ตอนที่ 228 จุดเปลี่ยน
ลู่เฉินยังเด็กนัก เวลาฝึกฝนประสบการณ์ในสังคมยังไม่มาก
แต่เขาได้ครอบครองความทรงจำอันมั่งคั่งของคนสามคน มีความคิดและสายตาที่ยาวไกลกว่าคนอายุรุ่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นลู่เฉินจึงมองออกถึงการดูถูกและการหมดความอดทนที่ซ่อนอยู่ในแววตาของจู้หมิงเหอได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากจะร่วมงานด้วยจริงๆ ดังนั้นจึงเสนอเงื่อนไขต่างๆ ที่ทำให้เขาต้องถอย
เว้นเสียแต่ว่าลู่เฉินสามารถตอบรับเงื่อนไขทั้งหมดได้
แต่จะเป็นไปได้อย่างไร
ความต้องการที่จู้หมิงเหอเสนอมา คือให้เป่าหลงฟิล์มควบคุมทุกอย่าง ผู้กำกับและนักแสดงนำก็ให้พวกเขาตัดสินใจ เงินทุนส่วนใหญ่ให้ลู่เฉินเป็นคนจัดการ ตัวเองกินเนื้อแล้วคายกระดูกออกมา ไม่อยากมีความเสี่ยงแม้แต่นิดเดียว
ลู่เฉินไม่ได้โง่ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่การแก้ตอนจบของเรื่องอย่างเดียวเขาก็ไม่ตกลงแล้ว
จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก
เกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก ถึงแม้จะอาศัยเส้นสายของคนรู้จัก แต่ลู่เฉินก็เป็นฝ่ายมาหาถึงที่เอง เป่าหลงฟิล์มไม่ใช่บริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์ธรรมดา คำกล่าวที่ว่าร้านใหญ่รังแกลูกค้านั้นเป็นเช่นนี้นี่เอง
ถ้าหากเฉินเฟยเอ๋อร์ออกหน้าเองจะต้องดีกว่านี้แน่นอน น่าเสียดายที่เธอก็ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเช่นกัน
อาศัยแค่ตัวลู่เฉินเอง ไม่มีน้ำหนักพออย่างเห็นได้ชัด
ถ้าหากเขาเป็นแค่คนเขียนบทละครธรรมดาคนหนึ่ง เขียนบทออกมาแล้วอยากจะร่วมงานกับเป่าหลงฟิล์ม อย่าเพิ่งพูดถึงการลงทุนหรือผู้กำกับอะไรเลย เกรงว่าแม้แต่หน้าของจู้หมิงเหอก็ไม่ได้พบ
ในวงการบันเทิงรวมทั้งวงการภาพยนตร์โทรทัศน์ มีการเรียงลำดับขั้นอย่างเข้มงวดเช่นกัน ตำแหน่งสามารถตัดสินระดับได้
ในวงการนี้ ตำแหน่งของเขาไม่มีเลยด้วยซ้ำ
แล้วจะให้จู้หมิงเหอให้ความสำคัญได้อย่างไร
ลู่เฉินไม่ได้รู้สึกโกรธหรือหงุดหงิดจากเรื่องนี้เลย ถึงอย่างไรความต้องการของตัวเขาเองก็สูงมาก หากอีกฝ่ายไม่มีความคิดเห็นอะไรเลยคงผิดปกติ ก็แค่เป็นการต่อรองราคาของผู้ขายกับผู้ซื้อเท่านั้นเอง
แต่ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงการต่อรองราคาแล้ว
ลู่เฉินฟังจู้หมิงเหอพูดความคิดเห็นของตัวเองด้วยความอดทน จากนั้นเขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า “ผู้จัดการจู้ สงสัยความคิดของพวกเราจะแตกต่างกันมาก ต้องขอบคุณจริงๆ ที่คุณยอมสละเวลามาพบผม ขอบคุณนะครับ!”
การเจรจาไม่สำเร็จแต่ก็ไม่หักหาญน้ำใจกัน ทุกคนต่างพูดจากันด้วยดี ต่อให้ความคิดเห็นไม่ตรงกันก็ไม่จำเป็นต้องทะเลาะจนเข้าหน้ากันไม่ติด
รักษาท่าทีสุภาพมีมารยาทและให้เกียรติกัน คราวหน้าหากเจอกันอีก ทุกคนก็ยังพูดคุยกันได้
ลู่เฉินจะไม่ทำผิดพลาดกับเรื่องพวกนี้แน่นอน
จู้หมิงเหอเป็นใคร แค่ฟังก็เข้าใจแล้ว
เขากลับมารู้สึกดีกับลู่เฉินอีกครั้ง ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องเกรงใจครับ พี่หลีบริษัทเรนโบว์เอเจนซี่รู้จักกับเถ้าแก่ของพวกเรา ถ้าหากวันหลังคุณยังมีบทละครดีๆ อีก ก็มาหาผมได้เลยครับ”
‘พี่หลี’ ที่จู้หมิงเหอเอ่ยถึง คือผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเรนโบว์เอเจนซี่ปักกิ่ง เธอเป็นเพื่อนกับเฉินเฟยเอ๋อร์
เฉินเฟยเอ๋อร์แนะนำลู่เฉินให้บริษัทเป่าหลงฟิล์มผ่านพี่หลีคนนี้นี่เอง
บริษัทเป่าหลงฟิล์มถึงได้ส่งจู้หมิงเหอมา
แต่สายสัมพันธ์นี้ก็ไม่ได้สำคัญมากพอ ที่จะทำให้จู้หมิงเหอยอมทิ้งกฎเกณฑ์เพื่อยอมรับลู่เฉิน
เพราะเขาไม่รู้ว่าคนที่เป็นคนแนะนำให้จริงๆ คือเฉินเฟยเอ๋อร์
โชคดีที่ลู่เฉินรู้จักกาลเทศะ จึงรักษาเกียรติของทั้งฝ่ายได้อย่างเหมาะสม
“ขอบคุณครับ!”
ลู่เฉินลุกขึ้น ยื่นมือไปจับมือกับจู้หมิงเหอ “หวังว่าคราวหน้าจะมีโอกาสร่วมงานกันนะครับ”
จู้หมิงเหอยิ้มเอ่ยว่า “เกรงใจไปแล้วครับ ลาก่อนนะครับ!”
ทั้งสองฝ่ายลาจากกัน จู้หมิงเหอพาเลขานุการกลับไป ส่วนลู่เฉินยังอยู่ที่นี่ต่อ
เขานึกอยากโทรหาเฉินเฟยเอ๋อร์ แต่หลังจากที่ดูรายชื่อผู้ติดต่อแล้วก็ไม่ได้กดโทรออก
ด้วยสัญชาตญาณ ลู่เฉินไม่อยากสร้างความยุ่งยากให้กับเฉินเฟยเอ๋อร์
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือไม่อยากเสียเกียรติของลูกผู้ชาย และเขาก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนต้องซับซ้อนไปมากกว่านี้
เขาเลื่อนรายชื่อผู้ติดต่อหาเบอร์โทรศัพท์ของเฉินเจี้ยนหาว อยากจะถามเถ้าแก่ว่ามีบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์ที่รู้จักบ้างไหม
“สวัสดีครับคุณลู่เฉิน…”
ขณะที่ลู่เฉินกำลังหาเบอร์โทรของเฉินเจี้ยนหาว จู่ๆ ก็มีเสียงทักทายดังมาจากข้างๆ
แปลกมาก
ลู่เฉินหันไปมอง ก็เห็นชายวัยกลางคนรูปร่างเล็กผอมคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ข้างๆ เขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ชายวัยกลางคนคนนี้อายุราวสี่สิบกว่าปี ผิวดำหน้าตาอัปลักษณ์ ตาเล็กจมูกแบน แถมฟันยังเหยินเล็กน้อย เวลายิ้มให้ความรู้สึกยินดีปรีดาแก่ผู้คน เพียงแต่นัยน์ตาฉายแววเฉียบคม
“ไม่ทราบว่าคุณคือ?”
ลู่เฉินตกตะลึง เพราะเขาไม่รู้จักอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง
ชายวัยกลางคนเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยื่นสองมือไปหาเขา “สวัสดีครับ ผมชื่อหลู่อี้ ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจบริษัทกานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์ส พวกเราพอจะคุยกันสักสองสามประโยคได้ไหมครับ”
ลู่เฉินรีบลุกขึ้นทันที ยื่นมือไปจับมือกับอีกฝ่าย “สวัสดีครับผู้จัดการหลู่ เชิญนั่งครับ”
บริษัทกานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์ส ชื่อนี้ไม่คุ้นหูเลยสำหรับเขา
หน่วยงานประเภทบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์และสตูดิโอในปักกิ่งมีมากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออุตสาหกรรมบันเทิงบูมขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา บริษัทเอเจนซี่และบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด มีการแข่งขันแย่งชิงเค้กก้อนโตในตลาดนี้ดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ
ลู่เฉินฉงนสนเท่ห์ ทำไมบริษัทกานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์สถึงเป็นฝ่ายมาหาตัวเขา
หลู่อี้ไขปริศนาโดยตรง “ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ เมื่อครู่ผมนั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินการสนทนาของคุณกับผู้จัดการจู้หมิงเหออยู่ไม่น้อย ผมอยากจะถามว่าผมขอดูบทละครของคุณหน่อยได้ไหมครับ”
เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของลู่เฉิน เขาจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ดูสิผมรีบร้อนเกินไป…ผมขอแนะนำตัวเองก่อนนะครับ!”
แน่นอนว่าหลู่อี้ไม่ได้แนะนำฐานะของตัวเองอยู่แล้ว เพราะได้พูดไปแล้วก่อนหน้านั้น สิ่งที่อธิบายให้ลู่เฉินฟัง คือเรื่องราวของบริษัทกานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์สที่ตัวเองทำงานให้
บริษัทกานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์สก่อตั้งขึ้นในปี 2010 ถือว่าเป็นบริษัทน้องใหม่มากในวงการ แต่ก็ได้ลงทุนถ่ายทำภาพยนตร์โทรทัศน์ไปหลายเรื่องแล้ว มีนักแสดงและศิลปินที่เซ็นสัญญาในสังกัดหลายสิบคน
หากพูดถึงขนาดและกำลังความสามารถของบริษัท บริษัทกานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์สยังห่างชั้นจากบริษัทเก่าแก่อย่างเป่าหลงฟิล์มอีกก้าวใหญ่ แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อได้เปรียบ นั่นก็คือถนัดทำภาพยนตร์โทรทัศน์แนวความรักของคนเมืองและหนังรักวัยรุ่นไอดอลมากที่สุด
หนึ่งในนั้นคือหนังรักวัยรุ่นเรื่อง ‘ตอนนี้ก็ยังรัก’ ที่ถ่ายทำในปี 2013 เคยได้รับเรตติ้งผู้ชมทั่วประเทศสูงที่สุดถึง 1.7% ถือว่าดังระดับหนึ่งเลยทีเดียว
จะว่าไปก็บังเอิญมาก หลู่อี้มารอลูกค้าที่ร้านกาแฟเหมือนกัน
แต่สรุปว่าลูกค้าไม่มา เขาถึงได้ยินบทสนทนาระหว่างลู่เฉินกับจู้หมิงเหอโดยบังเอิญ
เขาไม่ได้จงใจแอบฟัง เพียงแต่เกิดความสนใจในบทละครของลู่เฉิน เขาถึงอดเข้ามาทักไม่ได้
หลู่อี้พูดตามตรงไม่อ้อมค้อม “ถ้าหากเป็นบทละครธรรมดาทั่วไป ผมคงไม่สนใจหรอกครับ เพราะคนที่เขียนบทละครในปักกิ่งมีมากมาย แต่ของคุณไม่เหมือนใคร…”
เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ผมเคยฟังเพลงของคุณ และยังซื้ออัลบั้มของคุณในเฟยซวิ่นมิวสิคอีกด้วย ผมจึงเชื่อมั่นในความสามารถของคุณครับ!”
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!
ลู่เฉินเข้าใจในทันที รู้สึกว่าคนนี้ก็เป็นแฟนคลับของตัวเอง!
เพลงของเขา โดยเฉพาะผลงานส่วนใหญ่ล้วนเป็นผลงานเพลงบัลลาดที่แฝงไว้ด้วยความคิดถึงอดีตอย่างเข้มข้น เพราะฉะนั้นจึงมีแฟนคลับกลุ่มใหญ่ที่อยู่ในช่วงอายุสามสิบถึงสี่สิบปี ซึ่งก้าวเข้าสู่สังคมทำงานมานานมากแล้ว
แฟนคลับพวกนี้ไม่ใช่แฟนคลับที่ไล่ตามศิลปินอย่างบ้าคลั่ง แต่มีฐานะมีอิสระในการใช้จ่าย และก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันยอดขายอัลบั้ม ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ ของลู่เฉินในเว็บไซต์เฟยซวิ่นมิวสิค
ในเมื่อมีแหล่งที่มาเช่นนี้ ลู่เฉินจึงหยิบโครงเรื่องออกมาอีกครั้งแล้วยื่นให้หลู่อี้อย่างตรงไปตรงมา
ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจของบริษัทกานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์ส พูดตามจริงตำแหน่งอาจจะต่ำไปหน่อย แต่ก็ถือว่าโอกาสมาหาถึงที่
ขณะที่หลู่อี้กำลังอ่านโครงเรื่องของละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ อย่างตั้งใจ จู้หมิงเหอก็กลับมาถึงบริษัทพอดี
เป่าหลงฟิล์มก็อยู่ในศูนย์ศิลปะ แถมยังอยู่ใกล้กับร้านกาแฟข้างหน้ามาก เดินเท้าแค่ห้านาทีก็ถึง
พอกลับมาถึงบริษัทเขาก็ตรงไปที่ออฟฟิศทันที…และได้รับการแจ้งเตือนให้เข้าประชุม
ภายในห้องประชุมมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทอยู่หลายคน รองผู้จัดการใหญ่ ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ ผู้จัดการฝ่ายจัดหานักแสดง ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายผลิตล้วนอยู่ที่นี่ ยกเว้นผู้จัดการใหญ่ที่ไม่มา
พอเห็นจู้หมิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายจัดหานักแสดงที่ปกติไม่ค่อยถูกกับเขาก็ยิ้มถามว่า “เหล่าจู้ ไปไหนมาเหรอ เมื่อครู่คุณไม่อยู่ในออฟฟิศ แม้แต่เลขาก็ไม่อยู่ หรือว่า…ฮิๆ!”
เขาเผยรอยยิ้มที่พวกผู้ชายเข้าใจกัน ทำให้ผู้บริหารคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่หัวเราะขึ้นมา บรรยากาศดูครึกครื้นมาก
จู้หมิงเหอหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “เหล่าเฉินคุณคิดจะใส่ร้ายผมเหรอ!”
เลขานุการของเขาเพิ่งรับเข้ามาทำงาน เธอเป็นคนสวยมาก แต่บริษัทกลับจัดให้มาอยู่กับเขา เธอไม่ใช่ชู้รักของเขาจริงๆ แต่ในสายตาของคนอื่นยากที่จะไม่มีความคิดแบบนั้น
จู้หมิงเหอจึงต้องอธิบาย “ผู้จัดการใหญ่หวังบอกให้ผมไปคุยกับเด็กใหม่ มีสายสัมพันธ์กับพี่หลีบริษัทเรนโบว์เอเจนซี่ บอกว่ามีบทละครอยากจะทำเป็นละครโทรทัศน์ ผมเพิ่งจะไปคุยมา”
เหล่าเฉินถามอย่างสงสัย “ใครเหรอ บทอะไร คุยเป็นยังไงบ้าง”
เพราะอยู่ในฐานะหัวหน้าฝ่ายจัดหานักแสดง เขาจึงมีประสาทไวต่อบทละครใหม่ๆ เป็นพิเศษ เพราะถ้าหากบริษัทจะถ่ายทำละครเรื่องใหม่ อย่างนั้นก็ต้องพิจารณาศิลปินที่เซ็นสัญญากับบริษัทก่อน…จะแบ่งผลประโยชน์ให้คนนอกได้อย่างไร!
และช่วงนี้บริษัทเป่าหลงฟิล์มก็มีการเคลื่อนไหวเยอะมาก หัวข้อการประชุมหารือในครั้งนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องนี้พอดี
จู้หมิงเหอเอ่ยว่า “เป็นนักร้องชื่อลู่เฉิน ยังเด็กมาก เขียนบทละครวัยรุ่นไอดอล อยากให้ตัวเองเล่นบทพระเอกเหลือเกิน”
เขาพูดจาดูคลุมเครือเล็กน้อย แต่ทุกคนก็ฟังเข้าใจ
ผู้จัดการฝ่ายผลิตกล่าวว่า “ลู่เฉิน ผมรู้จัก เป็นนักร้องที่ดังมากช่วงนี้ แถมยังมีข่าวซุบซิบกับเฉินเฟยเอ๋อร์ วิดีโอที่เขาช่วยคนที่หังโจวดังมากในบล็อก!”
“อืม…”
จู้หมิงเหอพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เขานั่นแหละ เดิมทีผมก็สนใจนิดหน่อย แต่บทละครที่เขาเขียนเป็นละครดราม่านางเอกตายตอนจบ และเขาก็ไม่ได้อยากเป็นพระเอกอย่างเดียว แต่ยังกำหนดผู้กำกับและนางเอกด้วยตัวเองอีกด้วย”
เหล่าเฉินหัวเราะพรืดทันที “จะเป็นไปได้ยังไง!”
ถ้าหากลู่เฉินเป็นคนดังเบอร์ใหญ่ในวงการ ก็ยังพอเข้าใจและยอมรับความต้องการแบบนี้ของเขาได้
แต่ลู่เฉินไม่ใช่ เขาเป็นแค่เด็กใหม่ในวงการเท่านั้น
กระทั่งยังไม่นับว่าเป็นคนใหม่ด้วยซ้ำ
ลู่เฉินอยากจะเข้าสู่วงการภาพยนตร์โทรทัศน์สามารถเข้าใจได้ แต่เขาก็ต้องทำตามกฎด้วย
ช่างเป็นเด็กใหม่ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ
จู้หมิงเหอแบมือ แล้วพูดอย่างจนใจ “ใช่ ดังนั้นผมจึงปฏิเสธไปแล้ว ไม่สามารถตกลงได้”
เหล่าผู้บริหารระดับสูงที่นั่งอยู่ในนี้ต่างเข้าใจดี…ถ้าหากจู้หมิงเหอตกลง แบบนั้นก็น่าตลกแล้ว!
ถือเสียว่าเป็นเรื่องตลกก็แล้วกัน
ไม่ช้าทุกคนก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปไม่สนใจอีก รวมทั้งจู้หมิงเหอด้วย
…………………………………………………………………………