“เริ่มแล้ว งานเริ่มแล้ว!”
“ตื่นเต้นจัง! ตื่นเต้นจัง! ตื่นเต้นจัง! ตื่นเต้นจัง! ตื่นเต้นจัง! ”
“ใครบอกได้บ้างว่าลู่เฟยต้าต้าจะขึ้นเวทีเมื่อไหร่?”
“ถามเหมือนกัน ฉันก็อยากรู้!”
“คนเยอะมาก อยากไปดูที่งานจริงๆ ความรู้สึกตอนดูสดคงจะสุดยอดที่สุด”
“เจ้าของไลฟ์เกรียงไกร ต้องได้ขึ้นร้องเปิดงานแน่!”
“ฉันละกังวลเกี่ยวกับไอคิวของสหายที่พูดว่าร้องเปิดงานคนนี้มากๆเลย…”
“นั่งรอเจ้าของไลฟ์ขึ้นเวที…”
ตอนทุ่มตรง ความนิยมของห้องไลฟ์ลู่เฟย【วาฬTV】พุ่งทะยาน จำนวนออนไลน์ระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลานุภาพดุจสายรุ้งพุ่งไปถึงด่านใหญ่สิบหมื่นทันที ขอบเขตการเพิ่มขึ้นทำให้คนล้วนปากอ้างตาค้าง
ปลาป่นจำนวนมากล้วนล็อกอินเข้ามาตรงเวลา กระสุนข้อความสาดทั่วหน้าจอ ทำให้ห้องไลฟ์คึกคักถึงขีดสุด!
เพราะว่าลู่เฉินต้องขึ้นแสดง ดังนั้นคนที่ดูแลการไลฟ์ก็คือหลี่เฟยอวี่ ตอนเพิ่งหกโมงนิดๆสหายเสี่ยวเฟยเกอก็เปิดไลฟ์แล้ว อาศัย“ปากตลาด”ระดับเงินปากนั้นของเขา มากระตุ้นให้แฟนคลับกระเพื่อมไปถึงสองหมื่น รักษาการปะทุใหญ่ของความนิยมเอาไว้ได้
สิ่งที่ตามมาก็คือฟิชบอลของขวัญจำนวนมาก กระทั่งแฟนคลับสายเปย์ผู้ซื่อสัตย์หลี่ไป๋ยังส่งเรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงสามลำอีกด้วยแน่ะ
นิสัยชาญชัยของเขานั้นแสดงออกชัดเจนยิ่ง หลังจากลู่เฉินค่อยส่งเพิ่มอีกเจ็ดลำ จะได้เฉลิมฉลองการขึ้นเวทีอย่างสมบูรณ์!
แล้วไอ้พวกกอดแข้งกอดขาก็จะเพิ่มขึ้นสิบเท่า!
คนอื่นไม่รู้สถานการณ์ภายใน เมื่อเห็นสภาพคึกคักเอะอะเช่นนี้ บางทีอาจจะเข้าใจจริงๆว่าคืนนี้เป็นลู่เฉินจัดงานร้องเพลงเรียกคนรอบพิเศษ ดังนั้นทุกคนก็จึงเร่าร้อนและตื่นเต้นขนาดนั้นไงล่ะ
หลี่เฟยอวี่ยิ้มจนปากเหยเก ไม่ได้สนใจคนรอบข้างที่ส่งสายตาแปลกๆมาให้
ที่นี่เป็นงานค่ำคืนดนตรี เอะอะโวยวายจึงเป็นบรรยากาสปกติ!
ดังนั้นเขาไม่กังวลใจว่าการไลฟ์ของตนเองจะส่งผลกระทบต่อคนอื่นจนขายหน้าตัวเองกับลู่เฉินเลยสักนิด
ยิ่งคึกคักก็ยิ่งดีน่ะเส่ะ!
แสงสีรอบพื้นที่จัดงานพลันดับไปทีละดวง แสงไฟบนเวทีต่างเปิดทั้งหมด สาดส่องไปรวมกันที่วงดนตรีโช่วหวางเจ่อ*ซึ่งกำลังรอขึ้นเวทีเป็นวงแรก บริเวณงานค่อยๆเงียบลง รอคอยให้พวกเขาเริ่มร้อง
*(หากเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษจะเป็นวง Watcher)
ในฐานะวงโช่วหวางเจ่อซึ่งรอเปิดเวทีแสดง นี่เป็นวงในตำนานของโฮ่วไห่เลยทีเดียว
วงโช่วหวางเจ่อเป็นวงที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อน อีกทั้งยังเป็นวงร็อกจีนที่ยืนหยัดในวงการมายี่สิบปีตามแนวทางร็อคขนานแท้!
ร็อคจีนมีที่มาตั้งแต่ยุค80 ตอนนั้นได้รับผลกระทบจากกระแสลัทธิเสรีนิยมตะวันตก วงร็อคภายในประเทศเริ่มแตกหน่องอกงาม เกิดวงดนตรีวงใหม่หลายวง จนกระทั่งปลายยุค80จึงยิ่งเข้าสู่ช่วงพัฒนาเต็มที่
วงร็อคจีนในตอนนั้นมีมากนับพันวง ปรากฏผลงานเพลงคลาสสิกแพร่หลายมากมาย แต่หลังจากเข้าสู่ยุค90 ที่อุตสาหกรรมเพลงป๊อบเฟื่องฟู ร็อคขนานแท้ก็ต้องพบกับการซบเซาอย่างรุนแรง
นักร้องเพลงร็อคบางคนก็เปลี่ยนสไตล์และแนวคิดคล้อยตามกระแสไปจนหมด บางคนก็เปลี่ยนมาร้องเพลงซอร์ฟร็อคบ้างร้องเพลงโฟล์คบ้าง แต่ก็มีชาวร็อคหลายคนดึงดันจะเฝ้าปราการสุดท้ายของร็อคจีนเอาไว้ ไม่ยอมก้มหัวต่อกระแสของตลาด
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ร็อคจีนจึงกลายเป็นชื่อที่ห่างไกลแล้ว มีเพียงคนส่วนน้อยมากเท่านั้นที่ยังดิ้นรนอย่างลำบาก
โช่วหวางเจ่อเป็นวงดนตรีเช่นนี้วงหนึ่ง ตอนที่พวกเขาก่อตั้งขึ้นมานั้นวงการร็อคจีนก็เริ่มตกต่ำแล้ว แต่อาศัยศรัทธาอันแน่วแน่และการสนับสนุนจากแฟนๆอันน้อยนิด ยืนหยัดอยู่ในวงการเพลงใต้ดินเล็กๆที่โฮ่วไห่มาถึงยี่สิบปี!
วงโช่วหวางเจ่อไม่เคยดัง และไม่เคยออกผลงานเพลงคุ้นหูผู้ฟังอะไรเลยด้วย แต่พวกเขาก็เชื่อว่าเพลงร็อคยังไม่ตาย ยึดมั่นในอุดมการณ์เดิม ดังนั้นจึงได้รับการนับถือจากคนในวงการจำนวนมาก
งานค่ำคืนดนตรีไลท์บลูได้เชิญพวกเขามาร้องเปิดเวที และเป็นการเคารพต่อจิตใจเช่นนี้ด้วย
นี่เป็นนักอุดมคตินิยมในยุคที่ดีที่สุดและในยุคที่แย่ที่สุดในเวลาเดียวกัน!
วงโช่วหวางเจ่อมีสมาชิกเพียงสี่คนเท่านั้น อายุโดยเฉลี่ยคือสี่สิบกว่า แต่ละคนล้วนเป็นคุณอาแล้ว แต่เพลงที่พวกเขาร้อง เห็นได้ชัดว่าว่าไม่ใช่เพลงที่วัยรุ่นชอบ
เพลงแรกคือ《อยู่รอความตาย》 เพลงที่สองคือ《กระสุนที่ยิงใส่หน้าอก》 กระทั่งลู่เฉินยังไม่เคยฟังเลย
แต่ไม่เคยฟังไม่ใช่ไม่ดี การเล่นของพวกเขานั้นล้วนเต็มไปด้วยประสบการณ์อันเปี่ยมล้น เสียงเพลงอันฮึกเหิมกวาดผ่านกลุ่มผู้ฟังทั่วทั้งงาน ทะลวงแผ่นกระจกแก้วที่กว้างจนถึงพื้นนอกร้าน เข้าไปในหูของทุกคนที่นั่งอยู่
ฉินฮั่นหยางจู่ๆก็พูดว่า “สัญญาเช่าของบาร์เนอร์วานา*ปลายปีนี้ก็จะหมดแล้ว ได้ยินว่าจะปิดร้าน”
*(Nirvana)
เสียงของเขาแฝงความเปลี่ยวเหงา แถมยังมีความรันทดหดหู่เล็กๆด้วย
พี่สาวนาแตกตื่น ก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที “อย่างนั้นพวกต้าม่ายจะทำยังไง?”
บาร์เนอร์วานาเป็นถิ่นของวงโช่วหวางเจ่อ และเป็นหนึ่งในร้านเพลงใต้ดินของโฮ่วไห่ เถ้าแก่ร้านเป็นคนที่ลุ่มหลงเพลงร็อคจีนอย่างแท้จริงคนหนึ่ง หากไม่ได้การสนับสนุนจากเขา วงโช่วหวางเจ่อก็คงไม่อาจยืนหยัดถึงวันนี้
“ต้าม่าย”ที่พี่สาวนาพูดถึงก็คือม่ายเถียนนักร้องนำควบตำแหน่งจิตวิญญาณของวงโช่วหวางเจ่อ นับเป็นกระสุนเฒ่าของวงการร็อคคนหนึ่ง
“ยังทำอะไรได้เล่า…”
ฉินฮั่นหยางพูดว่า “นอกจากเนอร์วานา จะมีร้านเหล้าร้านไหนให้พวกเขาเล่นอีก คงได้แค่แยกวงเท่านั้นละ”
บาร์เนอร์วานาเป็นร้านเก่าแก่ในโฮ่วไห่ แต่ทำเงินไม่ได้มาโดยตลอด ส่วนสาเหตุนั้น ใครก็ทราบ
ตอนนี้บาร์เนอร์วานาจะปิดแล้ว วงโช่วหวางเจ่อย่อมเป็นลิงที่ล้มไปตามต้นไม้
เขาพูดอย่างหมดสนุกว่า “แยกวงก็ดี พวกพี่ต้าม่ายก็สี่สิบกว่าแล้ว น่าจะใกล้ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง หางานการที่มั่นคง อย่างเช่นไปเป็นอาจารย์สอนดนตรีในโรงเรีย…”
พุดๆไป เขาก็ฝืนยิ้มขึ้นมา
ฉินฮั่นหยางยิ้มให้วงโช่วหวางเจ่อ แต่ความจริงยิ้มให้ตัวเอง
ไม่ว่าจะวงการไหนต่างมีโครงสร้างแบบพีรามิด เบื้องล่างของคนที่ประสบความสำเร็จย่อมเหยียบย่ำหินรองเท้านับไม่ถ้วน วงโช่วหวางเจ่อดิ้นรนอยู่ในระดับล่างมานาน วงผั่งหวงทำไมจะไม่ใช่เป็นแบบนี้ด้วยเล่า?
พี่สาวนาเงียบงัน
ด้วยหัวข้อสนทนานี้ ลู่เฉินก็ยิ่งอับจนถ้อยคำ ต้องรู้ว่าตอนที่วงโช่วหวางเจ่อก่อตั้งวงนั้น เขาเพิ่งจะหัดเดินเอง สำหรับเพลงร็อคขนานแท้ก็ไม่ได้รู้จักมากนัก
เพียงแต่ในความทรงจำของเขานั้น บทเพลงร็อคอมตะจากโลกแห่งความฝัน ยังมีอยู่มากมายนัก!
ฉินฮั่นหยางยกแก้วเบียร์ พูดอย่างรู้สึกปลงว่า “พวกเราตกยุคแล้ว โลกยุคต่อไปจะเป็นของคนหนุ่มเช่นเสี่ยวลู่ พวกเราทุกคนมาดื่มให้เขาสักแก้วเถอะ!”
“หมดแก้ว!”
เขาเปิดปากใครจะกล้าไม่ไว้หน้า? คนที่นั่งอยู่ทั้งหมดจึงยกแก้วพร้อมกัน
เป็นการดื่มให้กับลู่เฉิน หรือเป็นการดื่มให้กับเพลงร็อคที่กำลังตาย บางทีคงมีเพียงในใจทุกคนจึงจะทราบกระจ่าง!
ลู่เฉินรีบพูดว่า “พี่ชายฉินชมเกินไป พี่กับพี่สาวนาไม่ได้ตกยุคซะหน่อย ผมขอดื่มคารวะก่อน!”
เขาดื่มเบียร์รวดเดียวจนหมดแก้ว
นี่จึงทำให้สมาชิกอีกสี่คนที่เหลือของวงผั่งหวง รู้สึกประทับใจลู่เฉินอยู่ไม่น้อย——เคารพผู้อาวุโสด้วยนี่
บนเวทีด้านนอก วงโช่วหวางเจ่อร้องเพิ่งจบ
เพลงแต่งที่พวกเขาเลือกมาทั้งสองเพลง ไม่ได้ดึงดูดความรู้สึกร่วมของผู้ชมสักเท่าไหร่อย่างที่คิด โครงเพลงซับซ้อน เนื้อเพลงไม่ระรื่นหู อารมณ์อันรุนแรง ทั่วทั้งงานคนที่สามารถฟังเข้าใจมีน้อยเอามากๆ
กระนั้นเสียงร้องคำรามและทำนองอันรุนแรง จะมากจะน้อยก็กระตุ้นบรรยากาศ คนไม่น้อยกำลังโบกแท่งเรืองแสง
จากนั้นนักร้องและวงที่ขึ้นเวทีก็ฉลาดมากขึ้น ไม่เล่นเพลงอินดี้อะไรอีก ต่างร้องคัฟเวอร์เพลงดังที่คุ้นหูทุกคน เพลงซอร์ฟร็อค เพลงแรป เพลงเร็วแทน…ชักนำให้คึกคักขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ชมสองพันกว่าคนในงานล้วนลุกมา พวกเขาชูแขน แกว่งไปมาตามท่องทำนองเพลงที่ซัดโหมเข้ามา ีอกทั้งบางทีก็ส่งเสียงร้องประสานกับการแสดงบนเวที เสียงเชียร์ เสียงตะโกน เสียงกรีดร้องต่างดังขึ้นทางโน้นทางนี้ ในจำนวนนั้นยังมีกระทั่งเสียงผิวปากดังกังวาน
บรรยากาศแบบนี้ มีเพียงรับรู้ได้จากงานดนตรีจริงๆเท่านั้น ไม่เหมือนกับอยู่ตรงหน้าจอเด็ดขาด!
จู่ๆโทรศัพท์ของลู่เฉินก็ดังขึ้นมา
คนที่โทรเข้ามาก็คือหลี่เฟยอวี่ที่กำลังไลฟ์อยู่ เขาโทรมาเพื่อสอบถามเวลาขึ้นเวทีที่ถูกต้องกับลู่เฉิน
“ทุกคนกำลังร้อนใจรอนายขึ้นเวทีอยู่ เสียงเรียกร้องของเหล่ามวลชนรุนแรงมาเลยนะ!”
ลู่เฉินหัวเราะกล่าว “อีกครึ่งชั่วโมงน่ะ น่าจะถึงรอบที่ต้องขึ้นเวทีแล้ว ฝากขอโทาทุกคนแทนฉันด้วยนะ”
พอวางสาย พี่สาวนาก็ถามเขาอย่างประหลาดใจ “เธอมีเพื่อนมาดูงานด้วยเหรอ?”
ลู่เฉินเลยต้องบอกเรื่องที่ตัวเองทำไลฟ์คร่าวๆอีกเที่ยว
“นี่มันน่าสนใจมากเลยนะ!”
พี่สาวนาได้ยินก็ตากระจ่างวูบ พูดว่า “ฉันรู้ว่า ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมบนอินเตอร์เน็ต ความจริงแล้วเธอจะทำไลฟ์ที่ร้านเราก็ได้นะ จะได้ถือโอกาสสร้างชื่อให้เดย์ลิลลี่ด้วย”
ลู่เฉินก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน!
เขาเพิ่งจะตอบ ก็เห็นสต๊าฟจัดงานคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งเข้ามา โบกตารางในมือ พูดเสียงดังว่า “วงฟิต แล้วก็อาจารย์ลู่เฉินของเดย์ลิลลี่ ขอเชิญไปเตรียมตัวหลังเวทีด้วยครับ!”