แขนข้างนั้น เรียวสวยอวบอิ่มอยู่เล็กน้อย ผิวขาวใสประดุจหยกอันงดงามไร้ตำหนิ นิ้วเรียวยาวทั้งห้าดุจดั่งต้นหอมยามวสันต์ เล็บรีมนตัดเรียบเสมอกัน บนเล็บไม่ได้ทาเอาไว้ แต่ก็เปล่งสีชมพูจางสุขภาพดีออกมา
ไม่ต้องสงสัย นี่เป็นแขนของผู้หญิงข้างหนึ่ง หล่อนรับแก้วทรงสูงอย่างช่ำชองสง่างาม คล้ายเบิร์นนิ่งแก้วนี้ทำขึ้นมาเพื่อเธอ ซึ่งไม่ใช่ปล้นไปจากลู่เฉินเลย
ลู่เฉินอดหันหัวกลับไปมองไม่ได้ ก็เห็นใบหน้าที่ทำให้ค่อนข้างประทับใจนั้น
ซูชิงเม่ย กรรมการบริษัทไลท์เรนมีเดีย!
คืนนี้กรรมการซูผู้นี้สวมเสื้อผู้หญิงหลวมๆชุดหนึ่ง เหมือนจะสง่างามอยู่ไม่น้อย ไม่ได้เสน่ห์เย้ายวนเลย
ลู่เฉินพูดอย่างสุภาพว่า “สวัสดีครับ กรรมการซู”
สิ่งที่แฝงอยู่ในความสุภาพนั้นคือความเย็นชาห่างไกล ลู่เฉินไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงที่เคยถูกตัวเองปฎิเสธคนนี้จะโผล่มาที่นี่อีกครั้ง เพื่อจะแย่งค็อกเทลแค่แก้วเดียวไปเนี่ยนะ
เขาจึงระแวงโดยสัญชาตญาณ
“สวัสดี ลู่เฉินเซียนเซิง*…”
*(คำเดียวกับคำว่า เซ็นเซย์ ของญี่ปุ่น เป็นคำพูดเพื่อให้เกียรติ ไม่ได้หมายความว่าเป็นอาจารย์จริงๆ)
ซูชิงเม่ยตอบเรียบๆมาคำหนึ่ง เธอยกค็อกเทลขึ้นมาที่มุมปากจิบเล็กๆไปคำหนึ่ง จากนั้นก็พูดประเมินออกมาว่า “น้ำผลไม้เจือจางรสเหล้ามากไป หวานกว่าหน่อยแต่ไม่ค่อยแรงสักเท่าไหร่ ไม่สมกับชื่อBurningเลยสักนิด”
เดวิดอ้าปากคุยโม้ต่อ พูดว่า “มิสซู ปริมาณแอลกอฮอล์ของเบิร์นนิ่งสูงมากแล้วนะ!”
“แต่ยังไม่สูงพอ ใช่ไหม?”
ซูชิงเม่ยวางแก้วทรงสูงกลับไปบนเคาน์เตอร์ แล้วพูดกับลู่เฉินว่า “เธอไม่อยากลองชิมหรือ?”
ตรงขอบแก้ว ยังคงหลงเหลือรอยลิปสติกจางๆของเธอไว้
นี่อ่อยอยู่หรือเปล่าวะ?
ลู่เฉินหัวเราะกล่าวว่า “ไม่ต้อง ขอบคุณครับ แอลกอฮอล์ไม่ค่อยดีกับเสียง แล้วผมก็เป็นนักร้องด้วย”
คืนก่อนเขายังดื่มเบียร์ไปหลายขวด แน่นอนว่าสำหรับคนชอบดื่มแล้ว เบียร์ไม่นับเป็นเหล้าจริงๆ
หลังจากพยักหน้าให้อีกฝ่าย ลู่เฉินก็ลุกขึ้นแล้วออกจากเคาน์เตอร์ไป
ซูชิงเม่ยรู้สึกว่าการโจมตีที่ตนเองสะสมออมพลังเอาไว้คล้ายโจมตีถูกปุยนุ่น ไร้ปฎิกริยาใดๆโดยสิ้นเชิง อยากจะโมโหแต่ก็หาเหตุผลให้โมโหไม่ได้เลย จึงได้แค่เพียงแค่นเสียง“เฮอะ”ระบายโทสะออกมาคำหนึ่งเท่านั้น
เดวิดยักไหล่ แล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ยังคงปรับสูตรค็อกเทลของเขาต่อ
สำหรับบาร์เทนเดอร์หัวไวผู้หนึ่ง เขาไม่คิดจะเข้าไปแทรกระหว่างสมรภูมิของชายหญิงคู่หนึ่งหรอก
ลู่เฉินหิ้วกีตาร์เดินมาถึงหลังเวที
ภายในห้องใหญ่เองก็ยังมีคนอยู่ไม่เท่าไหร่ มีเพียงหวังเสี่ยวช่วยที่อยู่ หล่อนกำลังสวมหูฟังๆเพลงอย่างสบายอารมณ์
หล่อนไม่ได้สนใจการปรากฎตัวของลู่เฉิน
ลู่เฉินนั่งลงตรงตำแหน่งของตัวเอง เปิดกล่องกีตาร์แล้วหยิบออกมา จูนเสียงใหม่อีกครั้ง
จากนั้นก็เตรียมรายการแสดงของคืนนี้
เพลงแต่ง《เธอที่นั่งข้างฉัน》และ《ซินเดอเรลล่า》ทั้งสองเพลงมีกำหนดการว่านำขึ้นแสดงแน่นอนอยู่แล้ว นอกจากเพิ่มเพลงอื่นที่จะเล่นอีกไม่กี่เพลง เขาก็คิดจะเปลี่ยนไปเล่นเพลงรักสบายๆสักสองเพลง หรือเพิ่มเพลงซอร์ฟร็อคที่ไม่รุนแรงนักอีกสักเพลงด้วย
ถึงลูกค้าในร้านเหล้าแถวโฮ่วไห่นั้นจะไม่ค่อนข้างพิถีพิถันมากนัก ลู่เฉินก่อนหน้านี้ก็พอจะตบตาลูกค้าที่ไม่ค่อยรู้เรื่องเหล่านั้นได้อย่างไม่มีปัญหาก็เถอะ แต่เขาตอนนี้มีจุดหมายที่สูงส่งยิ่งกว่านั้นแล้ว แม้จะเป็นการเล่นดนตรีในร้านเหล้า ก็ต้องให้มีคุณภาพและต้องน่าประทับใจด้วย
ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ อาชีพนักร้องร้านเหล้านี่ลู่เฉินยังคงต้องทำต่อไป และในเมื่อต้องทำก็ต้องทำให้ดีที่สุด อย่าได้ครึ่งๆกลางๆ!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็สองทุ่มแล้ว ตอนนี้ลูกค้าในร้านยิ่งมาก็ยิ่งมากขึ้น
หลี่หงและเย่เจิ้นหยางต่างก็มาถึงแล้ว คนแรกสุภาพกับลู่เฉินอยู่ไม่น้อย แถมยังทักเขาก่อนด้วย ส่วนคนหลังยังคงวางตัว และมีท่าทีเฉยชา
ลู่เฉินไม่ได้ใส่ใจอะไร ก่อนหน้านี้เขาอาจจะนึกอิจฉานักร้องเซ็นสัญญาเช่นเย่เจิ้นหยางผู้นี้ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากจะไปอิจฉาอะไรใครอีก ไม่ว่าจะเป็นนักร้องระดับไหนก็ตาม!
สองทุ่มหน่อยๆ พี่สาวนาก็โผล่มาที่ห้องด้านหลังเวที
หล่อนทักทายทุกคนอย่างกระตือรือร้นเหมือนปกติ จากนั้นก็ลากลู่เฉินมาด้านข้าง แล้วพูดว่า “คืนนี้เพื่อนเถ้าแก่หลายคนจะมาด้วย ฉันเตรียมให้เธอขึ้นเวทีตอนสามทุ่ม เธอแสดงดีๆล่ะ อย่าพลาดโอกาสไป!”
“ผมรู้แล้วละครับ ขอบคุณพี่สาวนา ใช่แล้ว…”
ลู่เฉินพยักหน้า แล้วเขาก็หยิบบางอย่างที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา “นี่ผมให้พี่ครับ”
“อะไรละเนี่ย?”
พี่สาวนารับมาอย่างประหลาดใจ ยิ้มแย้มกล่าว “คงไม่ใช่จดหมายรักหรอกนะ? พี่สาวนาของเธอแก่แล้ว ถ้าหากเป็นละอ่อนอายุยี่สิบกว่าๆ อย่างนั้นฉันคงไล่ตามจีบเธอแล้วล่ะ ฮะฮะ!”
สิ่งที่ลู่เฉินส่งให้เธอนั้น เป็นกระดาษA4ปึกหนึ่ง “แค่เพลงเองครับ หวังว่าพี่สาวนาจะชอบ”
“นี่เธอเขียนเพลงให้ฉันจริงหรือเนี่ย?”
พี่สาวนาคลี่กระดาษ มองชีทเพลงที่ปริ้นออกมาตรงหน้าแล้วพูดอย่างตื่นตระหนกว่า “ขอบคุณจ้ะ!”
สองวันก่อนเธอแค่พูดล้อเล่นกับลู่เฉิน ว่าอยากให้ลู่เฉินช่วยแต่งเพลงให้ หลังจากพูดออกไปแล้วก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก ดังนั้นจึงคาดไม่ถึงเลยว่าลู่เฉินจะเขียนเพลงให้เธอจริงๆ
เสียงของเธอค่อนข้างดัง พวกหลี่หงและเย่เจิ้นหยางที่อยู่ด้านหลังเวทีเหมือนกันต่างก็ได้ยิน จึงอดที่จะมองหน้ากันไม่ได้
ลู่เฉินเขียนเพลงให้พี่สาวนา? จริงหรือเปล่าเนี่ย?
เย่เจิ้นหยางเบ้ปากอย่างเหยียดหยาม ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อถือนัก
เขายอมรับว่าลู่เฉินเขียนสองเพลงนั้นออกมาได้ไม่เลว แต่สไตล์เพลงโฟล์คหวนคิดถึงแบบนี้ไม่เหมาะกับพี่สาวนา ยิ่งไปกว่านั้นจะเขียนเพลงดีๆมันง่ายขนาดนั้นที่ไหนเล่า ก็คงจะแค่เขียนประจบเอาใจอะไรแค่นั้นล่ะ
นอกจากความซาบซึ้งแล้ว สำหรับเพลงที่ลู่เฉินเขียนให้ตัวเองเพลงนี้ พี่สาวนาก็ไม่ได้คาดหวัง ตอนนี้เพลงป๊อบไม่ได้แต่งง่ายนัก เพลงดีๆเพลงหนึ่งแม้อยากได้มาแต่ก็หาไม่พบ
แต่เมื่อเธออ่านชีทเพลงแล้วร้องตามเบาๆ สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
พี่สาวนาแม้ไม่ได้เป็นนักร้องซุปเปอร์สตาร์ และไม่เคยฝึกเรียนร้องเพลงมาก่อน แต่เธอก็คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มานานกว่ายี่สิบปีแล้ว เธอจึงเคยร้องเพลงมาหลายเพลง เรียกได้ว่ามีประสบการณ์มากมายยิ่ง
เพลงๆหนึ่งจะดีหรือไม่ดี เธอมองแวบเดียวก็รู้แล้ว แม้ว่าจะเป็นเพลงออริจินัลโดยสมบูรณ์เลยก็ตามที
พออ่านมาได้ครึ่งหนึ่ง พี่สาวนาก็ไปต่อไม่เป็นแล้ว ไม่ใช่เพราะระดับเธอไม่ถึงหรือเพลงมันเขียนได้แย่เกินไป
“เพลงนี้…”
เธอใช้สองมือประคองกระดาษปริ้นท์ปึกบางๆนั่น เหมือนดั่งสาวกผู้หนึ่งประคองพระคัมภีร์เอาไว้ คล้ายกับมันหนักเป็นพันชั่งก็มิปาน กล่าวถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อว่า “จะให้ฉันจริงๆหรือ?”
เธอไม่เชื่อ แล้วก็ไม่กล้าที่จะเชื่อด้วย!
ลู่เฉินพยักหน้า เขาพูดอย่างหนักแน่นว่า “ให้พี่จริงๆครับ!”
ชั่วพริบตาดวงตาของพี่สาวนาก็เอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตาแวววาว
ฐานะเดิมของเธอนั้นค่อนข้างยากจน เพราะเพื่อหาเลี้ยงชีพและเพราะความลุ่มหลงในเสียงเพลง เธอจึงเลือกก้าวเดินบนเส้นทางสายดนตรีมาตั้งแต่แรก แต่ผ่านงานดนตรีมาถึงยี่สิบกว่าปี เธอก็ยังไม่เคยมีชื่อเสียง กระทั่งตอนนี้ยังเป็นแค่นักร้องร้านเหล้าอยู่เลย
คนหลายคนที่ไม่อาจมีชื่อเสียง เพราะตนเองไม่มีพรสวรรค์เพียงพอ พยายามอย่างไรก็ไม่อาจถอดร่างออกจากรัง
แต่พี่สาวนาไม่เหมือนกัน ด้านการขับร้องของหล่อนนั้นมีพรสวรรค์สูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ขอบเสียงกว้างและมีน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ ทำให้เธอสามารถคุมเพลงที่มีระดับความยากสูงได้สบาย เป็นนักร้องประเภทน้ำเสียงทรงพลังอย่างแท้จริง
เฉินเจี้ยนฮ่าวเคยพูดอย่างเป็นกันเองว่า เหตุผลที่พี่สาวนาคลุกคลีในวงการมาถึงยี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่ดังนั้น นอกจากสาเหตุเรื่องหน้าตาแล้ว ก็เป็นเพราะเธอยังไม่เคยเจอเพลงดีๆของตัวเองเลยสักครั้ง รวมทั้งยังไม่เคยเจอป๋อเล่อที่เข้าใจเสียงเพลงอย่างแท้จริงด้วย
ป๋อเล่ออาจยังมีอยู่ แต่เพลงดีๆนั้นยากพบพาน
ซึ่งตัวพี่สาวนาเองก็หวังที่จะได้เพลงดีๆสำหรับตัวเองสักเพลง นั่นเป็นการรอคอยที่ยาวนานอย่างแท้จริง!
ยาวนานจนกระทั่งหล่อนยอมแพ้ไปแล้ว ยาวนานจนหล่อนไม่คิดจะเฝ้าฝันอย่างโง่งมอีกต่อไป
แต่โชคชะตานั้นก็ช่างแปลกประหลาด จู่ๆเพลงดีที่แท้จริงเพลงหนึ่งก็โผล่ออกมาตรงหน้า วางเอาไว้ในมือหล่อน จู่ๆหล่อนก็ได้มาครอบครองเช่นนี้เอง!
เพลงๆนี้ไม่เพียงแค่มีทำนองโดดเด่น ยิ่งไปกว่านั้นเนื้อร้องแต่ละคำก็สะเทือนจิตใจของหล่อนมาก คล้ายกับเป็นเพลงที่แต่งมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ ทำให้เธอไม่อาจควบคุมอารมณ์ที่อยู่ภายในใจได้ ชั่วขณะน้ำตาก็ไหลพราก
“ขอบคุณ ขอบคุณ!”
พี่สาวนาจู่ๆก็อ้าสองแขน กอดลู่เฉินเสียเต็มรัก น้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้ม “ขอบคุณ!”
ปฎิกริยาแรกของลู่เฉินคือตกใจ พอได้สติก็ยิ้มแย้มตบหลังหล่อน แล้วพูดว่า “ไม่ต้องเกรงใจครับ”
เขาหยิบเอาเพลงนี้มามอบให้พี่สาวนา ก็เพราะซาบซึ้งที่อีกฝ่ายเคยช่วยเหลือตัวเองเอาไว้ ถ้าหากไม่ได้รับการดูแลจากพี่สาวนา เขาเองก็คงไม่อาจได้ขึ้นไปบนเวทีของบาร์เดย์ลิลลี่แล้วร้องเพลงมาได้จนถึงตอนนี้หรอก
เป็นน้ำต้องคิดถึงแหล่งน้ำ เป็นคนก็ต้องรู้จักบุญคุณ ลู่เฉินเป็นคนที่มีความทระนงสลักลึกลงในกระดูก ตอนที่ผิดหวังท้อแท้เขาได้แต่เพียงใส่ใจตัวเองก่อน แต่เมื่อมีความสามารถพอ เขาก็ยินดีที่จะทดแทนคนที่มีค่าพอให้ตอบแทนเหล่านั้น
เพลงดีๆเพลงหนึ่ง ย่อมเป็นการทดแทนบุญคุณให้พี่สาวนา!
หลี่หงและเย่เจิ้นหยางรวมทั้งหวังเสี่ยวช่วย ต่างเซ่อไปแล้ว
พวกเขาเห็นลู่เฉินเขียนเพลงมอบให้พี่สาวนา พี่สาวนาเองก็ร้องตามชีทเพลง เพียงแต่เสียงเบาเกินจนได้ยินไม่ชัด จากนั้นพี่สาวนาก็น้ำตาไหลพราก เข้าสวมกอดขอบคุณลู่เฉินยกใหญ่
นี่มันเรื่องอะไรกันวะ? คนทั้งสามไม่เคยเห็นพี่สาวนาเสียจริตขนาดนี้เลย!