ตอนที่ 221 แคสติ้ง
“นายมันนิสัยไม่ดี!”
ลู่เฉินเพิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ เสียงจากปลายสายคือเฉินเจี้ยนหาวที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ลู่เฉิน “เอ่อ…”
เขายังไม่ทันได้กินอาหารเช้า กลับถูกต่อว่าจนหน้าหงาย รีบถามกลับอย่างตกใจว่า “พี่เจี้ยนหาว ทำไมเหรอครับ”
“ทำไม นายยังถามอีกว่าทำไม”
เฉินเจี้ยนหาวคำรามฮึ่มๆ เสียงดัง “เมื่อคืนนายพาเฉินเฟยเอ๋อร์มาที่บาร์เดย์ลิลลี่ ไม่บอกให้ฉันรู้สักคำ!”
“นายว่านายทำถูกไหม”
เมื่อคืนตอนที่ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์ไปที่บาร์ เฉินเจี้ยนหาวไม่อยู่
พอเขาได้ข่าวก็รีบมา แต่ตอนที่เขามาถึงอย่าว่าแต่เฉินเฟยเอ๋อร์เลย ลู่เฉินเองก็ออกไปแล้ว เหลือแต่ความว่างเปล่า!
เถ้าแก่เฉินไม่สบอารมณ์มากๆ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินลูกค้าเล่าว่าเพลงใหม่ที่เฉินเฟยเอ๋อร์ร้องนั้นเพราะมาก ในใจของเขาเหมือนถูกแมวป่าข่วนตะกุยจนแสบร้อน หงุดหงิดอารมณ์ไม่ดีที่สุด
เฉินเจี้ยนหาวเป็นแฟนคลับของเฉิยเฟยเอ๋อร์ แม้ไม่ถึงกับบ้าคลั่ง ไม่ได้เป็นแฟนคลับเหนียวแน่นหรือพวกแฟนคลับไร้สมอง แต่ก็เป็นแฟนคลับตัวจริง
ลิ้นชักในห้องของเขา เก็บสะสมซีดีอัลบั้มของเฉินเฟยเอ๋อร์เอาไว้ทุกชุด
พลาดโอกาสเสียได้ เขาตีอกชกหัวอย่างเจ็บใจ!
เมื่อวานตอนที่เขาโทรศัพท์หาลู่เฉิน ลู่เฉินปิดเครื่อง วันนี้เขาจึงโทรมาแต่เช้า
ลู่เฉินหัวเราะ “พี่เจี้ยนหาวปรักปรำผมแล้ว เมื่อคืนพี่เฟยจู่ๆ ก็อยากไปที่บาร์เดย์ลิลลี่กะทันหัน ถึงตอนนั้นโทรบอกพี่ พี่ก็มาไม่ทันอยู่ดี”
“ต่อไปถ้ามีโอกาส ผมจะเชิญพี่เฟยไปนั่งเล่นที่นั่นอีก”
เฉินเจี้ยนหาวไม่ได้โกรธจริง ที่เขาอยากได้ยินคือประโยคเมื่อครู่ของลู่เฉิน พลันนั้นเขาก็หัวเราะออกมา “เจ้าเด็กบ้า ยิ่งมีหน้ามีตาใหญ่แล้วนะเดี๋ยวนี้ แม้แต่ราชินีอย่างเฉินเฟยเอ๋อร์ยังให้เกียรตินาย นายสองคน…อะแฮ่ม!”
ที่เขาอยากจะพูดก็คือคบกันจริงหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าคำพูดแบบนี้ออกจะลามปามเกินไปจึงแสร้งกระแอม
ลู่เฉินยิ้มแห้ง “เป็นแค่เพื่อนกันครับ เหมือนพี่น้อง”
เฉินเจี้ยนหาวพูดต่อ “เป็นพี่น้องดีที่สุด ไม่อย่างนั้นฉันคงอิจฉานายตายเลย จำคำที่นายพูดเอาไว้ให้ดีแล้วกัน!”
ลู่เฉินพูดไม่ออก จากนั้นก็วางสายจากเฉินเจี้ยนหาว
ตอนนี้เองชายหนุ่มสวมเสื้อยืดแนบเนื้อ ตัดผมสั้นเกรียนเดินเข้ามาถามว่า “ลู่เฉิน เรามาฝึกซ้อมคู่กันหน่อย!”
ชายหนุ่มปราดเปรียววัยสามสิบคนนี้มีชื่อว่าวั่นหย่ง เป็นผู้ฝึกสอนการต่อสู้ตัวต่อตัวในสโมสรป๋อรุ่ย
สโมสรป๋อรุ่ยเป็นกิจการหนึ่งของครอบครัวหลี่มู่ไป๋ ลู่เฉินมาที่นี่ครั้งแรกเพราะหลี่มู่ซือพามา หลังจากนั้นเธอมอบบัตรวีไอพีระดับสูงให้ลู่เฉินใบหนึ่ง ทำให้เขามาใช้อุปกรณ์ออกกำลังกายทุกอย่างที่นี่ได้ฟรี
สโมสรป๋อรุ่ยมีลานต่อสู้ นอกจากสมาชิกแล้วไม่ให้คนนอกเข้ามา ผู้ฝึกสอนและพนักงานส่วนหนึ่งเป็นทหารมาก่อน และพวกเขาก็ทำงานในบริษัทรักษาความปลอดภัยที่ตระกูลหลี่เป็นเจ้าของควบคู่ไปด้วย
ที่นี่เป็นสถานที่ฝึกซ้อมเล็กๆ ของพวกเขา
ไม่ใช้ก็เสียเปล่า ลู่เฉินอาศัยความสัมพันธ์ที่เขามีกับหลี่มู่ไป๋และหลี่มู่ซือ ย้ายการออกกำลังกายที่ทำเป็นประจำมาที่สโมสรป๋อรุ่ยแห่งนี้ เพราะที่นี่หาคู่ฝึกซ้อมที่สมน้ำสมเนื้อกับเขาได้ง่ายมาก
คนในลานต่อสู้รวมทั้งวั่นหย่งต่างเคารพนับถือในความเก่งกาจของลู่เฉิน
ดังนั้นจึงมีแต่คนอยากเรียนรู้จากเขา
ลู่เฉินทำให้สโมสรป๋อรุ่ยเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย อย่างเช่นชุดหุ่นไม้ฝึกที่วางอยู่ข้างเวทีประลอง
เป็นหุ่นไม้ฝึกมวยหย่งชุนที่เขาควักเงินสั่งซื้อมาเอง ใครก็เล่นได้
ลู่เฉินมีความคิดเป็นของตัวเอง
ตอนนี้เขากับวั่นหย่งสนิทสนมกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปด้วยดี
หลังจากได้ยินคำท้า ลู่เฉินไม่รีรอทำสัญลักษณ์ตอบ ‘โอเค’
วั่นหย่งยิ้มตาหยี ยื่นมือออกไปเหนี่ยวเชือกกั้นข้างเวที แล้วโยนตัวขึ้นไปบนเวทีอย่างว่องไว
เขาเป็นทหารปลดประจำการที่มีนิสัยตรงไปตรงมา เคยฝึกวิชาหมัดมวยตอนอยู่ในค่ายทหาร ชอบประลองศิลปะการต่อสู้กับคนอื่น
น่าเสียดายที่ในสโมสรป๋อรุ่ย ไม่มีใครมีฝีมือทัดเทียมกับเขา
หลี่มู่ซือนั้นถือว่าเก่งมากแล้ว แต่วั่นหย่งไม่เคยแสดงฝีมือจริงๆ กับเธอเลย มีแต่ยอมให้คุณหนูคนนี้
วั่นหย่งเองก็อึดอัด
จนเมื่อลู่เฉินปรากฏตัว ทำให้เขามีจิตใจอยากต่อสู้อีกครั้ง จึงปล่อยพลังเต็มที่เพื่อประลองฝีมือ
ดังนั้นการประลองของทั้งคู่ในรอบเช้าจึงกลายเป็นรายการที่ทั้งสองทำเป็นประจำทุกวัน
ลู่เฉินกำลังเตรียมจะขึ้นเวที แต่กลับมีสายโทรศัพท์ดังเข้ามา
เช้านี้เป็นสายที่สามแล้วที่เขารับ
ลู่เฉินส่ายหัว ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงความเบื่อหน่ายจากการไร้อิสระที่ศิลปินต้องเผชิญ
คนที่โทรมาคือลู่ซีพี่สาวของเขา
ลู่ซีบอกข่าวดีให้เขาฟัง “บริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์เอ้าช่วงเพิ่งติดต่อมา ว่าอยากจะเชิญแกไปแคสติ้งละครเรื่อง ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’ พรุ่งนี้ บอกว่าบทนี้น่าจะเหมาะกับแกมาก!”
“ละครเหรอ”
ลู่เฉินตกตะลึง “บทอะไร”
“เป็นตัวประกอบชาย บทตำรวจ…”
ลู่ซีบอกต่อว่า “มีบทประมาณห้าตอน ถ้าเรตติ้งดีก็มีโอกาสถ่ายทำต่อ”
ลู่เฉินรับปาก “ไม่มีปัญหา ผมจะไปแคสติ้ง!”
ตอนนี้ทางด้านการแสดงลู่เฉินได้ถ่ายทำโฆษณาไปหนึ่งชุดและมิวสิควิดีโออีกเพลงหนึ่งเท่านั้นเอง
แม้เคยได้รับการรับปากจากผู้กำกับใหญ่จางเหวินเทียนว่าจะหาบทที่เหมาะสมให้ลู่เฉินเล่นในภาพยนตร์ที่เขากำกับ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่เปิดกล้องถ่ายทำ และยังไม่แน่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงด้วย
คนที่หมายปองบทในภาพยนตร์ของจางเหวินเทียนนั้นมีมากเกินไป!
ลู่เฉินมีใจคิดอยากจะเข้าไปเติบโตในเส้นทางสายละครและภาพยนตร์ เขาวางแผนว่าจะเดินทั้งในเส้นทางสายดนตรี ละคร และภาพยนตร์ แต่ไม่มีโอกาสเหมาะสมให้แทรกซึมเข้าไปเสียที ตอนนี้มีคนมาเสนอให้เขาไปแคสติ้ง แล้วจะพลาดได้อย่างไร
แถมยังเป็นบทตำรวจ เหมาะกับความชอบของเขาด้วย!
ลู่ซีเอ่ยว่า “ฉันตอบตกลงให้แกไปแล้ว ฝ่ายนั้นส่งบทมาให้ แกรีบเตรียมตัวแล้วกัน ละครเรื่องนี้เรตติ้งใช้ได้ ต้องมีหลายคนที่แย่งบทกันอยู่แน่นอน”
ลู่เฉินตอบกลับไปว่า “ผมจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
เขาขอโทษขอโพยวั่นหย่ง จากนั้นก็ขับรถกลับมาถึงสตูดิโอของตัวเอง
บทที่ทางบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์เอ้าช่วงส่งมาถูกพิมพ์ออกมาแล้ว ความจริงแค่สองหน้ากระดาษเอสี่ เท่านั้น ซึ่งหลักๆ เป็นบทของตัวละครที่มีชื่อว่าเฉินเย่าหยาง เป็นตำรวจหนุ่มที่เพิ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนตำรวจ
เป็นคนดีและกล้าหาญ ทั้งยังมีฝีมือการต่อสู้ที่ดี ตัวละครมีบทบาทชัดเจน
เนื้อหาของบทละครตอนนี้ เฉินเย่าหยางจับโจรที่ขโมยของนางเอกได้ ทั้งสองจึงได้รู้จักกัน เฉินเย่าหยางถูกนางเอกดึงดูด จึงไล่ตามจีบอย่างร้อนแรง
นางเอกเองก็รู้สึกดีกับเฉินเย่าหยาง แต่ในใจของเธอคิดถึงแต่พระเอกซึ่งเป็นแฟนเก่าที่เพิ่งเลิกรากัน แล้วเรื่องที่น่าเจ็บปวดก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อสุดท้ายเฉินเย่าหยางไม่ได้เป็นแม้แต่ตัวสำรองของนางเอก
ลู่เฉินอ่านบทอย่างตั้งใจรอบหนึ่ง รู้สึกว่าบทนี้ไม่ได้ยากมากนัก
แต่เขาก็ยังเตรียมตัวเป็นอย่างดี
จากที่เขาศึกษาทำความเข้าใจ ตอนนี้ละครเรื่อง ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’ ยังออกอากาศอยู่ทางสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง ยอดเรตติ้งในตอนนี้อยู่ที่ 0.35% เรตติ้งในเขตเมืองปักกิ่งและเทียนจินอยู่ที่ 1.09% ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว
ละครเรื่อง ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’ ซีซันแรกใกล้จะจบแล้ว ตัวละครที่ลู่เฉินแคสติ้งปรากฏตัวในซีซันสอง
เป็นตัวประกอบที่สำคัญ
บริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์เอ้าช่วงที่จัดทำละครเรื่องนี้ มีชื่อเสียงในวงการค่อนข้างดี ผู้กำกับเหยียนเฉิงอี้ก็ได้รับความชื่นชม ไม่ใช่คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า
สรุปคือ โอกาสแบบนี้ช่างหาได้ยาก!
ในเมืองหลวง มีทั้งวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่ง สถาบันการละครกลาง และวิทยาลัยศิลปะแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง ยิ่งผลิตศิลปินนักแสดงออกมามากมาย ละครโทรทัศน์ธรรมดาเรื่องหนึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนหมายปอง หากต้องการคัดเลือกนักแสดงแค่แพร่งพรายข่าวออกไป ก็ดึงดูดกลุ่มคนมากมายมาแก่งแย่งกันแล้ว
ลู่เฉินรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นตัวเลือกนักแสดงเพียงหนึ่งเดียวที่มาแคสติ้ง แต่เขาไม่คิดว่าการแข่งขันจะสูงถึงเพียงนี้!
วันรุ่งขึ้นตอนเก้าโมงเช้า เมื่อลู่เฉินไปถึงหน้าห้องประชุมเล็กของบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์เอ้าช่วง ก็มีคู่แข่งนั่งอยู่แล้วห้าหกคน
พวกเขายังหนุ่มแน่นเหมือนลู่เฉิน หน้าตาโดดเด่น ดูหล่อเหลา เท่สมาร์ท แต่ละคนล้วนพกพาความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม
เมื่อลู่เฉินเข้ามา สายตาทุกคู่หันมาจับจ้องที่ตัวเขา
บางคนจำเขาได้ถึงกับขมวดคิ้ว
แต่จนแล้วจนรอดเมื่อลู่เฉินหาที่นั่ง นั่งลงได้ก็ยังไม่มีใครเอ่ยปากพูดกับเขาเลย บรรยากาศในห้องกดดันแปลกๆ
คนที่มาแคสติ้งวันนี้รวมลู่เฉินแล้วมีทั้งหมดเจ็ดคน !
ที่น่าสนใจคือ ทางบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์เอ้าช่วงได้จัดหาชุดเสื้อผ้าที่ใส่แคสติ้งให้กับทุกคน
นั่นก็คือชุดตำรวจ มีครบทุกขนาด
ลู่เฉินนำชุดที่พอดีตัวมา แล้วไปเปลี่ยนในห้องแต่งตัวของบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์เอ้าช่วง
จนเขาออกมา หญิงสาวที่ดูแลเรื่องคอสตูมของบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์เอ้าช่วงถึงกับตาลุกวาว
หล่อจริงๆ!
ลู่เฉินเป็นคนที่ตัวสูงที่สุดในบรรดาคนที่มาแคสติ้งทั้งหมด ทั้งยังมีรูปร่างอันสมบูรณ์แบบ เหมือนกับหุ่นโชว์เสื้อผ้า เมื่อสวมชุดเครื่องแบบแล้วดูดีกว่าคนอื่น
พอเก้าโมงครึ่ง การสัมภาษณ์ก็เริ่มต้นขึ้น
ลู่เฉินเป็นลำดับที่สี่
คนแรกที่เข้าไป เพิ่งสัมภาษณ์ได้ห้านาทีก็ออกมาแล้วด้วยสีหน้าหม่นหมอง
เห็นได้ชัดว่าการแคสติ้งของเขาล้มเหลว ถูกปฏิเสธออกมา
คนที่สองเข้าไป อยู่ด้านในแค่เจ็ดนาทีก็ออกมา ท่าทางดูย่ำแย่เหมือนคนแรกไม่มีผิด
คนที่สามเข้าไปด้านในเป็นลำดับถัดมา
คนอื่นๆ ที่นั่งรอยู่มีหลายคนที่ดูเคร่งเครียดขึ้นมา บางคนก้มหน้าเงียบขรึม บางคนจ้องบทตาค้าง ทำให้ลู่เฉินพลอยรู้สึกเป็นกังวลตามไปด้วย
แต่ชายหนุ่มคนที่มีดวงตาเหมือนดอกท้อนั้นดูผ่อนคลายที่สุด เขานั่งไขว่ห้างหลังพิงพนักเก้าอี้ สีหน้าดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ราวกับกุมชัยชนะเอาไว้ในมือแล้ว
ลู่เฉินอดมองเขาไม่ได้
ชายหนุ่มดวงตาดอกท้อคนนี้ดูมีจริตแบบผู้หญิง อายุ หน้าตา และการแต่งตัวจัดอยู่ในประเภทหนุ่มวัยละอ่อนที่กำลังเป็นที่นิยม ผิวพรรณขาวนวล มีกลิ่นอายของความนุ่มนิ่ม
เหมือนเขาจะรู้สึกถึงสายตาของลู่เฉิน เขาหันกลับมามอง มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อย
ราวกับกำลังพูดว่า…มีผมอยู่ คุณอย่าหวังจะได้บทเลย!
ที่น่าเสียดายคือ ลู่เฉินจำไม่ได้ว่าฝ่ายนั้นเป็นใคร คนบุคลิกแบบนี้มีมากเหลือเกินในวงการบันเทิง
“ลู่เฉิน…”
คนที่สามออกมาเร็วกว่าใคร ภายในไม่กี่นาทีเท่านั้น ตอนที่ออกมาเขาดูน่วมไปทั้งตัวเหมือนลูกมะเขือที่โดนทุบ
แล้วก็ถึงคิวที่สี่ของลู่เฉิน
ตอนนั้นเอง จิตใจของเขาสงบลงในทันที
…………………………………………………………………………….