ตอนที่ 155 พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้สาม
สายที่โทรมาหาลู่เฉิน คือหลี่มู่ไป๋
น้ำเสียงของหลี่มู่ไป๋มีความตื่นเต้นเล็กน้อย “พี่เฉิน พี่ใหญ่ของผมต้องการพบพี่!”
พี่ใหญ่ของหลี่มู่ไป๋
ลู่เฉินตกตะลึง แต่ในไม่ช้าเขาก็ได้สติกลับมา พี่ใหญ่ของหลี่มู่ไป๋น่าจะช่วยเหลือตัวเองได้ สองสามวันก่อนเนื่องจากมีเรื่องที่สำคัญมาก ลู่เฉินจึงลองขอความช่วยเหลือจากหลี่มู่ไป๋ และดูว่าคนหลังจะช่วยติดต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องได้หรือไม่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาอยากจะเอาหัวหมูไปไหว้เจ้าแต่หาประตูวัดไม่เจอ
ในประเทศจีนคือสังคมของเส้นสายสัมพันธ์ ถ้าอยากจะสร้างธุรกิจสักอย่าง เส้นสายมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
หลี่มู่ไป๋มีฐานะครอบครัวที่ไม่ธรรมดา บวกกับนิสัยที่ใจกว้างเปิดเผยตรงไปตรงมา จึงรู้จักเพื่อนที่อยู่ในปักกิ่งหลายคนแน่นอน การขอความช่วยเหลือจากเขายังดีกว่าตัวเองนั่งรออยู่ในสตูดิโอเฉยๆ
ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ แค่ได้ลองก็โอเคแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่เฉินคิดไม่ถึงก็คือ หลี่มู่ไป๋สามารถเชิญพี่ใหญ่ของเขามาได้
พี่ใหญ่ของหลี่มู่ไป๋เป็นใคร ลู่เฉินไม่รู้เลยสักนิด แต่ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว เรื่องน่าจะมีเค้าโครงบ้างแล้ว จะว่าไปก็แปลก ลู่เฉินกับหลี่มู่ไป๋ไม่เคยเจอหน้ากันในชีวิตจริงเลยสักครั้ง ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเดิมทีเริ่มมาจากผู้ดำเนินรายการกับแฟนคลับ และดูเหมือนจะกลายเป็นเพื่อนกันไปแล้วจริงๆ
ถ้าหากไม่ใช่เพราะระดับความสัมพันธ์นี้ ลู่เฉินก็ไม่คงขอความช่วยเหลือจากหลี่มู่ไป๋
ก็เหมือนกับความคิดของเฉินเจี้ยนหาวที่มีต่อลู่เฉิน…ความหยิ่งผยองของเขามันฝังอยู่ในสายเลือด
ลู่เฉินรีบถามว่า “จะเจอเมื่อไร เจอที่ไหน เดี๋ยวฉันไปหาเอง”
หลี่มู่ไป๋ถาม “ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน”
ลู่เฉินตอบว่า “ฉันอยู่ที่โรงแรมปักกิ่งข้างศูนย์ความคิดสร้างสรรค์หลันเทียน เย็นนี้ฉันเลี้ยงข้าวคนที่สตูดิโอเนี่ยผาน อัลบั้มของฉันทำเสร็จแล้ว คาดว่าอีกสองวันจะสามารถวางจำหน่ายบนเฟยซวิ่นเรคคอร์ดได้”
“อัลบั้มทำเสร็จแล้ว”
หลี่มู่ไป๋ตื่นเต้นดีใจ “ดีจริงๆ ถึงตอนนั้นฉันจะใช้ทุกคนช่วยกันสนับสนุน ยังไงก็ต้องให้นายติดชาร์ตขายยอดนิยมให้ได้ แค่ดาวน์โหลดในเว็บไซต์จะสนุกอะไร ออกอัลบั้มของจริงถึงจะมีระดับสูงกว่า!”
‘ระดับสูง’ ลู่เฉินเป็นคนสอนคำนี้ให้เขา ซึ่งเรียนมาจากโลกของความฝัน และคำตรงข้ามคือ ‘ระดับต่ำ’
หลี่มู่ไป๋เรียนแล้วก็นำมาใช้ จนพูดติดปาก และมักจะเขียนคำนี้ในคอมเมนต์สดของห้องถ่ายทดสดบ่อยๆ
จากคำพูดของเขา หลี่ไป๋ก็คือชายหนุ่มที่มีระดับสูงคนหนึ่ง
ส่วนศัตรูของเขาก็คืออาลซัส ซึ่งเป็นคนที่มีระดับต่ำพอดี!
ลู่เฉินหัวเราะพูดว่า “ฉันขอให้นายช่วยก็เพื่อออกแผ่นเสียง ส่วนรายละเอียดค่อนข้างซับซ้อน เจอหน้ากันแล้วค่อยพูดดีกว่า”
เขาอยากใช้โอกาสนี้ อยากเจอหน้าผู้สนับสนุนหลักของตัวเองเช่นกัน
“ได้!”
หลี่มู่ไป๋กล่าวว่า “เย็นนี้หนึ่งทุ่มครึ่ง พี่มาที่เขตเสี่ยวผิงอันวงแหวนรอบสอง ถึงแล้วก็โทรหาผม”
แน่นอนว่าลู่เฉินไม่คัดค้านอยู่แล้ว
เขาดีใจมาก เรื่องนี้เตรียมงานมานานมาก ในที่สุดก็มีหวังที่จะประสบความสำเร็จแล้ว!
พอกลับเข้ามาในห้องอาหารวีไอพี ลู่เฉินก็ขอโทษหวังฉางเซิงและคนอื่นๆ แล้วให้ลู่ซีอยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนทุกคนต่อไป
เขากลับไปที่สตูดิโอของตัวเองก่อน
ภายในห้องพักผ่อนของสตูดิโอลู่เฉินมีการติดตั้งห้องอาบน้ำ เขาอาบน้ำอย่างลวกๆ เพื่อล้างกลิ่นเหล้าทั้งตัว จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นชุดสะอาดสะอ้านแล้วออกไป
เนื่องจากดื่มเหล้าไปในตอนเย็น ดังนั้นลู่เฉินจึงไม่ได้ขับรถด้วยตัวเอง เขาเรียกรถแท็กซี่ข้างทางรีบมุ่งหน้าไปที่เขตผิงอัน
คนขับรถแท็กซี่เป็นคนท้องถิ่น คนที่ขึ้นรถแท็กซี่ในเมืองหลวงบ่อยๆ ต่างก็รู้ดี ว่าคุณสมบัติใหญ่ที่สุดของคนขับแท็กซี่ท้องถิ่นก็คือพูดจ้อ พูดตั้งแต่เรื่องบนท้องฟ้าไปจนถึงเรื่องบนดิน วัดวาอารามไปจนถึงแม่น้ำที่อยู่ไกลๆ พูดได้ทุกเรื่อง
คนขับแท็กซี่คนนี้ก็เช่นกัน พอได้ยินว่าลู่เฉินบอกว่าจะไปเขตผิงอันวงแหวนรอบสอง ก็รีบพูดทันที พูดน้ำลายกระเด็นพูดเป็นต่อยหอย
ชุมชนผิงอันเป็นชุมชนระดับไฮเอนด์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในปักกิ่ง มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบมาก สิ่งปลูกสร้างเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ที่อยู่ในนั้นส่วนใหญ่เป็นคฤหาสน์ และคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่เพียงแค่รวยเท่านั้นแต่ยังมีฐานะสูงศักดิ์ ตอนที่มีการเปิดซื้อขายชุมชนผิงอันเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็สร้างสถิติใหม่สำหรับราคาบ้านทั่วประเทศในตอนนั้น จนกระทั่งตอนนี้ก็เพิ่มราคาอย่างน้อยสิบเท่า และคฤหาสน์หลังใหญ่หนึ่งหลังก็มีมูลค่าอย่างน้อยหนึ่งร้อยล้านหยวน
พูดถึงราคาบ้านในเมืองหลวง คนขับแท็กซี่มือฉมังก็ถอนหายใจ เขาบอกว่าตัวเองไม่ชอบราคาบ้านห้าพันหยวนต่อหนึ่งตารางเมตรเพราะเสียดายมันแพงเกินไป เป็นผลทำให้ตำแหน่งที่เหมือนกันในตอนนี้ไม่สามารถซื้อได้ในราคาห้าหมื่นหยวน เขาจึงเสียใจสุดๆ
ลู่เฉินฟังเขาพูดมาตลอดทาง เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
โชคดีมากที่รถแท็กซี่ไม่เจอรถติดบนท้องถนน ลู่เฉินจึงมาถึงชุมชนผิงอันในเวลาหนึ่งทุ่ม
หลังจากจ่ายค่ารถแล้ว เขาจึงลงจากรถแล้วโทรหาหลี่มู่ไป๋
ในฐานะที่เป็นชุมชนหรูหรา ยามรักษาการณ์ในชุมชนผิงอันจึงมีความเข้มงวดมาก หากไม่มีบัตรผ่านลู่เฉินก็เข้าไปข้างในไม่ได้
ไม่ช้าหลี่มู่ไป๋ก็เดินออกมา
นี่คือลู่เฉินพบตัวจริงของเขาเป็นครั้งแรก!
อายุของหลี่มู่ไป๋น้อยกว่าลู่เฉินหนึ่งปี สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
เขาตัดผมสั้น หน้าตาไม่ถือว่าหล่อมาก แต่อย่างน้อยก็มีโครงหน้าดูดีสมส่วน นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยพลังของความมีชีวิตชีวาของคนหนุ่มสาว แต่งตัวสไตล์ฮิปฮอปดูสะดุดตามาก
“พี่เฉิน!” เมื่อเห็นลู่เฉิน หลี่มู่ไป๋ก็หัวเราะฮ่าๆ วิ่งเข้ามา อ้าแขนทั้งสองข้างกอดลู่เฉินอย่างแน่น
ลู่เฉินใช้แรงตีหลังของเขาเบาๆ แล้วยิ้มพูดว่า “หลี่ไป๋!”
ถึงแม้จะเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก แต่ทั้งสองคนคุยกันผ่านออนไลน์หลายครั้งแล้ว จึงมีความคุ้นเคยซึ่งกันและกัน
เพราะฉะนั้นความรู้สึกจึงเหมือนกับได้พบเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานอีกครั้ง เป็นความรู้สึกยินดีและตื่นเต้นที่ออกมาจากหัวใจ!
ไม่มีความรู้สึกแปลกหน้าและเหินห่าง
หลี่มู่ไป๋ปล่อยมือแล้วเอ่ยว่า “ไป เข้าไปที่บ้านของผม พี่ชายของผมกับพี่สะใภ้สามก็อยู่ด้วย”
ลู่เฉินถามอย่างสงสัย “เรื่องนี้ต้องรบกวนพี่ใหญ่ของนายเหรอ”
ทั้งสองคนเดินไปพูดไป หลี่มู่ไป๋อธิบายว่า “เรื่องนี้ สำหรับพี่ใหญ่ของผมแล้วเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก”
“แต่พี่ใหญ่ของผมไม่เคยสนใจเรื่องของผมเลย ดังนั้นผมจึงไปขอความช่วยเหลือจากพี่สะใภ้สาม พี่สะใภ้สามชอบเพลงของพี่มาก บอกว่าพี่มีความสามารถ และพี่ใหญ่ของผมก็รักพี่สะใภ้สามมากที่สุด แบบนี้เรียกว่าการช่วยชาติทางอ้อม!”
ใบหน้าของเขาเผยความภาคภูมิใจออกมา ทำสีหน้าเหมือน ‘ฉันฉลาดมากนายต้องชมฉันหน่อย’
เดี๋ยวนะ!
“เอ่อ…” ลู่เฉินฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ…พี่ชายของหลี่มู่ไป๋ไม่สนใจเขา เขาจึงไปขอร้องพี่สะใภ้สาม พี่ชายรักพี่สะใภ้สาม…
แวดวงของเขา ดูเหมือนจะวุ่นวายนิดหน่อย!
ดูเหมือนจะสังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆ ของลู่เฉิน หลี่มู่ไป๋จึงหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “พี่อย่าคิดบิดเบือนไป ผมมีพี่ชายแค่คนเดียว แต่พี่สะใภ้มีสามคน เขาใช้สัญชาติไต้หวันมานานแล้ว พี่สะใภ้สามเป็นคนไทเปประเทศไต้หวัน”
คนไต้หวัน!
ลู่เฉินเข้าใจแล้ว
ไต้หวันกลับสู่อ้อมกอดมาตุภูมิพร้อมกับฮ่องกงในปี 1967 รวมทั้งการกลับมาของมาเก๊าในปี 1969 และเขตบริหารพิเศษทั้งสามแห่งก็ใช้นโยบายหนึ่งประเทศสองระบบเหมือนกัน
ระบบการเมืองไม่เหมือนกัน กฎหมายของเขตบริหารพิเศษจึงแตกต่างกับประเทศจีนเป็นอย่างมาก ซึ่งกฎหมายที่มีลักษณะพิเศษที่สุดก็คือกฎหมายการสมรส กฎหมายการสมรสของเขตบริหารพิเศษอนุญาตให้หนึ่งสามีมีภรรยาได้หลายคน
ตัวอย่างเช่นเหอเหลียงเหว่ยราชาพนันที่มีชื่อเสียงในมาเก๊า เขาเป็นเจ้าของโรงแรมอ้าวจิงระดับเจ็ดดาวและคาสิโนหรูอีกสามแห่ง ขอบเขตการบริหารธุรกิจของบริษัทเกี่ยวข้องกับการพนัน อสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง ความบันเทิงและอุตสาหกรรมอื่นๆ เป็นต้น และมีทรัพย์สินเกินห้าหมื่นล้าน
เรื่องที่คนกล่าวถึงเหอเหลียงเหว่ยมากที่สุดไม่ใช่เรื่องที่เขามีเงินมากเท่าไร แต่เป็นเรื่องที่เขามีภรรยาถึงเจ็ดคน นอกจากภรรยาที่แต่งงานถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ก็ยังมีภรรยาอีกหกคนโดยแบ่งเป็นมิสเมาเก๊าสี่คนและมิสฮ่องกงอีกสองคน ซึ่งถือว่าเป็นผู้ชนะในชีวิตอย่างแท้จริง
เนื่องด้วยกฎหมายการสมรสที่แตกต่างกัน ดังนั้นเศรษฐีหลายคนในประเทศจีนจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อย้ายไปอยู่เขตบริหารพิเศษสามแห่งนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการแต่งงานมีภรรยาอีกสองสามคน ขณะที่จะมีแค่คู่สมรสเดียวแล้วก็ยังดื่มด่ำไปกับภรรยาอีกหลายคนมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองเพื่อบรรพบุรุษ
แต่หลังจากเข้าสู่ศตวรรษใหม่ ขบวนการเรียกร้องสิทธิสตรีได้เพิ่มสูงขึ้น เสียงเรียกร้องให้เขตบริหารพิเศษทั้งสามแห่งยกเลิกระบบการแต่งงานที่ไม่เป็นธรรมแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นทั้งไต้หวันและฮ่องกงจึงวางแผนแก้ไขกฎหมายการสมรส และยกเลิกระบบการมีภรรยาหลายคน
ได้ยินว่ามีแรงต้านทานมาก ขณะที่พูด ทั้งสองคนก็เดินมาถึงหน้าคฤหาสน์ใหญ่หลังหนึ่งในชุมชมผิงอันแล้ว
ชุมชนผิงอันมีพื้นที่ใหญ่มาก มีทะเลสาบที่ขุดขึ้นอยู่ใจกลางชุมชน คฤหาสน์แต่ละหลังสร้างล้อมรอบทะเลสาบ เพิ่มพื้นที่สีเขียวสลับปนเปกันไปเพื่อรับประกันความเป็นส่วนตัว
คฤหาสน์หลังนี้ของหลี่มู่ไป๋สูงสามชั้น มีพื้นที่หกเจ็ดร้อยตารางเมตรเป็นอย่างน้อย ด้านหน้าประตูยังมีสวนหย่อมเล็กๆ
ท้องฟ้ามืดแล้ว ไฟริมทางที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สีเขียวเปล่งแสงนวลตาออกมา แสงไฟสม่ำเสมอส่องให้เห็นทางเดินเล็กๆ ของหินไข่ห่านทอดยาวผ่านไปยังประตูใหญ่ ล้อมรอบด้วยทิวทัศน์ที่เงียบสงบไปทั่ว
หลี่มู่ไป๋เดินไปข้างหน้าและเปิดประตูใหญ่ ห้องโถงใหญ่เหลืองอร่ามงามตาที่อยู่ภายในก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที เขาเห็นดวงไฟคริสตัลขนาดใหญ่ที่ห้อยลงมาจากโดมส่องแสงเป็นประกายนับพัน สีเหลืองอร่ามราวกับพระราชวัง
หลี่มู่ไป๋ทำท่าผายมือเชิญลู่เฉินแล้วเอ่ยว่า “พี่เฉิน ยินดีต้อนรับที่มาเป็นแขกในบ้านของผมครับ!”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยว่า “ขอบใจนะ”
บ้านของหลี่มู่ไป๋โอ่อ่าหรูหราน่าตกใจมาก แต่ก็ไม่ทำให้ลู่เฉินเสียอาการ
ตอนที่บ้านของเขายังไม่ตกต่ำ สถานที่พักอาศัยของครอบครัวก็อยู่ในคฤหาสน์ของชุมชนที่ดีที่สุดในเมืองปินไห่เช่นกัน ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับราคาบ้านหลายร้อยล้านที่อยู่ตรงหน้า แต่เขาก็เคยรวยมาก่อน
ลู่เฉินเดินเข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติ ภายในห้องรับแขกว่างโล่ง ไม่มีใครสักคน
หลี่มู่ไป๋กล่าวว่า “พี่ใหญ่อยู่ในห้องน้ำชาชั้นสองกำลังฟังพี่สะใภ้ดีดพิณครับ ผมจะพาพี่ขึ้นไป” ภายใต้การนำทางของเขา ลู่เฉินจึงมาถึงห้องหรูหราที่อยู่ชั้นสองของคฤหาสน์
ถึงจะบอกว่าเป็นห้องน้ำชา แต่แท้จริงแล้วเหมือนห้องหนังสือขนาดใหญ่มากกว่า การตกแต่งเป็นสไตล์จีนโบราณทั้งหมด มีตัวอักษรและภาพวาดของคนดังมากมายแขวนอยู่บนผนัง และกลิ่นหอมจางๆ ของน้ำชาอบอวลอยู่ในอากาศ
เขาเห็นเพียงชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมยาวชิ้นเดียวสีขาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แดง กำลังฟังผู้หญิงในชุดกี่เพ้าคนหนึ่งดีดกู่ฉิน
เมื่อเห็นหลี่มู่ไป๋กับลู่เฉินเดินเข้ามา ชายหนุ่มเสื้อคลุมยาวชิ้นเดียวสีขาวจึงชูนิ้วชี้ขวาขึ้นมา ทำท่าให้เงียบๆ
ผู้หญิงร่างเล็กอรชรคนนั้นกำลังดีดกู่ฉินอย่างตั้งใจมาก เสียงกู่ฉินดังเข้ามาในหูราวเสียงสวรรค์ ที่แท้ก็เป็นเพลงเซียวเซียงสุ่ยอวิ๋น (เมฆเอื่อยเหนือกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก) ที่แผ่วโหยบางครั้งก็กระชั้นถี่รื่นหูดี หากฟังอย่างละเอียด จะทำให้คนรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางหมอกคลื่นกว้างไพศาลที่ปกคลุมทะเลสาบทอดยาวออกไปไร้ที่สิ้นสุดโดยไม่รู้
หลี่มู่ไป๋กับลู่เฉินยืนนิ่งไม่ขยับ จนกระทั่งอีกฝ่ายเล่นเพลงโบราณเพลงนี้จบ
และลู่เฉินก็ประหลาดใจที่พบว่า เขารู้จักอาจารย์กู่ฉินคนนี้ ซึ่งก็คือพี่สะใภ้สามของหลี่มู่ไป๋!
…………………………………………………………………………
ไอคอนเหรียญทอง