Perfect Superstar – ตอนที่ 270 ปิดกล้อง

ตอนที่ 270 ปิดกล้อง

โรงถ่ายจินหลิง ณ บ้านพักตากอากาศซีโทเปียริมชายฝั่งทะเล

บ้านพักตากอากาศซีโทเปียเป็นจุดชมวิวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแห่งหนึ่งในโรงถ่ายจินหลิง ตัวหลักของมันคือทะเลสาบเทียมขนาดใหญ่ที่มีเนื้อที่นับหมื่นเอเคอร์ ทางฝั่งทิศใต้มีชายหาดยาวเกินห้าร้อยเมตร และปลูกต้นไม้ต่างๆ บนโขดหินที่วางเรียงราย สร้างทิวทัศน์ของริมชายฝั่งทะเลตามธรรมชาติที่เสมือนจริง

ได้ยินว่าทรายทั้งหมดก็เก็บมาจากทะเล หลังจากผ่านการชำระล้างอย่างสะอาดแล้วจึงเปลี่ยนเป็นสีขาวละเอียดสวยงาม และยังมีเศษเปลือกหอยมากมายแทรกอยู่ในนั้น ส่องประกายระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างกลายเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโรงถ่ายจินหลิง

นอกจากนี้บ้านพักตากอากาศซีโทเปียก็ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำของกองถ่ายขนาดใหญ่ต่างๆ หลังจากดูโลเคชั่นที่นี่แล้วแค่ตัดต่อเบื้องหลังอีกนิดหน่อย ก็สามารถเอาของปลอมมาทำให้ดูเหมือนของจริงได้ ประหยัดต้นทุนได้เป็นจำนวนมาก

ฉากสุดท้ายของละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ก็ถ่ายทำที่บ้านพักตากอากาศซีโทเปีย

ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน รถเข็นคันหนึ่งจอดอยู่บนหาดทรายที่กว้างใหญ่อย่างเดียวดาย

รอยเท้ากลุ่มหนึ่งเริ่มต้นจากรถเข็น และขยายไกลออกไป

ลู่เฉินแบกเฉินเฟยเอ๋อร์ไว้ข้างหลัง เดินไปข้างหน้าทีละก้าว เดินแต่ละก้าวด้วยความลำบากยากเข็ญ

เฉินเฟยเอ๋อร์ในชุดคนไข้หลับตาลงใบหน้าซบไปที่ไหล่ของลู่เฉิน เส้นผมสะบัดกระจายใบหน้าซีดขาวราวกระดาษไร้ซึ่งลมหายใจใดๆ

ลู่เฉินยังคงไม่รู้ตัว เขาหันหน้าต้อนรับพระอาทิตย์ตกดิน ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกที่หนาแน่นไม่จางหาย นัยน์ตาดำขลับแฝงไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวฝังลึกถึงกระดูก

ความรู้สึกเศร้าอาดูรไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลืออะไรได้แบบนั้น ซึมลึกเข้าไปในสายเลือดในหัวใจและจิตวิญญาณ จากนั้นน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างช้าๆ ตกลงบนหาดทราย

“เอินซี คุณรู้ไหม”

“ผมรักคุณ”

“ผมรักคุณ”

“ผมรักคุณมากๆ!”

เป็นการพูดพึมพำอย่างท้อแท้สิ้นหวัง ระบายความในใจกับคนที่รักที่สุดที่อยู่ข้างหลังคนนี้

น่าเสียดายเธอไม่มีโอกาสได้ยินอีกตลอดไป

ความน่าเศร้าเช่นนี้ ยากที่จะบรรยายด้วยคำพูด หัวใจที่เจ็บปวดสุดแสนลึกซึ้งไม่มีวันลืม ทุกข์ระทมยากที่จะบรรเทาไปตลอดชีวิต

ทีมงานของกองถ่ายก็อินไปกับบรรยากาศของการถ่ายทำ พวกเขาทำงานของตัวเองกันอย่างเงียบๆ ไม่แสดงความตื่นเต้นและดีใจที่กำลังจะปิดกล้องออกมา

ผู้กำกับฟางฮุ่ยจ้องมองหน้าจอมอนิเตอร์ ไม่พูดอยู่นาน

เธอไม่ได้ถ่ายละครเป็นครั้งแรก เจอนักแสดงมามากมายหลายหลาก แต่ไม่เคยเจอศิลปินหน้าใหม่ที่โดดเด่นกว่าลู่เฉินมาก่อน ดูเหมือนคนหลังจะเกิดมาเพื่อเป็นนักแสดง สามารถแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่มีอาจารย์สอน

นับตั้งแต่เริ่มถ่ายทำตอนแรก สถานะของลู่เฉินมั่นคงจนต้องอึ้ง เขาเข้าใจนิสัยของตัวละครได้อย่างสมบูรณ์แบบจับความรู้สึกของบทบาทได้ดีไร้ที่ติ ไม่ด้อยไปกว่านักแสดงรุ่นใหญ่ที่มีทักษะสูงใดๆ

ฟางฮุ่ยคิดไม่ออกมาตลอด ศิลปินอย่างลู่เฉินที่ไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อนและไม่เคยถ่ายละครมาก่อนด้วยซ้ำสามารถทำถึงจุดนี้ได้อย่างไร หรือว่าเขาก็คือบุคคลที่มีความสามารถพิเศษแตกต่างจากคนอื่นดังเช่นในตำนาน

ได้ยินว่าคนพวกนี้เกิดมาก็แสดงเป็น สามารถเข้าสู่สภาวะของบทบาทภายในเวลาสองสามวินาที อยากจะร้องไห้ก็ร้องไห้ อยากจะหัวเราะก็หัวเราะ อ่านบทแค่สองสามรอบก็จำได้ขึ้นใจ จำนวนครั้งในการถ่ายทำผิดพลาดหรือฉาก NG ก็น้อยถึงน้อยมาก

ฟางฮุ่ยไม่เคยร่วมงานกับนักแสดงที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แต่เธอเชื่อว่าลู่เฉินก็คือนักแสดงแบบนี้นั่นเอง

ในฐานะผู้กำกับ เธอรู้สึกสบายใจมากจริงๆ

ตอนแรกที่ตัดสินใจรับถ่ายทำละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ฟางฮุ่ยรู้สึกประทับใจเรื่องราวของละครเป็นหลัก เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะอาศัยละครดราม่าเรื่องนี้เพื่อเพิ่มตำแหน่งและชื่อเสียงของตัวเองเลยด้วยซ้ำ

หากถ่ายทำออกมาไม่ขาดทุนก็ถือว่าไม่ผิดต่อค่าจ้างที่ตัวเองได้รับแล้ว

ทว่าฟางฮุ่ยก็ไม่เคยคาดฝันว่า ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ จะโด่งดัง ถึงขั้นดังระเบิดระเบ้อ!

ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน เธอกลายเป็นผู้กำกับละครดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์ มีหน่วยงานมากกว่าสิบแห่งติดต่อผ่านทางผู้จัดการส่วนตัวหรือไม่ก็โทรศัพท์มาหาโดยตรงเพื่อเชิญเธอไปกำกับ

แต่ฟางฮุ่ยไม่ตอบรับเจ้าไหนเลย

เนื่องจากเธอรู้ดีว่า สาเหตุที่ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ได้รับความสำเร็จขนาดนี้ ความดีความชอบของผู้กำกับอย่างเธอไม่ได้มากนัก หากไม่มีบทละครที่ดีและนักแสดงที่เยี่ยม เธอก็คงไม่สามารถกำกับผลงานที่ดีออกมาได้

ในสถานการณ์ปกติทั่วไป บทละครที่ดีกับนักแสดงที่เก่งนั้นมาไม่ถึงมือของเธออยู่แล้ว

เป็นเพราะลู่เฉินให้โอกาสเธอได้แสดงพรสวรรค์ออกมา

ดังนั้นฟางฮุ่ยจึงอยากร่วมงานกับลู่เฉินต่อไป เธอรู้ว่าลู่เฉินเตรียมจะถ่ายทำละครเรื่องใหม่อีกครั้งในปีหน้า

ฟางฮุ่ยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตัวเองจะยังคงได้เป็นผู้กำกับละครเรื่องใหม่

แต่สถานการณ์ต่างๆ กลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่คนที่อยากมาลงทุนร่วมหุ้นจะต้องมีมากมายราวกับปลาที่ว่ายข้ามแม่น้ำอย่างแน่นอน!

ในสภาวการณ์ที่เงินทุนมีอย่างเพียงพอ การถ่ายทำและการผลิตจะมีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ แท้จริงแล้วเธอมีความเสียใจอยู่ไม่น้อย รู้สึกว่ามีหลายจุดที่ยังทำได้ไม่สมบูรณ์แบบพอ

“ผู้กำกับ…”

เสียงเรียกพลันดังขึ้นข้างหู ฟางฮุ่ยเหมือนตื่นจากความฝัน

ภาพที่ปรากฏอยู่ในมอนิเตอร์ ทำให้เธอรู้ว่าตัวเองดันเสียสมาธิในเวลานี้

ลู่เฉินแบกเฉินเฟยเอ๋อร์เดินจนเกือบจะสุดหาดทรายแล้ว

แต่ก็ไม่เป็นไร

“คัต!”

ฟางฮุ่ยพูดเสียงดัง “ผ่าน!”

เธอลุกขึ้นยืน เผยรอยยิ้มดีใจออกมาจากใบหน้าของเธอ “ฉันขอประกาศว่า ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ปิดกล้องอย่างเป็นทางการ!”

ปิดกล้องแล้ว!

เหล่าทีมงานในกองถ่ายที่อยู่หน้าเซ็ต ต่างโห่ร้องไชโยกันทุกคน มีบางคนกระทั่งสวมกอดกัน

จบแล้ว ถ่ายเสร็จแล้ว โล่งอกได้จริงๆ เสียที!

บนหาดทรายที่อยู่ไม่ไกล ลู่เฉินวางเฉินเฟยเอ๋อร์ลงก่อน จากนั้นก็เดินไปหาตากล้องที่ติดตามตัวเองมาตลอด และยังชูนิ้วโป้งให้กับผู้ช่วยที่คอยถืออุปกรณ์จัดแสง “สุดยอดมากครับ ผมจะเลี้ยงข้าวทุกคนเย็นนี้!”

ตากล้องและบรรดาผู้ช่วยต่างหัวเราะ ผู้ช่วยหนึ่งคนในนั้นเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่ลู่ครับ!”

การถ่ายทำในช่วงสองเดือนนี้ บรรยากาศของกองถ่ายละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ดีมาตลอด ไม่มีดราม่าแก่งแย่งชิงดีกัน ทุกคนร่วมด้วยช่วยกันพุ่งเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน รับประกันงานถ่ายทำสำเร็จราบรื่น

ยังไม่พูดถึงนักแสดงคนอื่น เฉินเฟยเอ๋อร์เป็นราชินีแห่งวงการเพลง ลู่เฉินเป็นนักดนตรีมากความสามารถ ทั้งยังเป็นคนเขียนบท เป็นพระเอก และผู้ลงทุนในละครเรื่องนี้ มีตำแหน่งในกองถ่ายสูงกว่าผู้กำกับ

แต่ไม่ว่าจะเป็นลู่เฉินหรือเฉินเฟยเอ๋อร์ ท่าทีที่ทั้งสองคนปฏิบัติต่อทีมงานของกองถ่ายดีมาตลอด ไม่เคยวางมาดดาราดังอะไร ปฏิบัติตัวกับทุกคนอย่างสุภาพมีมารยาท

แต่ละคนล้วนมีตาชั่งอยู่ในใจ จะดีหรือร้ายทุกคนแยกออกชัดเจน สำหรับพระเอกนางเอกสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้ ทุกคนมีความรู้สึกที่ดีและเคารพมาก

ตากล้องและทีมงานกำลังขนย้ายอุปกรณ์ ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์สองคนก็ไม่ได้รีบกลับ เดินเล่นอยู่บนชายหาดด้วยกัน เดินไปตามรอยเท้าลึกๆ ที่ทิ้งไว้ก่อนหน้าอีกครั้ง

ปิดกล้องละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ทั้งสองคนก็รู้สึกใจหาย อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ

เดิมทีผู้ช่วยของเฉินเฟยเอ๋อร์จะวิ่งเข้ามา แต่พอเห็นภาพนี้ จึงถอยกลับไปอย่างเงียบๆ

เดินไปเรื่อยๆ เฉินเฟยเอ๋อร์จัดผมเผ้าที่สะบัดยุ่งไปมา แล้วถามขึ้นมากะทันหัน “สภาพของฉันตอนนี้ น่าเกลียดมากใช่ไหม”

เธอแต่งหน้าบางๆ เป็นคนป่วย ปากซีดไร้เลือดฝาด แลดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด

ลู่เฉินยิ้มและเอ่ยว่า “ไม่ว่าพี่จะอยู่สภาพไหนก็ดูดีมากครับ!”

“พูดเอาใจฉันสินะ…”

เฉิยเฟยเอ๋อร์เหลือกตาขาวใส่เขาหนึ่งที แต่มุมปากกลับยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม เผยความรู้สึกหอมหวานออกมาจากหัวใจ

แต่รอยยิ้มเพิ่งปรากฏขึ้น ความตื่นตกใจก็เพิ่มเข้ามาอยู่ในนัยน์ตาของเธอ เธอกัดริมฝีปากและพูดว่า “เมื่อกี้…ตอนที่ฉันได้ยินนายพูดบท รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจากนายไปตลอดกาลจริงๆ”

ลู่เฉินสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในใจของเฉินเฟยเอ๋อร์ และเข้าใจว่าเธอยังอินกับบทอยู่ ดังนั้นจึงยื่นมือไปกุมมือเธอ “ขอแค่พี่ยอม ผมก็จะอยู่เคียงข้างพี่ตลอดไป!”

ลู่เฉินไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้พูดจาหวานเอาใจผู้หญิงแบบนั้น แต่คำหวานของเขาประโยคนี้โจมตีหัวใจและจิตวิญญาณของเฉินเฟยเอ๋อร์อย่างฉับพลัน ความไม่สบายใจและความหวาดหวั่นของเธอจึงมลายหายไป

ถ้าหากไม่ใช่เพราะแถวนี้ยังมีคนอยู่เยอะ เธอจะโผเข้าไปในอ้อมกอดของลู่เฉินทันที จะส่งจูบที่เร่าร้อนให้กับเขา

ลมหายใจที่หอมหวานและอบอุ่น ส่งผ่านระหว่างพวกเขาทั้งสองคน

เฉินเฟยเอ๋อร์ถามว่า “ถ่ายละครเรื่องนี้จบแล้ว นายมีแผนอะไรบ้าง”

ลู่เฉินคิดครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว ขอพักผ่อนดีๆ ก่อนสักสองสามวัน”

เฉินเฟยเอ๋อร์กล่าวว่า “นายฝันไปเถอะ ปีใหม่รายการรับเชิญเยอะที่สุด นายจะไม่ไปร่วมสักหนึ่งรายการเลยใช่ไหม”

ลู่เฉินไม่พูด

เป็นศิลปินดาราแล้วไม่มีอิสระเป็นของตัวเองเลยจริงๆ ถึงแม้ตัวเองจะเปิดสตูดิโอเป็นเจ้านายของตัวเองก็ตาม ก็ทำตามอำเภอใจไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าไม่ต้องการอนาคตแล้ว

อย่างเช่นโดยทั่วไปลู่เฉินจะไม่รับงานออกรายการสะเปะสะปะ แต่เขามีงานพรีเซ็นเตอร์อยู่สองตัว ต้องรับผิดชอบโปรโมตให้กับเจ้าของเงิน หรือถ้าหากสื่อมีเดียขนาดใหญ่อย่างสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งเชิญไปออกรายการ เขาก็ต้องไว้หน้าเช่นกัน

เฉินเฟยเอ๋อร์เอ่ยว่า “หลังปีใหม่แล้ว ฉันเตรียมจะออกอัลบั้มใหม่ นายต้องแบ่งเวลาว่างมาช่วยฉัน”

อัลบั้มใหม่ของเธอเดิมทีต้องออกก่อนปีใหม่ แต่ผลจากการถ่ายทำละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ เธอจึงได้แต่ถ่วงเวลาไว้ มีแฟนคลับมากมายรู้สึกไม่พอใจมาก

เพื่อละครเรื่องนี้ เฉินเฟยเอ๋อร์เสียสละไม่น้อย เดิมทีมีแผนจะเปิดคอนเสิร์ตเดี่ยวในปักกิ่ง ก็ต้องเลื่อนไปจัดปีหน้า ส่วนการปฏิเสธงานออกรายการอื่นๆ นั้นเยอะยิ่งกว่า

แน่นอนว่าเฉินเฟยเอ๋อร์ไม่สนใจผลประโยชน์ที่เสียไป เพราะแค่ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ เธอก็ได้กำไรมากพอแล้ว แต่จำเป็นต้องปลอบประโลมความรู้สึกของเหล่าแฟนคลับ จะถ่วงเวลาแบบนี้ต่อไปไม่ได้

ลู่เฉินเอ่ยยิ้มๆ “งั้นผมจะได้ประโยชน์อะไร”

เฉินเฟยเอ๋อร์ฟังออกถึงความหมายที่มีเจตนาร้ายนิดหน่อย จึงระวังตัวขึ้นมา “นายอยากได้ประโยชน์อะไร”

ลู่เฉินหัวเราะพลางใช้นิ้วมือเกาเล่นที่ฝ่ามือของเธอ แล้วพูดเบาๆ “คืนนี้อยู่เป็นเพื่อนผม…”

ตอนเมาครั้งที่แล้ว เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขา เสียดายที่ไม่ได้สัมผัสรสชาติความอ่อนโยนที่แท้จริง

ตอนนี้คิดแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะอยากเคลื่อนไหวขึ้นมา

ใบหน้าของเฉินเฟยเอ๋อร์พลันแดงระเรื่อ แม้แต่เครื่องสำอางก็ปิดไม่อยู่

เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากมือของลู่เฉิน พูดดุและกลอกตาใส่เขาหนึ่งที “ผู้ชายอย่างพวกนาย คิดแต่เรื่องพวกนี้ใช่ไหม”

ลู่เฉินถูกปรักปรำ “ผมหมายความว่าคืนนี้ดูหนังเป็นเพื่อนผม พี่คิดอะไรครับเนี่ย”

เฉินเฟยเอ๋อร์รู้ว่าถูกแกล้ง จึงพานโกรธขึ้นมาเอาดื้อๆ หยิกลู่เฉินอย่างแรง

เธอบิดไปที่เนื้อนุ่มตรงเอวของเขาอย่างจัง

สำหรับผู้หญิงที่เก่งและมีพรสวรรค์แบบนี้ ลู่เฉินได้แต่ยกมือยอมแพ้ เพื่อแสดงว่าเขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง

ทั้งสองคนหยอกล้อกัน ทิ้งรอยเท้าสองเส้นคู่ขนานไว้บนหาดทรายสีขาวสะอาด

พระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตก ก้อนเมฆที่ขอบฟ้าลุกโชนดั่งไฟเผา สวยสดงดงามมากเป็นพิเศษ!

ดีงามไปหมดทุกอย่าง

…………………………………………………………………………

Perfect Superstar

Perfect Superstar

Perfect Superstar
Status: Ongoing
อ่านนิยายPerfect Superstarลู่เฉิน ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาวัย 22 ปี จำต้องหยุดเรียนออกมาทำงานหาเงินในเมืองหลวง เพื่อช่วยครอบครัวปลดหนี้จำนวนมหาศาล วันหนึ่งเขาฝัน...เป็นความฝันที่ยาวนานมาก โลกแห่งความฝันทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า ตัวละครแสดงต่างก็มีสีสันที่ไม่เหมือนกัน นักร้อง นักแสดง นักเขียนอิสระ เขามีประสบการณ์กับช่วงชีวิตที่ต่างกันทั้งสามนี้ในโลกความฝัน เมื่อตื่นขึ้น ลู่เฉินมุ่งหน้าสู่ความฝันของตัวเองพร้อมกับทักษะที่ได้รับมา เป้าหมายคือกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่สมบูรณ์แบบ!!!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset