ตอนที่ 348 แก้ความเข้าใจผิด
ฟางฮุ่ยรีบเร่งมาอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่วิ่งมาถึงออฟฟิศของลู่เฉิน สีหน้าของเธอแดงก่ำ เม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก สีหน้าร้อนใจแฝงไปด้วยความละอายใจ
“ลู่เฉิน ฉันไล่ผู้จัดการของฉันออกแล้ว!”
ลู่เฉินตกใจ รีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “พี่ฟางฮุ่ย พี่ไม่ต้องรีบ มีเรื่องอะไรนั่งลงแล้วค่อยๆ พูดครับ”
ฟางฮุ่ยก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำแบบนี้ไม่ถูก จึงพยักหน้าแล้วนั่งลงบนโซฟา
ลู่เฉินชงน้ำชาให้เธอหนึ่งถ้วย
ฟางฮุ่ยก็ไม่เกรงใจ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มหนึ่งที จิตใจสงบมากขึ้น
เธอโกรธพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเธอมากจริงๆ
หลังจากปีใหม่ ฟางฮุ่ยก็ถ่ายทำละครซิทคอมสิบตอนมาโดยตลอด นี่คืองานที่รับไว้เมื่อปีที่แล้ว ถึงแม้ทุกวันนี้จะเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนอย่างใหญ่หลวง แต่เธอก็ไม่คิดจะหักหลังและผิดสัญญาเลย
ทำงานในสายอาชีพนี้ ความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงสำคัญมาก ไม่ว่าใครก็ไม่ชอบร่วมงานกับคนที่กลับกลอก
แต่นักลงทุนก็มีเหตุผลมาก จ่ายค่าจ้างผู้กำกับให้เธอเพิ่มขึ้นจากเดิมสองสามเท่า และยังได้รับการปฏิบัติที่ดีมากเวลาที่อยู่ในกองถ่าย ถูกมองเป็นผู้กำกับตัวท็อปในวงการอย่างสิ้นเชิง
รวมทั้งนักแสดงพวกนั้น ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงหรือไร้ชื่อเสียง แต่ละคนก็เรียก ‘ผู้กำกับฟาง’ ‘ผู้กำกับฟาง’ อย่างเป็นมิตรและกระตือรือร้น ท่าทีให้ความเคารพเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีใครกล้าทำตัวโอ้อวดยามอยู่ต่อหน้าเธอ
ฟางฮุ่ยเป็นผู้กำกับมาหลายปีแล้ว แต่เพิ่งได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพแบบนี้เป็นครั้งแรก
เธอรู้ดีถึงสาเหตุที่อยู่ในนั้น
เนื่องจากเธอฟางฮุ่ยได้กำกับละครโทรทัศน์ระดับปรากฏการณ์เรื่องหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ไม่เพียงแต่ทำลายสถิติในประเทศจีน ยังสร้างปาฏิหาริย์ในเกาหลีอีกด้วย จึงมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการภายในระยะเวลาอันสั้น!
เริ่มตั้งแต่ปีนี้ ก็มีนักลงทุนและบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์หลายแห่งมาหาเพื่อเชิญเธอไปกำกับการแสดง และมีหลายเจ้าให้ข้อเสนอที่ทำให้เธอใจเต้น
เพียงแต่ตอนนี้ในมือของฟางฮุ่ยมีงานที่กำลังทำอยู่ และที่สำคัญที่สุดคือลู่เฉินอยากมอบละครเรื่องใหม่ให้เธอเป็นคนกำกับต่อ ดังนั้นการเชื้อเชิญของคนอื่น ฟางฮุ่ยจึงปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
คิดไม่ถึงว่าวันนี้เฉินเฟยเอ๋อร์จะโทรมาหาเธอ บอกว่าลู่เฉินเจรจากับผู้จัดการส่วนตัวของเธอไม่ค่อยราบรื่น อาจจะหาคนอื่นมาร่วมงานละครเรื่องใหม่ จึงถามเธอว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ฟางฮุ่ยตอนนั้นงงมาก
ผู้จัดการส่วนตัวของเธอไปคุยเรื่องสัญญาละครเรื่องใหม่ที่สตูดิโอลู่เฉิน แน่นอนว่าเธอรู้ เพราะเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ให้ผู้จัดการส่วนตัวเป็นคนออกหน้าจะดีกว่า ทุกคนไม่จำเป็นต้องเก้อเขินเรื่องค่าตอบแทน
แต่เนื่องจากหลายวันนี้เธอง่วนอยู่กับการเก็บงานส่งท้ายละครซิทคอม ฟางฮุ่ยจึงไม่ได้สนใจส่วนนี้ เพราะถึงอย่างไรละครใหม่ของลู่เฉินก็ยังไม่ได้เริ่มถ่ายทันที แต่กลับคิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์ที่รอคอยจะเป็นเช่นนี้
ฟางฮุ่ยจึงเรียกผู้จัดการส่วนตัวของตัวเองมาถามทันที ซึ่งก็คือฟางจวินพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเธอ
จากการบังคับถามของเธอ ฟางจวินจึงพูดความจริงออกมา ที่แท้เขาก็เพิ่มรายละเอียดในสัญญาใหม่ด้วยตัวเองอีกหลายข้อ จุดประสงค์คืออยากดึงผลประโยชน์มาให้ฟางฮุ่ยให้มากที่สุด
แต่การปฏิเสธที่เด็ดขาดของลู่เฉินเป็นสิ่งที่ฟางจวินคาดคิดไม่ถึง เขาคิดว่านี่คือแผนการต่อรองราคาของลู่เฉิน เตรียมจะสู้กับลู่เฉินอย่างอดทนดูสักตั้ง อย่างไรก็ตามจะถูกลู่เฉินเอาเปรียบฟรีๆ ไม่ได้
ในมุมมองของฟางจวิน แม้ว่าจะไม่ได้ร่วมงานกับลู่เฉินต่อ ฟางฮุ่ยก็สามารถร่วมงานกับคนอื่นได้ พวกนักลงทุนที่มาหาเธอก็ยินดีที่จะจ่ายเงินจำนวนมาก มีความจริงใจมากกว่าลู่เฉินเสียอีก
เขาก็คิดเพื่อฟางฮุ่ยเช่นกัน!
เมื่อฟางฮุ่ยฟังจบ ก็อยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาทันที
อะไรที่เรียกว่าวิสัยทัศน์ไม่กว้างไกล มองพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเธอคนนี้ก็รู้แล้ว โง่มากจริงๆ!
ด้วยนิสัยของลู่เฉิน เขาไม่เคยเอาเปรียบคนของตัวเอง เขาอยากให้ฟางฮุ่ยถ่ายละครเรื่องใหม่ อย่างแรกเพราะนึกถึงมิตรภาพเก่าๆ ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ร่วมงานกันอย่างมีความสุขมาก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ลู่เฉินจะตกลงตอบรับคำขอที่ไม่สมเหตุสมผลบางส่วน อย่างเช่นส่วนแบ่งกำไรของลิขสิทธิ์
ฟางฮุ่ยโกรธฟางจวินมากจริงๆ ถึงแม้จะเป็นการต่อรองราคา แต่ระบุความต้องการแบบนี้ในสัญญาก็ไม่มีมารยาทมาก และทำให้เธอต้องอับอายขายหน้า
ส่วนพวกนักลงทุนที่มาหาเธอ พวกเขาให้ข้อเสนอที่ไม่เลวทีเดียว แต่อันที่จริงก็อยากใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของเธอในตอนนี้เพื่อสร้างกระแส และบทละครที่เสนอมาส่วนใหญ่เป็นผลงานที่เลียนแบบ ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’
ถ้าหากคนเขียนบทเขียนได้มีสีสันก็ยังโอเค พูดตามจริงมีโครงเรื่องมากมายที่ฟางฮุ่ยเห็นแล้วทนดูต่อไม่ได้ อีกทั้งเธอยังรู้ว่าโดยทั่วไปพวกนักลงทุนจะเตรียมบทบาทให้นักแสดงเอาไว้แล้ว ชอบนำกลุ่มนักแสดงที่เติบโตขึ้นมาโดยใช้กฎในที่ลับมาร่วมงานด้วย และมักจะเร่งรีบผลิตงานเพราะอยากได้ผลประโยชน์โดยเร็ว สุดท้ายงานที่ถ่ายออกมาก็ไม่เข้าท่า
ตอนนี้เธอพอจะมีชื่อเสียงแล้ว แต่ชื่อเสียงก็ถูกทำลายได้ง่ายเช่นกัน
เมื่อเทียบกันแล้ว ลู่เฉินมีความน่าเชื่อถือมากกว่า ฟางฮุ่ยยอมรับเงินเดือนต่ำเพื่อร่วมงานละครใหม่ของเขา แต่ไม่ยอมทำตามความคิดของคนอื่นเพื่อเงินเล็กๆ น้อยๆ
ขอเพียงตัวเองได้ทำละครดังอีกสองสามเรื่อง ตำแหน่งในวงการของเธอก็มั่นคงแล้ว เวลาหาเงินก็ยิ่งสบาย
น่าเสียดายฟางจวินมองจุดนี้ไม่เห็น เขาถูกผลประโยชน์ตรงหน้าบดบังดวงตา เกิดความโลภมากเกินไป
ฟางฮุ่ยถึงขนาดรู้ว่า ฟางจวินมีการไปมาหาสู่กับนักลงทุนหลายคนอย่างใกล้ชิด
เดิมทีเธอก็ไม่สนใจ เพราะไม่ว่าใครก็มีความเห็นแก่ตัว แต่ตอนนี้ไม่สามารถทนได้จริงๆ ดังนั้นจึงไล่ฟางจวินออกไปอย่างเด็ดขาด และมาขอโทษลู่เฉินด้วยตัวเอง
หากพลาดโอกาสนี้ เธอจะไม่ยอมให้อภัยตัวเอง
เมื่อฟังคำอธิบายอย่างจริงใจของฟางฮุ่ยจบแล้ว ลู่เฉินก็รู้สึกอายเล็กน้อย จะว่าไปแล้วเขาน่าจะให้ลู่ซีเซ็นสัญญากับอีกฝ่ายตั้งแต่เนิ่นๆ เช่นนั้นก็ไม่ต้องทะเลาะกันจนถึงขั้นนี้
แต่ก็ยังไม่สายเกินแก้ ในเมื่อแก้ไขความเข้าใจผิดแล้ว เช่นนั้นทุกคนก็ยังร่วมงานกันต่อได้
ทัศนคติในการทำงานและความสามารถในการจับเรื่องราวของฟางฮุ่ย ลู่เฉินชื่นชมเป็นอย่างมาก
เขาเอ่ยว่า “ก็ไม่ต้องไล่เขาออกไปหรอกครับ ผมให้ลู่ซีคุยสัญญาใหม่กับเขาอีกครั้งก็โอเคแล้ว”
ผู้จัดการส่วนตัวชอบคิดแทนคนที่ตัวเองดูแลเป็นเรื่องธรรมดา แถมฟางจวินยังเป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฟางฮุ่ยด้วย แม้การเสนอเงื่อนไขแบบนี้ดูจะมากเกินไป แต่ก็เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ให้ฟางฮุ่ย
ฟางฮุ่ยยืนกรานพลางส่ายหน้า “ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น นายให้ลู่ซีร่างสัญญามาให้ฉันก็พอ”
ความหมายของเธอชัดเจนมาก ไม่ว่าลู่เฉินจะเสนอเงื่อนไขอะไร เธอก็ตกลงทั้งหมด
ลู่เฉินก็คงไม่เอาเปรียบเธอหรอกใช่ไหมล่ะ
ลู่เฉินไม่ทำเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่ได้ครับ รอให้พี่หาผู้จัดการคนใหม่ก่อนแล้วค่อยคุยครับ”
“อ้อใช่ ผมกับพี่หลีนัดกันตอนบ่ายจะไปที่วิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่ง พี่ฟางฮุ่ยก็ไปด้วยกันสิครับ!”
ได้ยินประโยคเหล่านี้ ความกดดันที่อยู่ในใจของฟางฮุ่ยจึงเบาลง เธอเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “คัดเลือกนักแสดงให้ละครใหม่ใช่ไหม สตูดิโอของนายเตรียมจะเซ็นสัญญาเด็กใหม่เข้ามาสองสามคนเหรอ”
สตูดิโอดาราเซ็นสัญญาศิลปินหน้าใหม่เป็นเรื่องปกติ และด้วยความสามารถของลู่เฉิน จะปั้นเด็กใหม่สองสามคนให้ดังนั้นง่ายมาก
ลู่เฉินส่ายหน้า พลางเอ่ยว่า “ผมจะให้เซ็นกับบริษัทของพี่หลีครับ มีต้นกล้าที่ดีก็เลี้ยงดูร่วมกัน”
ฟางฮุ่ยเข้าใจทันที ดวงตาเธอเป็นประกายแล้วตบมือกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็เซ็นกับพี่หลีไม่ดีเหรอ!”
นั่นคือวิธีที่ดีที่สุด พี่หลีมีชื่อเสียงที่ดีในวงการ ฟางฮุ่ยเซ็นสัญญาเข้าไปก็ไม่เสียหาย และยังสามารถกระชับความสัมพันธ์กับลู่เฉินให้ใกล้ยิ่งขึ้น เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวอย่างสิ้นเชิง
ลู่เฉินตกตะลึงไปชั่วครู่ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มทันที “งั้นพี่ก็ลองคุยกับพี่หลีสิครับ พวกเราก็ไปด้วยกัน”
เขากับฟางฮุ่ยออกจากสตูดิโอพร้อมกัน ขับรถมุ่งหน้าไปยังวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งเพื่อเจอกับพี่หลี
เมื่อทั้งสองคนเร่งมาถึงวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่ง พี่หลีได้พาผู้ช่วยมารอที่หน้าประตูใหญ่วิทยาลัยแล้ว
พอเห็นฟางฮุ่ย พี่หลีอดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย
เพราะเธอได้ยินข่าวมาว่า ละครใหม่ของลู่เฉินจะไม่ร่วมงานกับฟางฮุ่ยแล้ว และกำลังหาผู้กำกับคนอื่นอยู่
ข่าวลือเชื่อถือไม่ได้จริงๆ
แต่เมื่อเจอหน้าและพูดคุยกันสองสามประโยค จึงรู้ว่าฟางฮุ่ยอยากจะเซ็นสัญญากับบริษัทเอเจนซี่ของตัวเอง พี่หลีจึงเข้าใจ
เธอยิ้มแล้วเอ่ยว่า “อย่างนั้นก็ดีจริงๆ ขอเพียงผู้กำกับฟางไม่รังเกียจบริษัทเรนโบว์เล็กๆ ของพวกเรา เงื่อนไขอะไรก็พูดได้หมดค่ะ!”
บริษัทเรนโบว์เอเจนซี่ที่พี่หลีบริหารค่อนข้างมีชื่อเสียงในวงการ ศิลปินที่เซ็นสัญญาภายใต้สังกัดก็มีไม่น้อย ผู้กำกับก็มีอยู่สองสามคน แต่เป็นผู้กำกับระดับสามและระดับสี่เท่านั้น
ในวงการบันเทิง ผู้กำกับภาพยนตร์โทรทัศน์มีตำแหน่งสูงมาโดยตลอด ผู้กำกับแถวหน้าส่วนใหญ่จะเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง และจะเลือกร่วมงานกับบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์หรือสถานีโทรทัศน์ จะไม่ยอมจำนนต่อบริษัทเรนโบว์เอเจนซี่แบบนี้แน่นอน
เดิมทีฟางฮุ่ยเป็นผู้กำกับระดับสองระดับสาม แต่เนื่องด้วยละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ จึงดันให้เธอเป็นผู้กำกับละครโทรทัศน์แถวหน้าทันที สามารถพูดได้ว่ามีอนาคตสดใสไร้ขีดจำกัด
เธอยินดีร่วมงานกับเรนโบว์เอเจนซี่ สำหรับพี่หลีแล้วเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์มาก
ผู้กำกับอย่างฟางฮุ่ย สามารถเป็นเสาหลักและป้ายหน้าร้านของบริษัทได้อย่างสิ้นเชิง แค่ดำเนินการอย่างเหมาะสมก็มากพอที่จะทำให้เรนโบว์เอเจนซี่ก้าวขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น
พี่หลีชูสองมือต้อนรับแน่นอน!
…………………………………………………………………………