ตอนที่ 80 คำถามจากเอลิซาเบท
จักรพรรดินีดึงคทาที่สามารถใช้ได้เฉพาะผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพระดับสูงที่เรียกว่าคทาจักรพรรดิ และยืนรอฟาร์มาอยู่ใจกลางลานประลอง
“เราอยากจะประลองฝีมือกับเจ้ามานานแล้ว ถึงเจ้าจะคอยเอาแต่หนีตลอด แต่วันนี้เราจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปไหนแน่ เลิกหนีแล้วเข้ามาได้เลย!”
“ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทมีเรื่องจะคุยกับกระหม่อมหรือ พวกเรามาคุยกันก่อนดีกว่าไปไหมพ่ะย่ะค่ะ”
ฟาร์มาพยายามเบี่ยงประเด็น เขาพยายามหาหาทางหลีกเลี่ยงการต่อสู้อย่างถึงที่สุด แต่จักรพรรดินีก็ยักไหล่และพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรเสียหน่อย”
การพูดคุยกันด้วยภาษากายต้องมาก่อนสินะแบบนี้…
(แต่ถ้าฝ่าบาทบาดเจ็บขึ้นมา หัวของเราจะไม่กระเด็นไปด้วยหรือไงกันนะ?)
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่นี่ ก็ไม่มีพยานที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าฟาร์มาทำร้ายหรือลอบสังหารจักรพรรดินี
ถึงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ถ้าเกิดเรายั้งมือไม่ได้ ก็คงไม่พ้นต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการปลงพระชนม์จักรพรรดินีเป็นแน่
“ตอนนี้กระหม่อมไม่ได้พกคทามาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วของที่ห้อยตรงเอวเจ้านั้นมันมีไว้ประดับเฉยๆ หรือไง”
แม้เธอจะยิ้มออกมาแต่สายตาไม่ใช่แบบนั้นเลย ก่อนจะชี้ไปยังคทาแห่งเทพโอสถ แน่นอนว่าเธอรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติลับ
“สิ่งนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อการต่อสู้พ่ะย่ะค่ะ งั้นเอาแบบนี้แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”
เขาปลดคทาแห่งเทพโอสถลงกับพื้น ก่อนจะกระโดดขึ้นไปในอากาศก่อนจะค่อยๆ ร่อนลงมาบริเวณเวที
ที่ทำเช่นนี้ได้ก็เพราะบัตรประจำตัวของเขาซึ่งเป็นสมบัติลับที่เขาเก็บมันไว้ภายในกระเป๋าเสื้อเสมอนั่นเอง
เขาทดสอบการทำงานของมันอีกครั้งและผลที่ได้ก็คือเขาสามารถลอยตัวกลางอากาศได้เป็นปกติ
“จะบอกว่าแค่มือเปล่าก็เพียงพอสินะ งั้นมาเริ่มกันเลยไหม”
“โปรดอ่อนโยนกับกระหม่อมด้วย”
ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ขอแล้วให้กันได้ แต่การต่อสู้ระหว่างศาสตร์แห่งเทพก็เริ่มขึ้นแล้ว
“อารักษ์อัคคีเทพ”
เปลวไฟอันเจิดจรัสพวยพุ่งออกมาจากคทาของเธอก่อนจะเข้าไปห่อหุ้มร่างกายของเธอเอาไว้
นี่เป็นครั้งแรกที่ฟาร์มาได้เห็นทักษะนี้ แต่เขารู้เกี่ยวกับมัน “ถึงฉันจะใช้มันไม่ได้ แต่วิชาดังกล่าวจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกร้อนน้อยลงและหายใจสะดวกขึ้นค่ะ” ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุเดียวกันกับเธอได้บอกเขาไว้
ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุไฟนั้นจะทำการทำลายออกซิเจนในพื้นที่จนหมดซึ่งมันจะส่งผลเสียให้ผู้ใช้อาจเกิดภาวะขาดออกซิเจนได้
ดังนั้นวิชาดังกล่าวจะเป็นหมือนเกราะป้องกันวิชาอื่นๆ ที่จะตามมาของตนเองโดยการสร้างโดมออกซิเจนขึ้นมาภายใน และปกป้องตัวเองจากสิ่งรอบตัว
ข้อมูลทั้งหมดที่ว่ามานั้นเป็นเรื่องที่ฟาร์มาได้ฟังมาจากเมโลดี้
จากนั้นจักรพรรดินีก็เหวี่ยงคทาของเธอเป็นวงโคจร และร่ายมนตร์โจมตีบทแรกอย่างรวดเร็ว เธอหมุนปลายคทาของเธอขึ้นไปในอากาศ สายตาที่เฉียบคมของฟาร์มานั้นจับสัญญาณอันตรายที่เกิดจากประกายไฟบริเวณปลายคทาเอาไว้ได้
“เพลิงนรกแผดเผา”
หลังร่ายมนตร์ ป้องกันตัวเองเสร็จ มนต์ต่อมาก็ทำให้มวลออกซิเจนโดยรอบแปรเปลี่ยนไปและในวินาทีต่อมา ลานประลองหินที่เคยเป็นจุดที่ฟาร์มายืนอยู่ก็กลายเป็นทะเลเพลิง
(เธอทำการปล่อยออกซิเจนให้ควบแน่นอยู่ที่พื้น แล้วใช้เทคนิคแฟรชโอเวอร์ (กระบวนการสะสมความร้อน) สินะ!)
ไฟนรกซึ่งบรรจุอานุภาพศาสตร์แห่งเทพที่ทรงพลังปะทุออกมาอย่างรุนแรง เปลวไฟลุกท่วมราวกับจะกลืนกินเหยื่อให้ลงไปในทะเลลาวาเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา
แน่นอนว่าแม้แต่ฟาร์มาก็ใช่จะต้านทานสิ่งนี้ได้ เขารีบใช้บัตรประจำตัวของเขาทำให้ตัวเองลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะสร้างฐานยืนด้วยแผ่นน้ำแข็งเพื่อเลี่ยงการโจมตีนั้น
(ร้อนชะมัด…ทำกันได้นะฝ่าบาท แบบนี้เราก็ลงไปข้างล่างไม่ได้แล้วสิ)
ราวกับมันปกป้องผู้ร่ายเอาไว้อยู่ เปลวไฟพวกนี้จะดับลงเมื่อมันเข้าใกล้จักรพรรดินี ซึ่งเธอก็เหมือนจะรู้ลักษณะการทำงานของมันเป็นอย่างดีก่อนจะเตรียมตัวร่ายมนตร์บทถัดไป
ฟาร์มายกมือขวาขึ้น กำหนดระยะเริ่มโต้กลับ
(สร้างไนโตรเจนเหลว)
ควันสีขาวลอยขึ้นราวกับต้องการกลืนกินเปลวเพลิงข้างใต้
เปลวไฟที่ลุกลามไปรอบๆ ลานประลองนั้นได้ถูกดับลงด้วยไนโตรเจนเหลว แต่เปลวไฟที่จักรพรรดินีเป็นคนสร้างขึ้นมายังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหน
ขั้นตอนต่อไปเขาจึงใช้ความสามารถในการสลายเข้ามาช่วย
ต่อไป ฟาร์มาใช้ความสามารถในการลบ
(กำจัดไนโตรเจนในบริเวณของเป้าหมาย)
เพราะหากไม่ทำแบบนั้น จักรพรรดินีอาจจะเป็นลมได้จากภาวะออกซิเจนเป็นพิษ
จักรพรรดินีเงยหน้าขึ้นมองฟาร์มาที่กระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าและลอยอยู่ในอากาศเป็นเวลานานอย่างผิดธรรมชาติด้วยสีหน้าซาดิสม์
“แบบนี้นี่เองเจ้าบินได้อย่างงั้นสินะ”
ฟาร์มาสร้างแผ่นน้ำแข็งแบบหนาขึ้นเหนือลานประลอง เพื่อบดขยี้ความร้อนที่พื้น ความร้อนทั้งหมดได้จางหายไปก่อนที่เขาจะร่อนลงเหยียบแผ่นน้ำแข็งโดยไม่มีเสียงกระทบใดๆ ตามมา
“ไม่ใช่การบินพ่ะย่ะค่ะ มันเป็นเพียงแค่การกระโดด”
“พูดจากลับกลอกเสียจริงนะ!”
พอเธอส่งพลังไปให้กับตัวคทาแล้วถือมันไว้เป็นแนวนอน ลูกไฟกว่าหลายร้อยลูกก็ปรากฏขึ้นรอบๆ ตัวเธอ
ราวกับมันโผล่ออกมาจากอีกมิติหนึ่งและค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ก่อนจะเริ่มแผดเผาชั้นบรรยากาศโดยรอบ
ความร้อนจากเปลวเพลิงพวกนี้มันมากพอที่จะทำให้แก้วของเธอแดงก่ำ เส้นผมสีเงินของเธอค่อยๆ คลายออกมาจนดูยุ่งเหยิงจากความร้อน
“”เพลิงอนันต์””
จักรพรรดินีชูคทาขึ้นฟ้าก่อนจะชี้ตรงไปที่ฟาร์มา
ราวกับต้องการกำหนดพิกัดของเปลวไฟที่อยู่รอบๆ ตัวเธอ
“โจมตี!”
ฟาร์มาป้องกันลูกไฟพวกนั้นด้วยบาเรียน้ำแข็งที่สร้างขึ้นมากลางอากาศ
ลูกไฟที่ลุกไหม้นั้นกระทบกับบาเรียก่อนจะระเหยไป แต่ในขณะที่เขากำลังจัดการกับการโจมตีดังกล่าว การโจมตีระลอกใหม่อีกหลายแบบก็พุ่งเข้ามาหาเขา ไม่ว่าจะเป็นห่าธนูเพลิง ทอร์นาโดเพลิง เสาเพลิงที่ตกลงมาจากท้องฟ้าและอื่นๆ อีกมากมาย
ฟาร์มาไม่รู้เลยว่าขีดจำกัดและมนตร์ที่เธอใช้ได้นั้นมีมากเพียงใด อาจจะเรียกได้ว่านี่เป็นศาสตร์ที่มีเพียงจักรพรรดินีเท่านั้นที่ใช้ได้ นอกจากนี้พลังแห่งเทพของเธอก็ดูเหมือนจะไม่ลดน้อยลงเลย นี่มันเหมือนกับว่าเธอกำลังวางแผนจะปล่อยมนตร์บทใหญ่จึงได้ทำการออมพลังเอาไว้ก่อน
(ดูเหมือนเธอจะซ่อนบางอย่างเอาไว้อยู่)
ในตอนนั้นเอง ฟาร์มาก็เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเป็นเท่าตัว จักรพรรดินีผู้ซึ่งปล่อยกระบวนท่าต่างๆ ออกมาอย่างไม่ขาดสาย ในระหว่างนั้นเองมนตร์ที่เธอทำการร่างเป็นระยะเวลานานก็เสร็จสิ้นแล้ว
เสียงร่ายมนตร์อันทรงพลังกระทบหูของฟาร์มาเข้า
“ฟีนิกซ์ จุติ”
ราวกับเปลวไฟจากคทาของจักรพรรดินีกำลังคำรามออกมา เปลวเพลิงได้หมุนวนไปข้างหลังของเธอและก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้น
ดูเหมือนว่าจักรพรรดินีจะอัญเชิญนกฟีนิกซ์ยักษ์จากสรวงสวรรค์ออกมา
มนตร์ดังกล่าวสามารถกระตุ้นความกลัวของฟาร์มาได้
(เราไม่เคยเห็นศาสตร์แห่งเทพแบบนี้มาก่อนเลย…)
ฟาร์มายื่นมือออกไปเพื่อสร้างบาเรียน้ำแข็งด้วยมือซ้าย และสร้างหลุมสุญญากาศด้วยมือขวา
“แสดงร่างที่แท้ของเจ้าจริงออกมา!”
เปลวไฟสีขาวที่ดูเหมือนนกฟีนิกซ์ซึ่งสร้างมาจากศาสตร์แห่งเทพมีปฏิกิริยาขึ้น
มันพุ่งทะยาน เจิดจ้าราวกับแสงของสายฟ้า รูปร่างที่เหมือนกับนกฟีนิกซ์นั้นได้พุ่งเข้าโจมตีฟาร์มา
กำปั้นของเขาซึ่งเคลือบไว้ด้วยพลังแห่งเทพได้พุ่งทะยานเข้าปะทะกับนกฟีนิกซ์ก่อนที่บาเรียป้องกันของเขาจะถูกเปลวไฟนั้นทำลายออกจนเละเป็นชิ้นๆ
พลังระดับทวยเทพได้ปะทะกัน
มันส่งผลทำให้เกิดระเบิดขึ้นจนสั่นสะเทือนไปทั่วเวที
ก่อนที่ไม่นานจากนั้นจะเกิดกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ ที่ใครก็ไม่อาจคาดเดาหรือควบคุมได้ภายในอากาศ มันได้สร้างพายุและกลุ่มเมฆฝนที่แสนรุนแรงขึ้น
เมฆสีดำที่มีรูปร่างคล้ายกับมังกรที่ถูกทำนายไว้ในวันสิ้นโลกก่อตัวขึ้น
จักรพรรดินีไม่สะเทือนแม้แต่น้อยเมื่อเห็นศาสตร์แห่งเทพที่ทรงพลังเช่นนั้นด้วยตาของเธอเอง ตัวของเธอคือวีรสตรีอย่างแท้จริง
“นี่สินะ…พลังของพระผู้เป็นเจ้า….วิเศษมาก”
เอลิซาเบทมีความสุข
เอลิซาเบทพุ่งเข้าไปท้าทายด้วยพลังสูงสุดของเธออย่างไม่ลังเล ท้ายที่สุดพลังแห่งเทพของก็เธอหมดลงและพ่ายแพ้ในการประลองกับฟาร์มา ในด้านของพลังที่เทพที่ตนมี
ฟีนิกซ์สูญเสียรูปร่างและกลายเป็นเถ้าถ่านไป และคลื่นกระแทกจากฟาร์มาที่ปล่อยออกมาจากการสวนกลับส่งไปยังผู้ร่ายโดยตรง ร่างของเอลิซาเบทลอยขึ้นไปในอากาศและร่วงลงมากระแทกเข้ากับเวทีหิน
มนตร์ที่ถูกสลักไว้โดยรอบได้รับผลกระทบจากการที่จักรพรรดินีสาวล้มลงไป กำแพงของมันไม่สามารถดูดซับพลังของฟาร์มาได้อีกต่อไปแล้ว
“อึก!”
“ฝ่าบาท!”
ฟาร์มาที่รู้สึกตัวหลังปล่อยศาสตร์แห่งเทพออกไปก็เข้าไปหาเอลิซาเบทที่ล้มลง
ในการเผชิญหน้ากับนกฟีนิกซ์ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ฟาร์มาจำเป็นต้องปลดผนึกที่แขนทั้งสองข้างของเขาออก เพราะคำสาปอันทรงพลังที่จะเผาไหม้เป้าหมายของฟินิกส์นั้นรุนแรงมากเหลือเกิน จนท้ายที่สุดด้วยตราสัญลักษณ์ของเทพโอสถคำสาปดังกล่าวนั้นก็ได้เลือนหายไป
เอลิซาเบทซึ่งกำลังจ้องมองอย่างเหม่อลอยอยู่นั้นได้ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“ฮ่าๆๆ ….นี่ขนาดว่าเจ้าผนึกพลังตัวเองไว้ด้วยมนตร์นะเนี่ย…”
“อย่าขยับตัวสิพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนฝ่าบาทจะมีเลือดออกตามอวัยวะด้วย”
เมื่อฟาร์มาวางมือของตัวเองบนมือของจักรพรรดินี พลังแห่งเทพที่เอ่อล้นออกมาจากตราสัญลักษณ์ของเทพโอสถก็ได้เข้าปกคลุมร่างกายของเธออย่างอ่อนโยนและซึมซาบเข้าไป ก่อนที่มันจะรักษาบาดแผลของเธอในเวลาไม่นาน
พลังแห่งเทพที่ถูกบังคับให้เข้ามาสะสมในร่างกายของเขาโดยการไปกลับระหว่างห้องปฏิบัติการต่างโลกได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับความสามารถของเขาอย่างก้าวกระโดด เมื่อการรักษาเสร็จสิ้น จักรพรรดินีก็นั่งก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ฝ่าบาทยังเจ็บตรงไหนหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว สมกับที่เป็นเทคนิคการรักษาระดับเทพเลยนะ ไม่ไหวจริงๆ ด้วยพอต้องมาเจอกับเจ้าแบบนี้ ชักรู้สึกกระหายน้ำแล้วสิ”
ว่าแล้วจักรพรรดินีจับมือซ้ายของฟาร์มาเข้ามาใกล้ปากของเธอก่อนจะอ้าปาก
“ฝ่าบาท นี่พระองค์จะ…”
“ก็เหมือนที่บอก เรากระหายน้ำ”
(นี่กะจะใช้มือของเราเป็นก๊อกน้ำเลยเหรอ)
พอได้ยินแบบนั้นฟาร์มาก็ทำการเสิร์ฟน้ำเย็นได้เธอได้ดื่ม จากนั้นจักรพรรดินีก็ยิ่มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะดื่มน้ำโดยไม่ปริปากบ่นใดๆ ต่อ
หลังจากที่ดื่มน้ำจนชุ่มคอแล้ว เธอก็หันไปคุยกับฟาร์มา
“เอาล่ะ เรามาเริ่มกันที่เรื่องหลักเลยแล้วกัน ฟาร์มาจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟของเราต้องการจะตั้งตนเป็นอิสระจากอิทธิพลของนครศักดิ์สิทธิ์”
“เอ๊ะ……”
ฟาร์มาพูดไม่ออกในขณะที่เขารู้สึกงุนงงกับคำพูดของจักรพรรดินี ที่เหมือนจะเป็นการบอกลากับศาสนจักร
“เราไม่สามารถทนต่อการกดขี่ของศาสนจักรได้อีกต่อไปแล้ว เพราะพวกมันได้บิดเบือนคำสอนของศาสนาที่ควรจะเป็นไปหมดแล้ว”
ฟาร์มาพอจะทราบว่าทางจักรพรรดินีเองก็รู้ถึงความเคลื่อนไหวของทางศาสนจักรและการที่ฟาร์มาถูกลอบโจมตี
“ดูเหมือนพวกมันกำลังจะวางแผนจับเอาเทพผู้พิทักษ์ไปผนึกไว้ที่มหาวิหารเพื่อขโมยพลังแห่งเทพจนหยดสุดท้ายด้วยนี่นะ….แถมยังมีเรื่องนั้นอีก”
การโจมตีที่เธอว่านั้นมันนับรวมไปถึงกรณีของจูเลียน่าด้วย ฟาร์มาที่ไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยากไปมากกว่านี้จึงพยายามพูดอธิบาย
“กระหม่อมไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนั้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ สถานการณ์ตอนนี้ก็สงบลงแล้วด้วย”
ฟาร์มาไม่อยากให้มันบานปลายกว่านี้เพราะถ้าจักรวรรดิและนครศักดิ์สิทธิ์ทำสงครามกัน จะมีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ฟาร์มาไม่สามารถยอมรับได้หากจักรวรรดิที่แสนสงบสุขนี้จะต้องเข้ามาสู่วังวนแห่งสงครามเพราะตัวเขา
“หากฝ่าบาทเป็นศัตรูกับทางศาสนจักร พระองค์ก็จะไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่แค่นั้นผู้คนทั้งจักรวรรดิก็ด้วย แบบนี้มันจะไม่เกิดผลเสียต่อคนทั้งชาติมากกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“นั่นมันก็จริงนะ แต่จักรวรรดิของเราก็คิดจะสร้างศาสนาใหม่ขึ้นมาด้วยสิ เจ้าคิดว่าแบบนั้นจะเหมาะไหม”
ฟาร์มาขมวดคิ้วกับกระแสที่ดำเนินไปอย่างคาดไม่ถึง พอมีเรื่องศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องเขาก็จำเป็นต้องคิดให้มาก
(นี่เธอกำลังจะบอกว่าต้องการแยกนิกายออกมาจากทางศาสนจักรงั้นเหรอ? ทำไมเรารู้สึกว่าเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนนะ)
เรื่องที่เธอพูดมันเหมือนกับกรณีนิกายโปรเตสแตนต์ของโลกเขาเลย
“คำสอนใหม่ที่เคารพเทพผู้พิทักษ์และอยู่ร่วมกับเทพผู้พิทักษ์ ชีพจรแห่งเทพนั้นเราจะให้ซาโลม่อนและจูเลียนาเป็นคนดูแลทั้งสองเป็นผู้ที่นับถือเทพผู้พิทักษ์มากกว่าพวกในมหาวิหาร เรื่องความสามารถไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจก็สอบผ่าน ด้วยวิธีการนี้เราก็จะสามารถควบคุมการเปิดปิดชีพจรแห่งเทพที่เคยเป็นของศาสนจักรมาโดยตลอดได้ “
ฟาร์มายอมรับว่าการตัดสินใจเช่นนี้ก็สมกับเป็นจักรพรรดินี และเขายังเดาอีกว่าซาโลม่อนและคนอื่นๆ คงจะรวมหัวกันคุยเรื่องนี้มานานแล้ว
“แต่หากทำเช่นนั้น ฝ่าบาทก็จะตกอยู่ในอันตราย”
เพราะทางศาสนจักรนั้นเป็นผู้ที่เฟ้นหาและแต่งตั้งผู้มีความสามารถที่สุดในโลกนี้ก่อนจะแต่งตั้งให้คนผู้นั้นเป็นจักรพรรดิได้
และหากทางจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟได้ทรยศต่อศาสนจักร ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เอลิซาเบทจะสูญเสียทั้งอำนาจและสถานะในฐานะจักรพรรดิ ท้ายที่สุดจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟก็จะถึงจุดจบ
หากสถานการณ์ภายในประเทศมีความไม่มั่นคงสูงอีกก็คงจะเกิดการรัฐประหารขึ้น เมืองหลวงอันแสนสงบสุขนี้ก็จะลุกเป็นไฟ
“หลังจากพิจารณาความเป็นไปได้ทั้งหมดแล้ว เจ้าคิดอย่างไร”
“ฝ่าบาทต้องการความเห็นของกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฟาร์มาถามก่อนจะยิ้มออกมา
“แน่นอนสิ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เพราะเจ้า ศาสนาใหม่ที่เราจะสร้างขึ้น เราจะบูชาเหล่าเทพผู้พิทักษ์ พลังแห่งเทพอันยิ่งใหญ่นั้นคือพรจากเทพผู้พิทักษ์ ศาสตร์แห่งเทพที่มีไว้เพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้คน เราอยากจะได้ความเห็นที่ตรงไปตรงมาของเจ้า บอกเราทีสิว่าเจ้าคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้”
จักรพรรดินีส่งรอยยิ้มที่งดงามคืนไปให้กับฟาร์มา
“กระหม่อมยอมรับไม่ได้เด็ดขาด ถึงจะเข้าใจความรู้สึกของฝ่าบาทก็เถอะ”
“ไม่ไหวๆ ถึงเจ้าจะไม่ใช่เทพผู้พิทักษ์อย่างที่ซาโลม่อนพูดก็เถอะ เอาเป็นว่าเราก็ไม่ได้จะให้เจ้าไปปรากฏตัวในที่สาธารณะในฐานะอวตารของเทพผู้พิทักษ์เสียหน่อย เจ้ายังสามารถปกปิดตัวตนและปกครองโลกใบนี้ใต้เงามืดก็ได้ ยังไงศาสนาที่เราจะสร้างขึ้นหลักๆ ก็คือมีเทพผู้พิทักษ์เป็นผู้นำเท่านั้นแหละ”
“ขอกระหม่อมเป็นเพียงแพทย์โอสถธรรมดาไม่ได้หรือ”
ฟาร์มารู้สึกหมดหนทางและไม่รู้จะถ่ายทอดความรู้สึกของเขาออกไปยังไงดี
“ในฐานะคนๆ หนึ่ง กระหม่อมก็อยากจะช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด แต่การจะให้ขอให้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น กระหม่อมเกรงว่าคงไม่อาจตอบสนองกับคำขอนั้นได้…กระหม่อมยังคงเป็นเพียงมนุษย์ดังนั้น…”
ฟาร์มานั้นอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งจากก้นบึ้งของหัวใจ ดังนั้นเขาคงจะไม่สามารถยอมรับความรู้สึกที่ต้องมาเป็นที่บูชาของมวลมนุษย์ได้
ยิ่งไปกว่านั้น แค่ตอนนี้ที่ตัวเองต้องกลายเป็นตัวแทนวัตถุบูชาของเทพโอสถเฉยๆ ก็เกินมือไปเยอะแล้ว
ในทางกลับกัน ก็เข้าใจได้ว่าจักรพรรดินีกำลังพยายามสร้างศาสนาใหม่เพื่อรับประกันความปลอดภัยของฟาร์มา ปกป้องศักดิ์ศรีและเสรีภาพของเทพผู้พิทักษ์และเทพผู้พิทักษ์ในอนาคต จักรพรรดินีเป็นพันธมิตรของฟาร์มาอย่างแท้จริง นั่นคือสิ่งที่เขาจำได้ขึ้นใจ
“ขอบพระทัยสำหรับความกรุณา แต่กระหม่อมตั้งใจว่าจะไปปรับความเข้าใจกับทางนครศักดิ์สิทธิ์ในเร็ววันนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เขาไม่รู้ว่าความคิดที่แสนซับซ้อนของตนจะถ่ายทอดไปถึงจักรพรรดินีหรือไม่
ท้ายที่สุดจักรพรรดินีก็ขอโทษเขาและระงับข้อเสนอเรื่องนี้เอาไว้ก่อนจะกล่าวว่า “เราต้องขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องรู้สึกแย่กับสิ่งที่ไม่อยากทำ”
อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือกับทางศาสนจักร เพราะความจริงที่ว่าการใช้ศาสตร์แห่งเทพ วิธีการฝึกฝน และ การศึกษาของเหล่านักบวชนั้นควรแก้ไขให้เหมาะสม น่าเชื่อถือได้มากกว่านี้
———
Note 1 : ให้ตัวเองหายค้าง
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code