ลู่เฉินกำลังฉงนใจมาก จู่ๆไหล่เขาก็ถูกคนตบเบาๆ
เขาหันหน้ากลับไปโดยสัญชาตญาณ เพียงเห็นพี่สาวนาที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่โผล่มาอยู่ข้างหลังตนเอง
ยังมีฉินฮั่นหยางและสมาชิกคนอื่นของวงผั่งหวง*อีกด้วย!
*(ถ้าตั้งชื่อภาษาอังกฤษ จะเป็นวง Hesitate แต่ชื่อวงแปลว่าลังเล ผมเลยเขียนชื่อจีนดีกว่า)
ลู่เฉินอดที่จะรู้สึกดีใจไม่ได้ “พี่สาวนา พี่ชายฉิน พวกคุณมาแล้วหรือครับ?”
“ใช่!”
พี่สาวนายิ้มแย้มกล่าว “ฉันกับพวกต้าฉินมีธุระนิดหน่อยที่ร้าน โชคดีที่ยังไม่ได้มาสาย เธอมาเร็วจังนะ”
ฉินฮั่นหยางพยักหน้า จู่ๆก็กล่าวถาม “เสี่ยวลู่ นายรู้จักกับพวกเสี่ยวเฉิงด้วยเหรอ?”
“เสี่ยวเฉิง?”
ลู่เฉินผงะ “พี่ชายฉิน ที่พี่พูดหมายถึงไอ้หมอนั่นหรือครับ?”
ครั้งนี้กลับเปลี่ยนเป็นฉินฮั่นหยางผงะแทน “อ้าวนี่นายไม่รู้จักหรอกเหรอ? นั่นน่ะเฉิงเซี่ยวตง นักร้องนำของวงฟิต* มักจะอยู่ที่ร้านเฟลมโรสทางด้านนั้น หมู่นี้เป็นวงที่ฮอตมาก”
*(Fit พ้องเสียงภาษาจีนว่า เฟยตู้)
ชื่อของเฉิงเซี่ยวตงลู่เฉินนับว่าเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เพียงแต่เมื่อพูดถึงเฟลมโรส(Flame Rose) นั่นกลับคุ้นเคยทีเดียว
เฟลมโรสเป็นร้านเหล้าที่มีชื่อเสียงมากร้านหนึ่งในย่านซานหลี่ถุน พื้นที่นั้นกว้างขวางมาก กิจการเองก็ร้อนแรงยิ่ง
ว่ากันว่าเฟลมโรสนั้นแรกสุดเปิดร้านที่โฮ่วไห่ แต่เพราะสไตล์การบริหารนั้นสวนทางกับบรรยากาสของโฮ่วไห่ ดังนั้นไม่กี่ปีก่อนจึงย้ายไปเปิดกิจการแถวซานหลี่ถุนแทน คนในวงการต่างทราบกันดี
จะว่าไปแล้วมีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือร้านเหล้าแถวโฮ่วไห่ส่วนมากจะตั้งชื่อตามชื่อดอกไม้ อย่างเช่นบลูโลตัส เดย์ลิลลี่ ไฮยาซินธ์ แดนดิไลออนอะไรอย่างนี้ ไม่เหมือนกับธรรมเนียมการตั้งชื่อของร้านเหล้าแถวซานหลี่ถุนเลย
เฟลมโรสเองก็เป็นเช่นนี้ หลังจากย้ายไปซานหลี่ถุนก็ไม่ได้เปลี่ยนชื่อใหม่
ลู่เฉินฝืนยิ้ม “ไม่รู้จักจริงๆครับ กระทั่งเฟลมโรสผมยังไม่เคยไปเลย หมอนี่จู่ๆก็มาหาผมซะงั้น”
เขาเองก็ไม่ได้บอกว่าเฉิงเซี่ยวตงมายั่วโมโหตัวเอง แต่ฉินฮั่นหยางน่าจะทันเห็นท่าปาดคอของอีกฝ่ายอยู่
พี่สาวนาพูดเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ “เสี่ยวเย่ดูเหมือนจะสนิทกับวงฟิตนะ…”
กลองตีดังไม่ต้องตีซ้ำๆ จากการเตือนของพี่สาวนาบางทีอาจมีเงื่อนงำบางอย่าง ลู่เฉินพอได้ยินก็กระจ่างวูบในทันที
เสี่ยวเย่ก็คือเย่เจิ้นหยาง นักร้องประจำของเดย์ลิลลี่
ฉินฮั่นหยางพูดว่า “พวกเรานั่งก่อนเถอะ คืนนี้ต้องร้องดีๆ เวลาที่พวกเราจะได้ขึ้นแสดงในครั้งนี้ยาวมาก”
งานค่ำคืนดนตรีบลูโลตัสนั้นมีคนดังในวงการมาเข้าร่วมมากมาย นักร้องที่คลุกคลีอยู่ในร้านเหล้ามีใครบ้างไม่คิดขึ้นเวทีเสนอหน้าให้พบโชคเล่า แต่เวลาแสดงมักจะมีจำกัด จัดแบ่งให้ภิกษุมากข้าวก็น้อย
เมื่อก่อนนักร้องของเดย์ลิลลี่เองก็เคยขึ้นเวทีอยู่หลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เกินสิบห้านาทีเลย
แถมงานค่ำคืนดนตรีครั้งนี้ ยังจัดงานได้ยิ่งใหญ่มาก ทั้งยังมีบริษัทบันเทิงใหม่ในวงการเข้าร่วมเป็นสปอนเซอร์ ไม่รู้มีคนเท่าไหร่ที่แม้จะถูกทุบหัวก็ต้องเบียดเข้าไปเสนอหน้าให้ได้
เดย์ลิลลี่นั้นแบ่งเป็นสองนักร้องกับหนึ่งวงดนตรี แต่กลับได้เวลาแสดงไปถึง 30 นาทีเต็มๆ!
กระทั่งเฉินเจี้ยนฮ่าวยังพูด ชางเหล่าต้าช่างให้หน้าตากับเขาจริงๆ
สำหรับเวลาจะแบ่งยังไง ฝั่งบลูโลตัสนั้นไม่คิดสน พวกเขาเพียงแค่สนใจจัดลำดับนักร้องที่ขึ้นเวทีเท่านั้น
ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะอยู่ด้วยกัน
ฉินฮั่นหยางพูดว่า “การแสดงใกล้จะเริ่มแล้ว พวกเรามาแบ่งเวลาขึ้นเวทีกันสักหน่อย พี่สาวนา?”
ใครเป็นคนแบ่งเวลานั้นสำคัญมาก ในฐานะพี่ชายใหญ่ในเดย์ลิลลี่ ฉินฮั่นหยางย่อมรับหน้าที่ได้ไม่ลังเล แต่เขาจะต้องให้เกียรติความเห็นของพี่สาวนาก่อน
พี่สาวนาพูดว่า “ฉันร้องแค่เพลงเดียว ให้ฉันห้านาทีก็แล้วกัน ส่วนเสี่ยวลู่ก็ให้สักสิบนาที เพราะร้องสองเพลง!”
ตามสถานการณ์ปกติ การแบ่งเวลาขึ้นแสดงจะจัดเรียงตามสถานะในวงการ ฉินฮั่นหยางและพี่สาวนาต้องได้ร้องสองเพลง จากนั้นจึงเหลือให้ลู่เฉินเพลงเดียว รวมแล้วห้าเพลง 30 นาทีพอดี
ความยาวของเพลงๆหนึ่งจะประมาณสี่นาที รวมกับขึ้นเวทีลงเวทีแถมพูดนิดหน่อย ก็ประมาณห้านาที
นักร้องเดี่ยวคงพอ วงดนตรีอาจจะลำบากหน่อย ดังนั้นชั่วขณะจึงทำให้ฉินฮั่นหยางลังเลบ้าง
แต่พี่สาวนาจู่ๆกลับยกเวลาของตัวเองให้ลู่เฉินร้องเพลงหนึ่ง นั่นช่างเกินความคาดหมายจริงๆ!
ลู่เฉินรีบพูดว่า “พี่สาวนา ผมร้องเพลงเดียวก็พอครับ”
พี่สาวนายิ้มกล่าว “เพลงเดียวพอได้ยังไงล่ะ? เธอที่นั่งข้างฉันบวกกับซินเดอเรลล่า น้อยไปเพลงอาจน่าเสียดาย น่าจะทำให้ทุกคนรู้ว่าพวกเราเดย์ลิลลี่มีนักร้องที่มีฝีมือคนหนึ่ง แล้วฉันก็จะร้องเพลงที่เธอเขียนเพลงนั้นด้วยนะ!”
ฉินฮั่นหยางจู่ๆก็พยักหน้า แล้วพูดว่า “พี่สาวนาพูดมาก็ไม่ผิด เพลงที่นายเขียนให้พี่สาวนานั่นเพราะมาก!”
ระหว่างที่ลู่เฉินกำลังซาบซึ้ง ฉินฮั่นหยางนั้นเป็นนักร้องที่ค่อนข้างจริงจังคนหนึ่ง ในฐานะนักร้องนำควบตำแหน่งหัวหน้าวงผั่งหวง เวลาส่วนใหญ่ที่เขาอยู่ในเดย์ลิลลี่ต่างมักซ่อนตัวในห้องเล็กกับสมาชิกวงของเขา สองหูไม่รับฟังเรื่องข้างนอก พอถึงเวลาค่อยออกมา
ลู่เฉินทำงานอยู่ในบาร์เดย์ลิลลี่สามปี จำนวนครั้งที่ได้พูดกับพี่ชายใหญ่คนนี้ รวมกับเวลานี้แล้วก็ยังไม่มากนัก!
ดังนั้นพอได้ยินคำชมจากฉินฮั่นหยาง ลู่เฉินกลับได้รับความรู้สึกเมตตาเล็กๆอย่างคาดไม่ถึง
“โชคของฉันดีมากเลย ถึงได้รู้จักเสี่ยวลู่!”
พี่สาวนาหัวเราะอย่างเบิกบาน พูดว่า “เสี่ยวลู่ เพลงที่เธอให้ฉันเพลงนี้ฉันขอให้ต้าฉินช่วยเรียบเรียงให้แล้วละ คืนนี้ฉันจะขึ้นเวทีพร้อมกับวงผั่งหวง จะให้พวกเขามาช่วยฉันเล่นดนตรี แล้วดูจากเวลาที่เหลือก็ให้เธอละกัน!”
พูดถึงการเรียบเรียง ลู่เฉินก็อับอายจริงๆ แม้ว่าในความทรงจำของเขาจะมีผลงานเพลงคลาสสิกมากมาย และพอจัดเรียงโน๊ตเพลงทำนองออกมาได้ไม่มีปัญหาก็ตามที แต่การเรียบเรียงเพลงใหม่ทั้งหมดอีกครั้งหนึ่งนั้นก็มีความสามารถไม่พอจริงๆ
ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าลู่เฉินขาดแคลนความรู้ด้านนี้ เขาจึงต้องไปศึกษาไว้ให้มากด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้แค่เขียนทำนองแต่ไม่เข้าใจการเรียบเรียง อย่างนั้นก็อาจถูกคนวิจารณ์ได้ง่ายๆ
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พี่สาวนาก็ยืนยันและฉินฮั่นหยางก็ไม่มีความเห็น เวลาที่ให้ลู่เฉินสองเพลงจึงกำหนดแล้ว
มือกีตาร์นำของวงผั่งหวง มือเบส มือกลอง และมือคีย์บอร์ด ต่างใช้สายตา“เด็กน้อยนายโชคดีไปแล้ว”มองลู่เฉิน ทำให้เขารู้สึกเขินหนักมาก
ฉินฮั่นหยางหยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะ ลู่เฉินมองดูตารางที่ยังไม่เคยอ่านแว่บหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
พี่สาวนาความรู้สึกไวมาก “ทำไม? มีปัญหาอะไรเหรอ?”
ฉินฮั่นหยางสั่นศีรษะพูดว่า “ปัญหากลับไม่ได้ใหญ่อะไร แค่กำหนดการแสดงของเสี่ยวลู่ไม่ได้พร้อมกับพวกเรา รายการแสดงก่อนหน้าเขาเป็นวงฟิต รายการแสดงต่อไปเป็นของวงจื่อเป่ยเจิน* จากนั้นค่อยเวียนมาถึงรอบของพวกเรา”
*(เป็นการตั้งชื่อวงล้อกับคำว่าเข็มทิศ เพราะเข็มทิศจีนจะหันไปทางทิศใต้เสมอ แต่วงเปลี่ยนมาเป็นทิศเหนือแทน ผมเลยแปลเป็นจีน ไม่แปลเป็นอังกฤษนะครับ)
ตามธรรมเนียมเมื่อก่อน กำหนดการขึ้นเวทีของนักร้องร้านเดียวกันจะถูกจัดให้พร้อมกัน เนื่องจากนักร้องหลายคนจะได้ให้วงดนตรีของร้านตัวเองขึ้นมาช่วยเล่นดนตรีให้ดด้วย อย่างเช่นพี่สาวนากับวงผั่งหวง
แต่สถานการณ์เช่นลู่เฉินที่มีการแบ่งกำหนดการเป็นพิเศษนั้น หาได้ยากมากๆ
พี่สาวนาไม่ได้สนใจ “คงไม่เป็นไรมั้ง? ฝีมือการร้องของเสี่ยวลู่เหมาะกับการโซโล่ที่สุด!”
ฉินฮั่นหยางพึมพำกล่าว “ฉันได้ยินว่างานค่ำคืนดนตรีครั้งนี้ จุดสำคัญคือการโปรโมทให้กับวงจื่อเป่ยเจิน”
วงจื่อเป่ยเจินก่อตั้งขึ้นเมื่อสองปีก่อน นักร้องนำวงกานหล่างนั้นเป็นนักร้องที่มีความสามารถคนหนึ่ง ตอนนี้สังกัดบาร์บลูโลตัสอยู่ ซึ่งวงจื่อเป่ยเจินนั้นเล่นสไตล์ซอร์ฟร็อคจนมีชื่อเสียงอยู่ในวงการ สำหรับด้านชื่อเสียงนั้นมากกว่าวงผั่งหวงเสียอีก
ข่าวที่ฉินฮั่นหยางได้รับมาก็คือ วงจื่อเป่ยเจินจะเปลี่ยนมาอยู่ในสังกัดบริษัทไลท์เรนมีเดียแล้ว ค่ำคืนบลูโลตัสครั้งนี้จึงเป็นการจัดเพื่อโปรโมทให้กับวงจื่อเป่ยเจิน ตอนที่การแสดงจบก็จะประกาศอย่างเป็นทางการ
ไลท์เรนมีเดียกระทั่งยังออกหน้าเชิญนักกับวงการมาจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนั้นการแสดงในคืนนี้ของวงจื่อเป่ยเจินย่อมสำคัญมากที่สุดในงาน หากลู่เฉินตัดไว้ก่อนพวกเขา แล้วยังมีวงฟิตที่หมู่นี้กำลังโด่งดังเล่นก่อนอีก ดูยังไงก็เหมือนถูกกระหนาบหน้าหลังเลยนะนั่น
ฉินฮั่นหยางและพี่สาวนาต่างเป็นมือเก๋าในวงการ วิเคราะห์เพียงชั่วครู่ก็เข้าใจแล้ว ฝ่ายหลังลังเลหน่อยๆ จึงพูดว่า “เสี่ยวลู่ เธอเปลี่ยนเพลงดีไหม?”
วงฟิตและวงจื่อเป่ยเจินต่างเดินแนวทางเพลงร็อค การแสดงของพวกเขาย่อมง่ายมากที่จะกระตุ้นทั่วทั้งงาน จนทำให้อารมณ์ของผู้ชมเร่าร้อนกันขึ้นมา และชักนำให้บรรยากาศของทั่วทั้งงานคึกคัก
ถ้าหากใส่วงผั่งหวงคั่นกลาง ด้วยฝีมืออันเฉียบขาดของฉินฮั่นหยางย่อมควบคุมเวทีได้โดยสมบูรณ์ แต่ถ้าระหว่างที่ทุกคนตื่นเต้นเร่าใจอยู่นั้น ลู่เฉินอุ้มกีตาร์ขึ้นไปร้องเพลงเธอที่นั่งข้างฉันหรือซินเดอเรลล่าละก็…
บางทีร้องได้ไม่กี่คำก็อาจถูกคนโห่ไล่ลงเวทีแล้ว——สไตล์มันต่างกันเกินไป!
ผู้ชมที่มาร่วมงานค่ำคืนดนตรีนั้นไม่ใช่กลุ่มแฟนคลับของใครคนใดคนหนึ่ง หากพวกเขาคิดว่าไม่ดีก็อาจเริ่มโห่ไล่ทันที มีนักร้องน้อยมากที่จะสามารถยืนหยัดอยู่ภายใต้สถานการณ์ปล่อยไก่แบบนั้นได้
ฉินฮั่นหยางพูดสนับสนุน “ใช่ เปลี่ยนเป็นเพลงที่คึกคักกว่านี้สักหน่อย วงพวกเราจะได้มาช่วยเล่นดนตรีให้นายด้วย!”
รายชื่อนักร้องได้กำหนดไปแล้ว ย่อมไม่อาจเปลี่ยนคนขึ้นเวทีกระทันหัน อย่างนั้นก็เท่ากับไม่เคารพคนจัดงานแล้ว แต่นักร้องกับวงดนตรีขึ้นไปเล่นพร้อมกันได้ไม่มีปัญหา
มีวงผั่งหวงมาเสริมทัพ กระแสบนเวทีของลู่เฉินย่อมไม่แย่ แต่เพลงแต่งทั้งสองเพลงคงได้แต่ยอมแพ้ไป
ถึงตอนนี้ ลู่เฉินไหนเลยไม่ทราบ จะให้ตนเองถูกคนยึดถือเป็นหินรองเท้าเชียวหรือ ไม่แปลกเลยว่าเมื่อครู่คนของวงฟิตอะไรนั่นถึงได้มายั่วโมโห
“ขอบคุณพี่ชายฉิน ขอบคุณพี่สาวนา แต่ผมคิด่าผมขึ้นไปบนเวทีเองคงไม่มีปัญหา!”
ลู่เฉินรู้สึกซาบซึ้งมากที่ฉินฮั่นหยางและพี่สาวนาตักเตือนและหวังดี แต่เขาไม่มีความคิดจะหดหัวแต่อย่างใด
กลับกระตุ้นความคิดต่อสู้ขึ้นมาอย่างถึงที่สุด!
คิดจะเหยียบฉันหรือ? อย่างนั้นก็มาดูว่าที่แท้ใครจะเหยียบใครกันแน่!