ลู่เฉินยืนกรานว่าตัวเองจะขึ้นเวทีเอง
ฉินฮั่นหยางกับพี่สาวนาต่างมองหน้ากัน ลอบใช้สายตาตกลงกันดีแล้วจึงไม่ได้แนะนำอะไรอีก
เพราะคนทั้งสองต่างเคยอายุน้อย และเคยเลือดร้อนเหมือนกัน และเมื่อเผชิญหน้ากับการกดขี่และความไม่ยุติธรรมก็เคยพยายามต่อต้านเช่นกันด้วย ไม่ว่าผลสุดท้ายจะสำเร็จหรือล้มเหลว พวกเขาก็เคยพยายาม!
ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจการยืนกรานของลู่เฉิน จึงไม่อยากจะใช้ฐานะของผู้อาวุโสไปสั่งสอนลู่เฉิน แม้ว่าจะหวังดีก็ตาม
อายุน้อยไม่ล้มเหลว คนผู้หนึ่งมีเพียงผ่านอุปสรรคและความพ่ายแพ้เท่านั้นจึงจะเติบใหญ่อย่างแท้จริง!
พี่สาวนากล่าวให้กำลังใจ “พยายามเข้า พวกเราทุกคนจะสนับสนุนเธอ!”
ฉินฮั่นหยางเองก็พยักหน้าด้วย
เพียงแต่สมาชิกคนอื่นๆอีกทั้งสี่คนของวงผั่งหวง กลับมีสีหน้าพิลึกอยู่บ้าง หันมาส่งสายตาแปลกๆให้กับลู่เฉิน
ดูเหมือนพวกเขา จะเห็นว่าลู่เฉินนั้นไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กลับยึดถือความหวังดีของพี่ชายฉินและพี่สาวนาเป็นตับปอดลา* เขายืนยันจะขึ้นเวทีไปแบบนี้ย่อมต้องเสียเปรียบ เพียงแต่เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นคงจะถูกคนไล่ลงจากเวทีมา
*(ประมาณว่าของไม่ดี)
บรรยากาศของค่ำคืนดนตรีบลูโลตัส ไม่ใช่สิ่งที่ด้านในร้านเหล้าจะเปรียบเทียบได้ คนสองสามพันรวมตัวกันอยู่ส่งเสียงกู่ร้องพร้อมกัน คลื่นเสียงที่เปล่งออกมาแทบจะพลิกเพดานได้ ถ้าหากใจไม่แข็งพอ จึงง่ายมากที่จะประหม่าและปล่อยไก่
ถ้าไม่ใช่ฉินฮั่นหยางไม่พูดละก็ พวกเขาก็คงจะทำให้ลู่เฉินหัวโล่งไปแล้ว——นายคิดว่านายเป็นใครวะ?
ลู่เฉินจู่ๆก็หัวเราะ “พี่สาวนา คืนนี้ผมเตรียมเพลงใหม่มาด้วย”
ในหมู่ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ พี่สาวนาเป็นคนที่กังวลเกี่ยวกับเขาที่สุด ดังนั้นลู่เฉินไม่คิดจะปิดบังอำพรางเธอเอาไว้ จึงถือโอกาสโยนความหนักใจออกไป “หวังว่าคงไม่ทำให้ขายหน้าพวกเราเดย์ลิลลี่!”
พี่สาวนาสายตากระจ่างวูบทันที “จริงเหรอ? ในเมื่อเธอเก็บของดีเอาไว้ อย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว ฉันเชื่อใจฝีมือเธอ!”
เพลงดีๆที่เขาสามารถเขียนออกมาให้เธอได้แบบนั้น ด้วยการเตรียมพร้อมของลู่เฉิน จะสร้างปัญหาได้ยังไงเล่า?
กล่าวจากความสัมพันธ์ในตอนนี้ พี่สาวนาก็นับว่าเป็นแฟนคลับของลู่เฉินแล้ว
ความคิดฉินฮั่นหยางนั้นสับสนกว่าหน่อย เมื่อก่อนตามปกติเขาไม่ได้มีความประทับใจต่อลู่เฉินมากนัก แม้ว่าฝ่ายหลังจะทำงานในเดย์ลิลลี่มานานครึ่งปีกว่า คนทั้งสองก็พูดกันเพียงไม่กี่คำเท่านั้น
จนกระทั่งภายหลังช่วยพี่สาวนาเรียบเรียงเพลง จึงค่อยรู้ว่าที่แท้ข้างกายตัวเอง ยังมีคนหนุ่มมีฝีมือเช่นนี้อยู่คนหนึ่ง
เพียงแต่ฉินฮั่นหยางเข้าใจว่า ผลงานเพลงโฟล์คทั้งสองเพลงของลู่เฉิน ยังไม่สู้เพลงที่เขาเขียนให้กับพี่สาวนาเท่านั้น
ตอนนี้ได้ยินลู่เฉินบอกว่าเขาเขียนเพลงใหม่อีกเพลงออกมา ภายในใจของเขานั้นรู้สึกหดหูจริงๆ
ฉินฮั่นหยางเองก็เคยแต่งเพลงอยู่ รับรู้ได้ถึงความยากในการแต่งเพลงอย่างมาก การจะแต่งเพลงดีๆออกมาสักเพลงนั้นไม่ง่ายดายเลย
ลู่เฉินเพียงอาศัยสามเพลงนี้ ก็มีคุณสมบัติขึ้นเทียบชั้นนักแต่งเพลงระดับหนึ่งถึงระดับสองได้โดยสมบูรณ์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากความปรารถนาในการแต่งเพลงของเขายังรุนแรงขึ้น และแรงบันดาลใจยังสดใหม่ต่อเนื่องเช่นนี้ ต่อไปจะกลายเป็นมืออาชีพก็ไม่ใช่ความเพ้อเจ้อแล้ว
ถ้าหากนะ!
นอกหน้าต่าง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
หลอดไฟทั้งหมดที่ติดตั้งบนเวทีแสดงต่างสว่างโร่ แสงสว่างสาดใส่กลุ่มคนที่เบียดเสียด บรรยากาศทั้งคึกคักทั้งเอะอะ ทำให้คนคล้ายกับอยู่กลางแสงอาทิตย์ในฤดูร้อน
ห่างจากเวลาเริ่มงานค่ำคืนดนตรีอย่างเป็นทางการเพียงครึ่งชั่วโมงกว่า ฝูงชนในงานส่วนใหญ่ได้มาถึงกันแล้ว เหล่าหนุ่มๆสาวๆนั่งพูดคุยเล่นกันบนเก้าอี้พลาสติก และมีบางคนยกป้ายไฟและแท่งเรืองแสงอีกด้วย
ด้านบนเวที หน้าจอLEDขนาดยักษ์กระพริบเปลี่ยนเป็นภาพแสงสีพร่าเลือน อุปกรณ์อย่างกลองชุดและเครื่องสายไฟฟ้าจัดเตรียมไว้เสร็จสรรพ แค่รอให้วงดนตรีขึ้นมาใช้
ตามธรรมเนียมการขึ้นเวทีแสดง เครื่องดนตรีที่เคลื่อนย้ายไม่สะดวกเหล่านั้นได้รับการจัดเตรียมไว้โดยร้านบลูโลตัส ดังนั้นมือคีย์บอร์ดมือกลองของวงดนตรีบางวงจะขึ้นมาลองเทสเสียงให้คุ้นมือ การกระทำของพวกเขามักจะดึงดูดให้คนที่อยู่ข้างล่างส่งเสียงฮืออาเป็นพักๆ
ซึ่งระเบียงชั้นบนของบาร์บลูโลตัสนั้น บรรยากาศของโซนวีไอพีค่อนข้างสบายๆกว่ามาก
พวกสุภาพบุรุษที่แต่งตัวเนี๊ยบกับพวกสุภาพสตรีที่ตั้งใจเสริมสวยต่างยกแก้วแชมเปญบ้างแก้วไวน์บ้าง รวมกลุ่มกันสองสามคนพูดคุยสนทนากัน ส่วนเหล่าเด็กเสิร์ฟที่สวมชุดพนักงานก็ถือถาดวางแก้วเหล้าและกับแกล้ม เดินผ่านไปผ่านมากลางฝูงชนโดยไม่วอกแวก เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยทุกอย่าง
คนที่ดึงดูดความสนใจที่สุดในจำนวนนั้น ก็คือหญิงสาวที่เรือนร่างเพียวบางอรชร สวมเสื้อยืดตัวยาวคนหนึ่ง หล่อนถูกคนไม่น้อยห้อมล้อมดุจดาวล้อมเดือน กลายเป็นจุดโฟกัสของทั้งหมด
หญิงสาวที่สวมเสื้อยืดคนนี้มีหน้าตาละเอียดอ่อนงดงาม หล่อนเกล้าผม ใช้แว่นไทเทเนียมกรอบดำปิดบังดวงตาหงส์อันน่าลุ่มหลงเอาไว้ ใบหน้าหยกผัดแป้งบาง ทำให้ดูโดดเด่นงดงาม
“ประธานต่ง ไม่ได้เจอกันนานเลยประธานต่ง…”
แม้จะถูกคนมากมายรุมล้อม เยินยอผสานความใกล้ชิดที่ทำให้คุ้นเคยไม่แปลกแยก ใบหน้าของหญิงสาวที่ถูกคนเรียกว่า“ประธานต่ง”รักษาสีหน้ายิ้มแย้มมีมารยาทอยู่ตลอด ตอบคำถามและถ้อยคำสนิทสนมของคนอื่นอย่างมีมารยาท
เพียงแต่ดวงตาที่ซ่อนไว้หลังแว่น พลิกเปลี่ยนเป็นจำใจอยู่บ้าง สะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์แท้จริงในใจของหล่อน
ต่งอวี่ อายุ 27 ปี ประธานกรรมการผู้จัดการทั่วไปของบริษัทไลท์เรนมีเดีย เพิ่งจะกลับมาจากต่างประเทศตอนต้นปี[1]
แม้ว่าจะมีเบื้องหลังตระกูลที่ไม่ธรรมดา นางรู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องมาเผชิญหน้ากับพวกผู้ชายที่มีแววตาทั้งกระหายทั้งเลื่อมใสแถมน้ำลายไหลยืดเหล่านี้เลย แต่จะอย่างไรเป้าหมายแฝงในการกระทำนี้ จุดสำคัญยิ่งคือสายสัมพันธ์นั่นล่ะ
โชคดีที่ซูชิงเม่ยโผล่ออกมา จึงช่วยให้ต่งอวี่รอดพ้นไปได้อย่างหวุดหวิด!
คู่หูพี่สาวน้องสาวทั้งสองนี้แอบหลบมาคุยกันตรงมุมโซน เหล่าสุภาพบุรุษที่จ้องหาโอกาสได้แต่เพียงจากไปอย่างคับแค้น
“คืนนี้ฉันไม่น่ามาเลย…”
ต่งอวี่เปิดกระเป๋าถือที่นำติดตัวมา หยิบเอาบุหรี่กับไฟแช็คออกมาอย่างชำนาญ แล้วจุดบุหรี่เปเปอร์มิ้นท์มวนหนึ่ง กล่าวตำหนิซูชิงเม่ยว่า “ทิ้งฉันเอาไว้ที่นี่ แต่เธอกลับหนีหายไม่เห็นหัวเลยนะยะ!”
นิสัยเคยชินกับการจุดบุหรี่ติดตัวมาตั้งแต่เรียนอยู่ต่างประเทศแล้ว จริงๆแล้วตัวหล่อนก็ไม่ได้ชอบนักหรอก เพียงแต่ตอนที่กลัดกลุ้มก็ต้องจุดสักมวน จะมากจะน้อยยังสามารถปรับอารมณ์ได้สักหน่อย
ซูชิงเม่ยยิ้มกล่าว “ตอนนี้ฉันไม่ได้ช่วยเธอไว้แล้วหรือไง? แต่มีเพื่อนมากสักหน่อยก็เป็นเรื่องดี เธอไม่อาจขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานไปจนแก่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นคงได้กลายเป็นยายแก่ทึนทึกไป!”
“ซูชิงเม่ย!”
ต่งอวี่ดับบุหรี่ตรงที่เขี่ยบุหรี่ หรี่ดวงตาหงส์กล่าวเดือดดาล “นี่เธออยากถูกตีก้นใช่ไหม?”
“ไม่กล้า…”
ซูชิงเม่ยรีบอ้อนวอน “พี่สาวอวี่ฉันรู้ว่าผิดไปแล้ว เมื่อกี้ฉันเพิ่งวิ่งไปคัดเลือกคนมีฝีมือมาให้บริษัทหรอกนะ”
เธอแสร้งทำท่าหวาดกลัวอย่างน่ารักน่าสงสาร ทำให้ต่งอวี่มองจนทั้งโมโหทั้งขบขัน ในใจกลับผุดความคิดบางอย่าง สาวงามหยดย้อยน่ากินเช่นนี้ ไม่ทราบสุดท้ายจะเสียเปรียบเจ้าลูกเต่าตัวไหน!
ต่งอวี่กล่าวถามว่า “อย่างนั้นเธอหาพบแล้วเหรอ?”
ซูชิงเม่ยเบะปาก พูดว่า “ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรขนาดนั้นนี่ รอสักพักค่อยดูๆไปก็แล้วกันค่ะ”
ต่งอวี่มีความคิดแวบในใจ กล่าวถามว่า “ครั้งก่อนเธอไม่ใช่พบคนใหม่ที่มีอนาคตที่ร้านพี่เจี้ยนฮ่าวคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้ไม่มีข่าวคราวแล้วล่ะ?”
ซูชิงเม่ยแตกตื่น กล่าวถามอย่างประหลาดใจว่า “พี่สาวอวี่พี่รู้ได้ยังไงเนี่ย?”
เรื่องที่เธอโดนลู่เฉินแหกหน้าที่ร้านนั่น ไหนเลยจะมีหน้าบอกกับต่งอวี่ก่อน คาดไม่ถึงเลยว่าต่งอวี่กลับรู้แล้ว จู่ๆรู้สึกฟันมันอยากกระทบกัน——อยากกินคนว้อย!
ต่งอวี่หัวเราะเบาๆกล่าว “ฉันได้ยินเธอละเมอน่ะ คนนั้นไม่เหมาะหรือไง?”
บริษัทไลท์เรนมีเดียเป็นบริษัทที่หล่อนกับซูชิงเม่ยสองคนร่วมหุ้นกันก่อตั้งขึ้น ตอนเริ่มกิจการนั้นไม่ได้เน้นโผล่ไปขวางทางแย่งชิงล่อลวงคนแบบนั้น แต่กลับวางจุดสำคัญไว้ที่การชุบเลี้ยงและค้นหาคนใหม่ที่มีอนาคตแทน
อย่างเช่นจื่อเป่ยเจินสังกัดบลูโลตัส วงใหม่ที่แฝงศักยภาพยิ่งวงหนึ่งก็ถูกบริษัทจับเซ็นสัญญาได้อย่างราบรื่นเป็นต้น
เรื่องที่ซูชิงเม่ยกินแห้วจากคนใหม่ที่ร้านนั้นเป็นเรื่องที่ต่งอวี่เผลอไปได้ยินเข้า จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
สรุปเป็นใครกันนะ กลับสามารถทำให้ต้าเสี่ยวเจี่ยผู้นี้ถึงกับชนกำแพงเข้าถึงสองครั้ง?
ดังนั้นนางเอ่ยเรื่องไหนไม่เอ่ยกลับเอ่ยเรื่องนั้น ช่างสรรหาจุดเจ็บของซูชิงเม่ยมาเยาะเย้ยได้ตรงเผงเสียจริง
ซูชิงเม่ยขบฟันกรอด พูดว่า “ฉันจะไม่ละเมอแล้ว เพียงแต่พี่สาวอวี่ พอพี่ได้เห็นไอ้หมอนั่น บางทีพี่อาจผิดหวังนะ”
ใบหน้าของหล่อนเผยให้เห็นรอยยิ้มมีเลศนัยออกมา คล้ายเป็นจิ้งจอกที่เพิ่งขโมยแม่ไก่มาได้
“หือ?”
ต่งอวี่เลิกคิ้ว พูดว่า “คืนนี้เขาจะขึ้นเวที?”
“อื้ม!”
ซูชิงเม่ยพยักหน้าอย่างแรง เธอดึงมือของต่งอวี่ขึ้นแล้วพูดว่า “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว งานใกล้จะเริ่มแล้วนะ พวกเราไปหาพี่ใหญ่ชางกันเถอะ คืนนี้เขาเป็นตัวหลักของงานเลยนะ!”
แล้วก็ถึงเวลาหกโมงห้าสิบนาที ค่ำคืนดนตรีที่ไลท์เรนมีเดียกับบาร์บลูโลตัสร่วมกันจัดก็ใกล้จะเปิดม่านแล้ว วงดนตรีที่จะขึ้นเล่นเป็นวงแรกเพิ่งขึ้นเวที
———–
เชิงอรรถ
[1] ต้นฉบับใช้คำว่า ผู้จัดการทั่วไป แต่ปกติบริษัทเล็กๆแบบนี้ประะานกรรมการบริษัทมักจะควบตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปด้วย ตำแหน่งน่าจะเหนือกว่าซูชิงเม่ย