ตอนที่ 324 ท้าประลอง
เลี่ยวเจี่ยเป็นนักร้องที่มีนิสัยเป็นเอกลักษณ์มาก
ความรู้สึกแรกที่คนอื่นมีต่อเขาคือ เขาไม่เหมือนนักร้องซูเปอร์สตาร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เหมือนลูกพี่นักเลงประจำซอย เวลาว่างก็ไปนั่งจิบชาในร้านน้ำชา พร้อมกับแอบส่งลูกน้องไปเก็บค่าคุ้มครอง
ในวงการ เลี่ยวเจี่ยขึ้นชื่อเรื่องความห้าวหาญและตรงไปตรงมา รัศมีรอบตัวเขาทำให้คนที่ได้พบเจออดรู้สึกหวาดเกรงไม่ได้
แต่เมื่อเขาถือกีตาร์เดินขึ้นเวที ก็จะเปลี่ยนไปเป็นเลี่ยวเจี่ยอีกคน
เลี่ยวเจี่ยคนนี้เป็นนักร้องเพลงร็อก เป็นนักเลงที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่ออุดมการณ์!
เมื่อเขาเริ่มบรรเลงกีตาร์อ้าปากร้องเพลงคำแรก ผู้ชมนับพันนับหมื่นที่อยู่รอบเวทีเหมือนปะทุขึ้น ราวกับราดน้ำเย็นลงไปในน้ำมันเดือดจนระเบิดเสียงดัง
คิดถึงความวู่วามสมัยวัยรุ่น คิดถึงความรักที่ตายไปแล้ว คิดถึงมิตรภาพที่ไม่จืดจาง…
เสียงร้องเพลง ‘วันรำลึก’ ที่เลี่ยวเจี่ยแต่งเอง ถ่ายทอดความคะนึงหาอดีตที่ผ่านไป ถ่ายทอดความโกรธแค้นและความงงงวยที่มีต่อโลกอันบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนในปัจจุบัน จังหวะอันหนักหน่วง เนื้อร้องเพลงที่แข็งกระด้างแต่เป็นความจริง ผสมกับเสียงร้องแหบห้าวอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้คนฟังเหมือนได้กลับไปอยู่ในยุคที่เพลงร็อกกำลังรุ่งเรือง
พวกเขาร่วมร้องไปกับเลี่ยวเจี่ย ตะเบ็งเสียงไปพร้อมกัน กรีดร้องด้วยกัน รำลึกไปด้วยกัน!
ในเขตพื้นที่ด้านหลังเวที นักร้องคนอื่นรวมทั้งลู่เฉินลุกขึ้นยืน แสดงความเคารพต่อนักเลงเพลงร็อกที่ไม่เคยยอมแพ้อย่างแท้จริงมาก่อนคนนี้
แฟนเพลงหลายคนเคยบอกว่าเลี่ยวเจี่ยผู้เขียนเพลง ‘ไอวี่เฮ้าส์’ และเพลง ‘คนเก่า’ ได้ตกต่ำลงแล้ว บอกว่าเขาหันหลังให้กับเพลงร็อกในยุคที่วงการเพลงร็อกของประเทศตกต่ำ และเลือกทำการตลาดแทน
ทว่า ณ ตอนนี้เลี่ยวเจี่ยที่ยืนอยู่บนเวที เขายังสวมเสื้อยืดสีดำและกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน สยายผมยาวใช้เสียงกีตาร์และเสียงตะโกนร้องเพลงของเขาบอกเล่าเรื่องราวของวัยรุ่นที่มีความอิสระเปี่ยมไปด้วยความฝัน
บรรยากาศของเทศกาลดนตรีถูกเร้าให้ขึ้นไปสู่จุดพีก เสียงเชียร์ของผู้ชมหลั่งไหลเหมือนสายน้ำ ดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า คนมากมายตะโกนเรียกชื่อเขา
“เลี่ยวเจี่ย!”
ชื่อนี้เป็นตัวแทนของยุคสมัยหนึ่ง!
เพียงแค่ร้องเพลง ‘วันรำลึก’ เลี่ยวเจี่ยร้องจนหอบเหนื่อยเหงื่อโทรมกาย
เวลาไม่คอยท่าใคร วัยรุ่นชาวร็อกในอดีตต่างแก่ตัวลงกันหมดแล้ว ทั้งบุหรี่และสุราที่บั่นทอนสุขภาพร่างกาย ทำให้เขาไม่อาจย้อนวัยกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้แล้ว
เหมือนกับเพลง ‘วันรำลึก’
ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ เพลงร็อกของเลี่ยวเจี่ยเพลงนี้รสชาติเข้มข้นเพียงพอ เป็นแพลงร็อกแห่งชาติโดยสายเลือด แต่ไม่ว่าจะเป็นทำนองหรือเนื้อร้องไม่ได้มีความแปลกใหม่มากนัก ไม่อาจเทียบเท่ากับเพลงระดับตำนานอย่างเพลง ‘ไอวี่เฮ้าส์’ หรือ ‘คนเก่า’ ได้
พวกผู้ชมยังคงตื่นเต้นกับการแสดงของเลี่ยวเจี่ย แต่ก็ไม่ได้พอใจอย่างเต็มที่
“คนเก่า!”
ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาก่อน ทำให้ทุกคนตะโกนพร้อมกัน “คนเก่า!”
พวกผู้ชมอยากฟังเพลงร็อกเก่าแก่ในตำนานเพลงนั้น
เลี่ยวเจี่ยทำให้ผู้ชมพอใจตามคาด ร้องเพลง ‘คนเก่า’ อีกครั้ง
เพลง ‘คนเก่า’ เขียนขึ้นในช่วงปลายยุค 90 เป็นผลงานเพลงระดับตำนานที่เลี่ยวเจี่ยนำเสนอออกมาในช่วงที่เพลงร็อกของจีนเงียบหายไปจากวงการ ตอนนั้นอัลบั้มนี้ถูกมองว่าเป็นความรุ่งเรืองสุดท้ายของเพลงร็อกในประเทศ หลังจากนั้นเลี่ยวเจี่ยก็ไม่ได้ออกผลงานที่เทียบเท่าได้อีกเลย
เวลาเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา เสน่ห์ของเพลงนี้ไม่ได้ลดทอนลง กลับถูกบ่มเพาะด้วยกาลเวลาให้น่าหลงใหลมากขึ้น เพียงแต่หัวใจที่เลี่ยวเจี่ยใช้ร้องเพลงนี้นั้นไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
มีความแปรปรวนของชีวิตและความเหนื่อยหน่ายที่เพิ่มเข้ามา
ทั้งสวนสาธารณะเงียบเสียงลง หลังจากฟังทำนองอันคุ้นเคยจบ ฟังเสียงร้องที่ไม่หนุ่มแน่นอีกต่อไปของเลี่ยวเจี่ย แฟนเพลงเก่าแก่หลายคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หรือไม่ก็ร้องเพลงคลอไปกับเขาเบาๆ
ลมหวนมักถูกพายุฝนกลบจนสิ้น ไม่ว่าพวกเขาจะไม่ยินดีแค่ไหน แต่เพลงร็อกนั้นล้าสมัยไปแล้ว เทศกาลดนตรีในทุ่งหญ้า 72H ไม่อาจฉุดรั้งเพลงร็อกบริสุทธิ์ได้ เหมือนกับที่เลี่ยวเจี่ยไม่อาจฉุดรั้งเพลงร็อกของประเทศไว้ได้
ขณะนี้ แฟนเพลงหลายคนได้ให้อภัยเลี่ยวเจี่ยที่ ‘หักหลัง’ เพลงร็อกของจีน
แค่หลงเหลือช่วงเวลานั้นอยู่ก็เพียงพอแล้ว!
เลี่ยวเจี่ยรับรู้ถึงอารมณ์ของผู้ชม และถูกครอบงำด้วยอารมณ์นั้น สุดท้ายเขาก็น้ำตารื้นขึ้นมา
ดีดตัวโน้ตตัวสุดท้ายจบ เลี่ยวเจี่ยกอดกีตาร์ก้มโค้งอย่างต่ำ
เขาใช้วิธีนี้ขอบคุณแฟนเพลงที่น่ารักที่สุด ที่ซื่อตรงที่สุด ที่ซื่อสัตย์ที่สุด!
“เอาอีก!” “เอาอีก!” “เอาอีก!”
ครู่ต่อมาเสียงร้องเรียกดังสนั่นหวั่นไหวสะเทือนเลื่อนลั่น
เพื่อขอให้เลี่ยวเจี่ยกลับมาขึ้นเวทีอีกครั้ง
ตามกฎของเทศกาลดนตรี 72H ไม่ว่าจะเป็นนักร้องหรือวงดนตรี ล้วนขึ้นเวทีแสดงได้อย่างมากไม่เกินสองเพลง แต่ถ้าแสดงได้ดีมากจนผู้ชมเรียกร้องยังร้องเพิ่มได้อีกเพลง
ผู้ชมในเทศกาลดนตรี 72H ค่อนข้างจู้จี้มาก อยากได้รับการยอมรับจากพวกเขานั้นไม่ง่ายเลย ตั้งแต่ตอนเที่ยงจนถึงตอนนี้ นักร้องและวงดนตรีที่ถูกเรียกร้องให้กลับขึ้นไปบนเวทีใหม่มีเพียงไม่กี่ราย
หลังจากร้องผลงานเพลงร็อกทรงพลังจบไปสองเพลง เลี่ยวเจี่ยไม่เพียงแต่เหงื่อแตกท่วมหัว แม้แต่เสื้อผ้าของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ แต่เขาไม่ได้แสดงท่าทีอ่อนล้า กลับยิ่งฮึกเหิมมากขึ้น โดยเฉพาะดวงตาที่เป็นประกายจนน่าตกใจ
ใครก็ไม่อาจปฏิเสธความต้องการของแฟนเพลงได้ เลี่ยวเจี่ยก็เหมือนกัน
เขาร้องเพลงที่สามซึ่งเป็นเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้เขาเช่นกัน… ‘ไอวี่เฮ้าส์’
เพลงร็อกเพลงนี้ไม่ได้ร้อนแรงเหมือนเพลง ‘คนเก่า’ กลับเจือปนความคิดถึงมากกว่า จังหวะและทำนองออกไปทางดนตรีซอฟต์ร็อก เป็นเพลงจบที่เหมาะสมมาก
เสียงของเลี่ยวเจี่ยแหบแห้งลง แต่เพลง ‘ไอวี่เฮ้าส์’ ยังร้องได้เข้าถึงอารมณ์ขนาดนั้น ทำให้แฟนเพลงเคลิบเคลิ้มตาม
พอถึงตอนสุดท้าย แม้ยังมีแฟนเพลงไม่น้อยตะโกนว่า ‘เอาอีก’ อยู่ เพราะอยากให้นักร้องเพลงร็อกคนนี้อยู่ต่อ
แต่เลี่ยวเจี่ยไม่อาจฝ่าฝืนกฎของเทศกาลดนตรี 72H เขาโค้งตัวลงต่ำแสดงความขอบคุณอีกครั้งแล้วลงจากเวทีไป
เขาปล่อยเวทีให้กับผู้ที่มาใหม่
หลังจากเลี่ยวเจี่ยกลับไปถึงหลังเวที นักร้องทุกคนปรบมือให้เพื่อแสดงออกถึงความเคารพนับถือของพวกเขา
เลี่ยวเจี่ยยิ้มขอบคุณ “ขอบคุณครับ ขอบคุณ!”
เขาเดินกลับมาข้างกายลู่เฉิน ทรุดตัวลงนั่งที่เดิม แล้วยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก อดถามไม่ได้ว่า “เป็นยังไง ยังมั่นใจอยู่ไหม”
สีหน้าท่าทางของเขาเหมือนเด็กน้อยที่เอาหนังสติ๊กอันใหม่มาอวดเพื่อน!
ลู่เฉินยิ้มพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ “พี่เลี่ยวเจี่ยเยี่ยมไปเลย!”
ลู่เฉินเลื่อมใสในความเก่งกาจที่ไม่เสื่อมถอยของเลี่ยวเจี่ย นักร้องบางคนยิ่งอายุมากยิ่งมีรสชาติ เลี่ยวเจี่ยเองก็เป็นแบบนั้น ได้ฟังเพลงสดจากเขามันช่างรู้สึกดีจริงๆ
“นายอย่ามาไม้นี้…”
เลี่ยวเจี่ยถลึงตาใส่เขา แววตาหม่นลงไม่น้อย “ความจริงฉันรู้ เพลงแรกที่ฉันเขียนก็งั้นๆ ตอนนี้ได้แต่อาศัยเพลงเก่ามาเรียกความนิมยมแล้ว”
ลู่เฉินปลอบใจ “พี่เลี่ยว จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้…”
“นายไม่ต้องมาปลอบฉันหรอก!”
เลี่ยวเจี่ยส่ายหน้า เขาตบบ่าลู่เฉิน พร้อมกับลูบไปด้วย “อนาคตของวงการเพลงอยู่ในกำมือของพวกนาย”
ลู่เฉินทำหน้าไม่ถูกจริงๆ
นับจากเลี่ยวเจี่ยแสดงจบจนถึงลู่เฉินขึ้นเวที ระหว่างนั้นยังมีนักร้องสามคนและวงดนตรีอีกหนึ่งวง นักร้องทั้งสามคนที่ร้องเพลงต่อจากเลี่ยวเจี่ยล้วนเป็นนักร้องโนเนม ระดับของผลงานธรรมดา แม้พวกเขาจะพยายามร้องและทำการแสดงอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้รับความชื่นชอบและการยอมรับจากผู้ชมมากนัก
เทศกาลดนตรี 72H มันเป็นแบบนี้ ถ้าแสดงบนเวทีไม่ดี ก็อย่าหวังว่าผู้ชมจะไว้หน้า ที่นี่ไม่มีหน้าม้า หากนักร้องร้องขอเสียงปรบมือจากแฟนเพลง จะได้มาแต่เสียงโห่ไล่
แต่วงเวนส์เดย์ที่แสดงก่อนหน้าลู่เฉิน กลับทำให้คนตาลุกวาว
วงเวนส์เดย์แม้จะพอมีชื่อเสียงในวงการเพลงร็อก นักร้องนำที่ชื่อสือกังเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงที่โดดเด่น เพลง ‘บทกวีแห่งโลก’ ที่เขาเขียนเคยโด่งดังในเทศกาลดนตรี 72H มาแล้วครั้งหนึ่ง จนทำให้กลายเป็นดาวแห่งความหวังของวงการเพลงร็อกในตอนนั้น
แต่วงเวนส์เดย์มีชื่อเสียงในวงการเพลงไม่นาน หลังจากออกอัลบั้มสองชุดแล้วก็ไม่ค่อยมีผลงานใหม่ออกมาอีก หลายปีมานี้เกือบจะสิ้นชื่ออยู่แล้ว
เทศกาลดนตรี 72H ปีนี้ วงเวนส์เดย์กลับมาขึ้นเวทีอีกครั้งพร้อมกับผลงานเพลงใหม่ ต้องเตรียมการมาเป็นอย่างดีแน่นอน!
เพลง ‘เมืองแห่งความเดียวดาย’ และเพลง ‘ความเจ็บปวด’ ทั้งสองผลงานเป็นเพลงซอฟต์ร็อก ทั้งทำนองและเนื้อเพลงล้วนน่าชื่นชม สือกังที่เป็นนักร้องนำตั้งใจแสดงทั้งสองเพลงอย่างเต็มที่ ร้องออกมาได้รสชาติ
จนกระทั่งตอนนี้ เทศกาลดนตรีของปีนี้มีผลงานเพลงที่ถูกเหล่านักร้องนำเสนอออกมาเป็นร้อยเพลง อย่างเพลง ‘เมืองแห่งความเดียวดาย’ และเพลง ‘ความเจ็บปวด’ เรียกได้ว่าเป็นผลงานเพลงชั้นสูง โดยเฉพาะเพลง ‘ความเจ็บปวด’ ที่ยิ่งยอดเยี่ยมเต็มไปด้วยสีสัน ท่อนพีกที่สุดของเพลงทำให้หัวใจของผู้ชมเต้นรัว เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
ทั้งสองเพลงถูกร้องจบอย่างไม่ต้องกังวล วงเวนส์เดย์ถูกเรียกให้กลับมาบนเวทีต่อ
เมื่อกลับสู่เวทีอีกครั้ง พวกเขาเลือกร้องเพลงอันโด่งดัง ‘บทกวีแห่งโลก’
“ลับดาบมาสิบปี!”
เลี่ยวเจี่ยที่อยู่กับลู่เฉินที่หลังเวทีพูดว่า “กังจื่อเติบโตขึ้นจริงๆ…”
ลู่เฉินถาม “พี่กับเขาเป็นเพื่อนกันเหรอ”
เลี่ยวเจี่ยส่ายหน้า “ไม่นับว่าเป็นหรอก เมื่อก่อนรู้จักเคยคุยกันนิดหน่อย วงเวนส์เดย์เคยอยู่ในปักกิ่งมาก่อน ต่อมาย้ายไปที่เซินไห่ ได้ยินว่าทำได้ไม่เลว”
“ตอนนี้พวกเขาต้องอยากกลับมาแน่นอน!”
น้ำเสียงของเลี่ยวเจี่ยหนักแน่น ศูนย์กลางของวงการเพลงป็อปจีนอยู่ที่ปักกิ่ง นักร้องและวงดนตรีที่ไม่ได้เติบโตในปักกิ่ง ถึงจะได้งานดีก็ไม่ถือว่าอยู่ในแวดวงอันสำคัญ
คนอื่นไม่ว่าจะอยู่ที่ฮู่ไห่หรือที่เซินไห่ล้วนเป็นพวกตะเข็บชายแดน
ดังนั้นทั้งนักร้องและวงดนตรีถ้ามีความทะเยอทะยานและความฝัน การอยู่ในเมืองหลวงเป็นทางเลือกเดียว
เทศกาลดนตรีในทุ่งหญ้า 72H ความจริงแล้วเป็นเวทีให้คนหน้าใหม่ได้มาก้าวตามความฝัน
วงเวนส์เดย์เคยมาแล้วจากไป ตอนนี้กลับมาใหม่อีกครั้ง พวกเขาเตรียมตัวมาดี เอาผลงานที่ดีออกมาแสดง
“นายกดดันรึเปล่า”
เลี่ยวเจี่ยยิ้มถามลู่เฉิน “ต่อไปตานายขึ้นเวทีแล้วนะ!”
“กดดันสิครับ!”
ลู่เฉินลุกขึ้นยืน แล้วบอกว่า “แต่ผมไม่กลัวที่สุดก็คือแรงกดดัน!”
ถ้ามีการท้าประลองจริง เขาก็ยินดีจะรับคำท้านั้น!
นี่คือความมั่นใจของลู่เฉิน!
………………………………