ร้านคาราโอเกะมงกุฎทองคำ ห้องหมายเลข158
เพลงเพิ่งปิดลง ลู่เฉินมองเฉินเฟยเอ๋อร์ที่ซบอยู่กับบ่าของเขา
ราชินีเพลงรักเธอเอียงศีรษะ ผมดำเป็นมันทิ้งตัวสยายอยู่บนโซฟาด้านหลัง ตาปรือ หน้าเรียวแก้มแดงเรื่อ
ลู่เฉินได้กลิ่นแอลกอลฮอล์มาจากลมหายใจของเธอเบาๆ
เฉินเฟยเอ๋อร์ดื่มจนเมาแล้ว
ลู่เฉินมาที่ร้านคาราโอเกะบนชั้นสูงสุดของห้างสรรพสินค้าด้วยความดึงดันของเธอ ทั้งสองสั่งเบียร์ยี่ห้อจินเวยครึ่งลัง และที่ขาดไม่ได้คือขนมและกับแกล้ม
พูดคุย ดื่มเบียร์ ร้องเพลง เล่นทอยลูกเต๋า…เฉินเฟยเอ๋อร์เล่นอย่างสนุกสนาน
ลู่เฉินก็เหมือนกัน
นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้ ไม่ต้องคิดอะไร ทำตามอารมณ์ของตัวเอง
และคนที่อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเขา ยังเป็นถึงราชินีนักร้องเพลงรักตัวจริงเสียงจริง!
เบียร์ขวดเล็กขนาด 330 ml. จำนวนสิบสองขวด เฉินเฟยเอ๋อร์ดื่มไปห้าขวด ถ้าไม่ได้ลู่เฉินคอยห้ามไว้ คงดื่มมากกว่านี้
ผลลัพธ์คือตอนนี้ฤทธิ์เหล้ากำเริบ เธอเอนพิงลู่เฉินหลับไป
สิ่งที่ลู่เฉินพูดไม่ออกคือ ราชินีเพลงรักสาวสวยเชื่อใจเขามากเกินไปหรือเปล่า?
ถ้าหากเขาอยากทำเรื่องเสียหายละก็…
ลู่เฉินทอดสายตามใบหน้าเรียวเล็กของเฉินเฟยเอ๋อร์ บังเกิดความคิดชั่ววูบขึ้น
“พี่เฟย พี่เฟย?”
เขาเรียกเบาๆ สองครั้ง ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างที่คิดไว้
มุมปากของลู่เฉินหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย ยื่นมือเข้าหาเฉินเฟยเอ๋อร์ด้วยความประสงค์ร้าย
หยิกลงบนแก้มของเธอเบาๆ ทีหนึ่ง
“สาวน้อย วันนี้เธอตกอยู่ในกำมือของพี่ชายแล้ว ถึงเธอจะร้องให้คอแทบแตกก็ไม่มีประโยชน์”
“ยิ้มให้พี่ชายทีสิ!”
ลู่เฉินหัวเราะหึหึ แล้วชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
แค่นี้ก็พอใจมากแล้ว
เขาอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้สักใบ จากนั้นขึ้นชื่อรูปว่า ‘เศรษฐีหนุ่มมอมเหล้าเฉินเฟยเอ๋อร์ในร้านคาราโอเกะ น่าสงสารราชินีเพลงรักแห่งยุคเสียความบริสทธิ์แล้ว’ นำไปโพสต์ในบล็อก
แค่คิดก็สนุกแล้ว!
อยู่ในวังวนความคิดชั่วร้ายครู่หนึ่ง สุดท้ายลู่เฉินที่เปลี่ยนเป็นคนนิสัยไม่ดีได้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ติดต่อหาผู้ช่วยของเฉินเฟยเอ๋อร์
เฉินเฟยเอ๋อร์เมาขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องให้ผู้ช่วยของเธอมารับตัวกลับไป
บอกที่อยู่ให้ฝ่ายนั้นทราบแล้ว ลู่เฉินก็วางสาย
เมื่อวางสายไป เขาก็ซวยแล้ว
เห็นเฉินเฟยเอ๋อร์หันหน้ามา เกยคางบนบ่าของเขา เผยรอยยิ้มยั่วยวน
เธอหรี่ตากระซิบถามด้วยเสียงออดอ้อนว่า “พี่ชาย ยิ้มแบบนี้หรือเปล่า?”
ลู่เฉินแทบอยากจะหาซอกหลืบบนพื้นมุดหนี
ที่แท้เฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ได้เมาจริง!
เขาเพิ่งถูกจับได้จึงได้แต่ทำหน้าเหยเกและยอมรับผิดโดยดี “พี่เฟย ผมผิดไปแล้ว…”
เฉินเฟยเอ๋อร์ทำเสียงแค่นหัวเราะ “สำนึกผิดสิถึงจะเป็นเด็กดี แต่เมื่อทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ ลงโทษให้นายเขียนเพลงให้ฉันสองเพลงแล้วกัน จะต้องเป็นเพลงแบบที่เพราะมากๆ ไม่อย่างนั้น…”
เธอยกกำปั้นขึ้นมาเหวี่ยงผ่านหน้าลู่เฉินไป “ฉันเคยเรียนต่อยมวยด้วย!”
ลู่เฉินเบาใจลง “สองเพลงไม่มีปัญหา!”
เฉินเฟยเอ๋อร์หยิบกระเป๋าขึ้นมาอย่างได้ใจ ลุกขึ้นยืนบอกว่า “เราไปกันเถอะ ลงไปข้างล่าง รอพี่จาง”
พี่จางคือผู้ช่วยของเฉินเฟยเอ๋อร์
ออกไปชำระเงินแล้ว ทั้งสองลงมาชั้นล่างด้วยลิฟท์ แค่มองออกไปก็เห็นพี่จางรออยู่ตรงประตูทางเข้า
เธอและผู้ติดตามจะต้องรออยู่ในละแวกเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเรียกตัวก็จะมาถึงในทันที
เฉินเฟยเอ๋อร์หันกลับไปบอกกับลู่เฉินว่า “ฉันไม่ไปส่งนายละ นายขับรถกลับเอง ระวังด้วย”
ลู่เฉินพยักหน้า “พี่เฟยไว้พบกันครับ”
เฉินเฟยเอ๋อร์ขยิบตาให้เขา แล้วเขย่งปลายเท้าจุ๊บที่หน้าของเขาหนึ่งที
ลู่เฉินตัวแข็งทื่อ
พี่จางที่มองเห็นทุกอย่างตะลึงอ้าปากค้างเช่นกัน
ตั้งแต่เฉินเฟยเอ๋อร์เข้าวงการมา เธออยู่เคียงข้างเฉินเฟยเอ๋อร์มาตลอด สนิทกับเฉินเฟยเอ๋อร์ยิ่งกว่าญาติสนิท
แต่พี่จางไม่เคยเห็นเฉินเฟยเอ๋อร์ใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนมากเท่านี้มาก่อน!
เฉินเฟยเอ๋อร์หัวเราะ “ขอบใจนายมากที่เที่ยวเป็นเพื่อนฉันได้สนุกขนาดนี้ นี่เป็นของขวัญขอบคุณ นายอย่าคิดมากล่ะ!”
เธอโบกมือแล้วหันหลังเดินจากไป ทิ้งเสียงหัวเราะสดใสเหมือนกระดิ่งเงินเอาไว้เบื้องหลัง
ลู่เฉินส่งเฉินเฟยเอ๋อร์ด้วยสายตา มองดูจนเงาของเธอหายไปในความมืด ผ่านไปครู่หนึ่งเขายื่นมือไปลูบหน้าบริเวณที่เปียกชื้น
ยิ้มแหยๆ
ภาพเมื่อครู่ถ้าถูกนักข่าวปาปารัซซี่ของเมืองหลวงแอบถ่ายได้ จะต้องขึ้นข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์!
เธอไม่กลัวเอาเสียเลย!
ความจริงแล้ววันถัดมา วันที่18 กันยายน ชายที่ได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งคือหวังปิน
‘หวังปินถูกจับ แวดวงคุกได้เพิ่มซูเปอร์สตาร์คนเก่งเข้าไปอีกคน!’
‘หวังปินชายผู้แสนดีตกต่ำเช่นนี้ได้ยังไง?’
‘ประชาชนในเขตเฉาหยางสร้างผลงานครั้งใหม่ นับจำนวนดารานักร้องที่ถูกจับปีนี้ดูสิ!’
‘ปีแห่งความโชคร้าย ร่วงหล่นลงสู่เหวลึก…หวังปินหมดอนาคต!’
ในนิตยสารชื่อดังแต่ละฉบับ และเว็บไซต์วงการบันเทิงได้ขึ้นเป็นข่าวพาดหัวในหน้าแรก ทั้งหมดคือเกิดจากหวังปินหายตัวไปเพราะเสพยาเสพติด บรรดาสื่อต่างๆ กำลังคักคักเพราะเริ่มทำการขุดคุ้ยเบื้องหลังอันดำมืดของวงการบันเทิง
หวังปินแม้ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ระดับท็อป แต่เขาเข้าวงการเร็ว เป็นคนเก่าคนแก่ในวงการ ทั้งยังเป็นคนที่มีความสามารถทั้งการเล่นละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์และร้องเพลง มีภาพลักษณ์ดีงามมาแต่ไหนแต่ไร ได้รับการสรรเสริญว่าเป็นชายผู้แสนดีแห่งยุค
และแล้วชายผู้แสนดีคนนี้ก็สูญสิ้นไปต่อหน้าต่อตาของประชาชน ทำให้วงการเกิดความสั่นคลอน
มีบางสื่อออกมาให้ข่าวว่า หวังปินไม่ได้เป็นผู้เสพเท่านั้น ยังเป็นผู้รวบรวมคนให้มารวมตัวกันเสพยาเสพติด เพราะในวันเดียวกันได้จับกุมเพื่อนสนิทในวงการได้หลายคน และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับศิลปินอีกหลายคน!
สื่อเจ้านี้ไม่ได้บอกชื่อโดยตรง แต่ใช้อักษรย่อของแซ่ L แซ่ C ใช้เรียกแทน สุดท้ายคือทำให้เกิดการคาดเดาต่างๆ นานาในเว็บบล็อก ศิลปินหลายคนถูกเชื่อมโยงอย่างไม่เป็นธรรม ได้แต่ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมกันเป็นแถว
พวกอสรพิษทั้งหลายดาหน้ากันเข้ามา การเยี่ยมเยียนเว็บบล็อกหลางเฉาเกิดขึ้นมากมายหลายเท่าจนเกือบระเบิด!
แต่ข่าวเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับลู่เฉินเลยสักนิด
ที่เกี่ยวกับลู่เฉินคือ อัลบั้มส่วนตัวอัลบั้มแรกของเขา ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ ได้ขึ้นติดอันดับในเว็บไซต์เฟยซวิ่นภายในสิบวัน ยอดการซื้อขายมากถึง 347,202 ครั้ง เกือบสามแสนห้าหมื่นครั้ง อนาคตมีโอกาสเป็นไปได้ว่าจะได้มากถึงห้าแสนโดยไม่ต้องกังวล
สำหรับนักร้องใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการมา คะแนนที่ฝ่ากระแสแบบนี้ สมควรที่จะได้รับการเฉลิมฉลอง
ที่สำคัญคือความสำเร็จของอัลบั้ม ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ ได้กระตุ้นให้เกิดกระแสความคิดสร้างสรรค์เพลงใหม่ในวงการเพลงป็อปทันสมัยในประเทศ มันทำให้นักแต่งเพลงและนักร้องหน้าใหม่ปรากฏตัวขึ้น ที่แท้แล้วตลาดของเพลงป็อปร็อกยังยิ่งใหญ่มากจนคู่ควรแก่การไปค้นหา
เพลงป็อปร็อกในช่วงวัยเรียน เป็นแนวแรกที่ลู่เฉินใช้เริ่มต้นเข้าสู่หัวใจคนฟังและทำให้เขาโด่งดัง บริษัทค่ายเพลงหลายแห่งและศิลปินนักร้องหลายคนกำลังสะสมการทำเพลงแนวนี้ เพราะคาดหวังในส่วนแบ่งทางการตลาด
ส่วนอีกหลายๆ คนจับจ้องอยู่ที่ตัวลู่เฉิน มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาที่ออฟฟิศลู่เฉินและลู่ซีถี่ยิ่งขึ้น
“ตอนนี้มีเจ็ดบริษัทค่ายเพลงที่ติดต่อขอเพลงจากแก ฉันเสนอราคาไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีใครตอบกลับ”
ในห้องทำงานของผู้จัดการสำนักงาน ลู่ซียื่นกระดาษปึกหนึ่งให้ลู่เฉินและรายงานสภาพธุรกิจในช่วงนี้ “ในนั้นมีสองบริษัทที่ดูจริงใจ น่าจะเจรจากันได้ หลักๆ คือปัญหาด้านราคากับกรรมสิทธิ์ในเพลง”
อัลบั้ม ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ ขายดิบขายดี ลู่เฉินให้ลู่ซีเพิ่มราคาของผลงานตัวเองไปสูงถึงสามแสนห้าหมื่น ทั้งยังรักษากรรมสิทธิ์ในเพลงไว้ส่วนหนึ่ง เช่นการร้องเพลงโคฟเวอร์และเพลงเวอร์ชั่นภาษาอื่น
ราคาเท่านี้ได้แตะเพดานสูงสุดของระดับราคาการซื้อขายเพลงในวงการแล้ว สำหรับคนนอกมองว่าเป็นการอ้าปากให้กว้างกลืนกินผลประโยชน์ให้เต็มคำ แน่นอนว่าตกใจจนล้มเลิกความคิดในการทำความร่วมมือ
ด้วยเหตุนี้ ช่วงนี้ลู่เฉินจึงไม่ยอมเขียนเพลงง่ายๆ เพราะคำว่าของมีน้อยยิ่งมีค่า ในความทรงจำของเขายังมีเพลงชั้นยอดอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งต้องได้ราคาที่คุ้มค่าและคู่ควร
ด้านหนึ่งลู่เฉินไม่อยากนำเอาผลงานจากโลกแห่งความฝันของเขาเปิดเผยออกไปหมด นอกจากนี้เขายังอยากยืนหยัดอยู่ในวงการนี้ได้ด้วยตัวเอง…แพงเท่านี้ จะซื้อหรือไม่ก็ตามใจ!
ลู่เฉินตอนนี้มีความมั่นใจและมีพื้นฐานที่มั่นคง หนี้ก้อนโตของที่บ้านอาศัยเขาคนเดียวสามารถหาเงินคืนได้หนึ่งในสี่ส่วนแล้ว ลดภาระความกดดันลงอย่างมาก ถ้าแผนที่วางเอาไว้ดำเนินไปอย่างราบรื่น การที่จะใช้หนี้ทั้งหมดคืนได้คงไม่เป็นปัญหา
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ลู่เฉินย่อมรักษารากฐานเอาไว้ได้
อีกอย่างถ้าคาดเดาอนาคตได้ ตำแหน่งในผลงานที่เขาทำทุกอย่างมีแต่จะสูงขึ้นๆ!
สามแสนห้า? นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น!
ลู่เฉินพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ราคาไม่ต้องคุยแล้ว ถ้าอยากได้กรรมสิทธิ์ก็ต้องเพิ่มราคา!”
ลู่ซีพยักหน้าโดยไม่แปลกใจ แง่มุมนี้ลู่เฉินยืนยันเหมือนเดิมถูกต้องแล้ว
เธอพลิกหน้ากระดาษในมือ บอกต่อว่า “ด้านโฆษณา ตอนนี้มีสามบริษัทมาเจรจา หนึ่งในนั้นคือบริษัทโฆษณาเฉียนหม่า ยื่นข้อเสนอเซ็นสัญญาการเป็นพรีเซนเตอร์ชุดกีฬายี่ห้อเซินฉี ฉันรู้สึกว่าไม่เลว เตรียมจะตอบตกลงกับเขาแทนแก”
“บริษัทชุดกีฬาเซินฉี?”
ลู่เฉินตาลุกวาว “พวกเขาให้ราคาเท่าไหร่?”
เซินฉีเป็นสินค้ายี่ห้อใหม่ของตลาดเสื้อผ้า กลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือวัยรุ่นที่ชอบออกกำลังกาย ดังนั้นในบรรดาสื่อทั้งหมดมีโฆษณาเข้ามามากมาย การจะมาหาลู่เฉินก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
สำหรับศิลปินดาราส่วนใหญ่ โฆษณาเป็นแหล่งทำเงินสำคัญแห่งหนึ่ง
ซูเปอร์สตาร์ระดับท็อปมีรายรับจากทางนี้ปีหนึ่งมากถึงสิบล้านร้อยล้าน โดยเฉพาะหลายปีมานี้ที่เศรษฐกิจในประเทศกับต่างประเทศเปิดเสรี ทำให้ตลาดการใช้จ่ายเติบโต การใช้ดาราเป็นพรีเซนเตอร์แน่นอนว่ามีแต่มากขึ้น
ลู่ซีบอกอีกว่า “บริษัทโฆษณาเฉียนหม่าเสนอราคาค่าพรีเซนเตอร์ปีละแปดแสน งานหลักคือถ่ายแบบโฆษณากับถ่ายโฆษณาทางโทรทัศน์ ถ้าต้องการให้แกไปออกงานโปรโมท ค่าออกงานแต่ละครั้งคิดนอกเหนือจากนี้”
แปดแสน!
เทียบกับค่าตัวพรีเซนเตอร์ของดาราแถวหน้า ราคานี้เป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับศิลปินหน้าใหม่ นี่ถือว่าไม่เลวเลย เพราะการถ่ายแบบโฆษณาและโฆษณาทางโทรทัศน์ เป็นการนำเสนอตัวเองไปพร้อมกันด้วย!
ลู่เฉินพยักหน้า “ได้ ถ้าอย่างนั้นพี่ดำเนินการแทนผมได้เลย”
เมื่อก่อนก็มีบริษัทโฆษณาติดต่อเข้ามา แต่ราคาที่เสนอมานั้นไม่เหมาะสม ล้วนถูกลู่ซีปฏิเสธไปหมด
ยี่ห้อเซินฉีเป็นสินค้าในระดับกลาง ทั้งยังเน้นการออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรง เหมาะกับภาพลักษณ์ของเขามาก
ลู่ซียิ้ม “ฉันหวังว่าจะเพิ่มราคาได้อีกหนึ่งล้าน ถ้านายดังมากกว่านี้คงไม่มีปัญหา!”
ลู่เฉินหัวเราะเสียงดัง
แต่ไม่ว่าลู่เฉินหรือลู่ซี ต่างคิดไม่ถึงว่าเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น ชื่อเสียงของเขาจะได้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น!