานในการสร้างวงเวทน่ะ ซึ่งก็หมายความว่าเราสามารถเขียนวงเวทอะไรก็ได้ลงในทะเลด้วยวิธีการนั้น ดังนั้นผมก็เลยมองว่าถึงจะเป็นธาตุน้ำหรือธาตุลมก็น่าจะสร้างออกมาได้ไม่ต่างกันนักด้วยพื้นฐานดังกล่าว」
ฟาร์มาอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ลอตเต้ผู้สงสัยในวงเวทฟัง
วงเวทที่ฟาร์มาสร้างขึ้นมานั้นไม่เป็นที่นิยมนักในหมู่ผู้คน แน่นอนว่าอาจจะมีการดัดแปลงจากของเก่าไปบ้าง แต่ตัววงเวทดังกล่าวนั้นฟาร์มาไม่ได้เป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเอง แต่เกิดจากการที่เขาได้ศึกษาข้อมูลในอดีตจากหอตำราของนครศักดิ์สิทธิ์ และนำมันกลับมาใช้ในปัจจุบัน ซึ่งวิธีการที่เขาค้นพบนั้นมันมีข้อดีอยู่เป็นจำนวนมาก จะเหลือก็เพียงมันมีข้อเสียที่ยิ่งใหญ่อย่างการสูญเสียพลังแห่งเทพในการใช้งานเป็นจำนวนมากระหว่างสร้างวงเวท แต่สำหรับฟาร์มาแล้วตัวเขากลับชอบวงเวทที่มีลักษณะแบบนี้เป็นอย่างมาก จึงได้ทำการศึกษาพวกมันเท่าที่จะทำได้
และก็เพราะเป็นวงเวทที่ฟาร์มาเท่านั้นสามารถใช้ออกมาได้อย่างง่ายดาย จึงเป็นเรื่องสดใหม่เสมอสำหรับลอตเต้ผู้เริ่มศึกษาศาสตร์ดังกล่าว
「ศาสตร์แห่งเทพนี่เป็นไปด้วยความมหัศจรรย์จริงๆ ว่าแต่ท่านไปฝึกมาตอนไหนเหรอคะ เพราะช่วงที่ผ่านมาท่านก็ไม่ได้ออกทะเลไปไหนไกลด้วย」
「เป็นช่วงที่ผมดูแลนาตาลีน่ะ หน้าต่างของห้องพยาบาลมันติดกับสระน้ำของมหาวิทยาลัยพอดีก็เลยฝึกตรงนั้นเอา」
「เพราะแบบนี้ลักษณะคลื่นของสระน้ำที่มหาลัยถึงได้เคลื่อนไหวได้งดงามนี่เอง!」
ลอตเต้ที่มักจะผ่านทางมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าวังอยู่เป็นประจำ ก็รู้สึกแปลกใจที่สระน้ำของมหาวิทยาลัยมีภาพแปลกตาออกไป
「ก็เพราะผมจำเป็นต้องใช้เวลาทุกช่วงให้คุ้มค่าที่สุดน่ะสิ」
「ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดสินะคะ」
「ก็เพราะเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญมากยังไงล่ะ เราก็ควรจะใช้มันให้คุ้มสิ」
「ถ้าเช่นนั้น ท่านฟาร์มาคิดจะใช้เวลาที่แสนมีค่ากับเรื่องไหนต่อเหรอคะ」
ลอตเต้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น จนทำให้ฟาร์มารู้สึกเหมือนเธอพร้อมจะกระโดดโลดเต้นออกมาได้ตลอดเวลา
「จะเป็นเรื่องไหนกันนะ」
「เรื่องต่อไปผมคิดว่าจะสร้างวิทยุสื่อสารขึ้นมา ซึ่งสามารถติดต่อได้กับทุกที่ทั่วทวีปและใช้กับทุกประเทศทั่วโลกน่ะ!」
「เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลยนะคะ」
「ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ? 」
「ก็ฉันนึกว่าท่านฟาร์มา จะเอาแต่คิดเรื่องทางการแพทย์น่ะสิคะ」
「ดูไม่สมกับเป็นฟาร์มาเลยใช่ไหมล่ะ」
ก็จริงอยู่ว่าเทคโนโลยีนอกเหนือจากเรื่องการแพทย์และเภสัชกรรม ไม่ควรได้รับการพัฒนาอย่างเร่งรีบ แต่ก็เหมือนที่ลอตเต้ว่าไปถึงมันจะดูเหมือนไม่เกี่ยวกับการแพทย์แต่สุดท้าย ทุกการพัฒนามันก็จะส่งผลต่อเทคโนโลยีอื่นตามไปด้วย ดังนั้นเขาก็คงจำเป็นต้องพัฒนาทุกอย่างควบคู่กันไป ไม่ใช่แค่เรื่องของวิทยุสื่อสาร แต่ยังเป็นเรื่องที่สามารถนำศาสตร์แห่งเทพมาใช้แทนใยแก้วนำแสง ซึ่งจุดนี้จะทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องวางสายไฟ เขาจำเป็นต้องพิจารณาถึงการผสมผสานระหว่างศาสตร์แห่งเทพกับวิทยาศาสตร์เอาไว้ด้วย
「ดูเหมือนว่าเราจะต้องเริ่มวางพื้นฐานทางโครงสร้างไว้ให้เสร็จ และปล่อยให้การปรับปรุงเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นของคนอื่นแทนน่าจะเหมาะสมกว่า」
ฟาร์มาพยักหน้าให้กับตัวเองก่อนจะสวมหมวกและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับลอตเต้
ผมของลอตเต้ปลิวไสวไปตามลมของทะเลที่พัดมาอย่างแผ่วเบา บนข้อมือของเธอนั้นก็มีสร้อยข้อมือที่ฟาร์มามอบให้กับเธอในฐานะของขวัญวันเกิด มันสร้างขึ้นมาจากคริสทัลสีใสที่มีความสามารถในการปัดเป่าพวกวิญญาณร้ายและส่องแสงออกมายามค่ำคืนได้ด้วย
「ค่ำคืนนี้เราคงได้เห็นดวงดาวเยอะเลยนะคะ」
และในเวลา 21.00 น. ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี วิทยุสื่อสารจากเรือที่เดินทางได้ติดต่อผ่านวิทยุเจอร์เมเนียมมาทางฝั่งเพื่อยืนยันความปลอดภัยในการเดินเรือวันแรก
แม้ว่าตัวจะอยู่ไกลกันสักเพียงใด แต่ทุกคนก็สามารถเชื่อมต่อถึงกัน และยืนยันว่าพวกเขานั้นยังสบายดี
นี่คือเทคโนโลยีที่เดินทางข้ามมหาสมุทรไปพร้อมกับพวกเขา
——-
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟครับผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code