เป็นครั้งแรกเลยที่ลู่เฉินถูกคนเรียก“อาจารย์*”เป็นครั้งแรก
คำว่าเหล่าซือ(อาจารย์)ย่อมไม่ใช่อาจารย์สอนคนจริงๆ แต่เป็นอาวุโสที่เปิดตัวมาก่อนหรือคนดังที่มีชื่อเสียงแล้วในวงการบันเทิง ชายหญิงต่างก็ใช้ได้ ใครได้ยินก็จะรู้สึกพอใจกับการให้เกียรติ
งานค่ำคืนดนตรีของบลูโลตัสจัดมาหลายครั้งแล้ว และมีผลกระทบอย่างมากต่อวงการเล็กๆในโฮ่วไห่แห่งนี้ คนที่สามารถขึ้นเวทีได้ย่อมไม่ใช่รุ่นเล็กๆ เทียบกันแล้วคุณสมบัติของลู่เฉินนั้นตื้นเขินที่สุด
ดังนั้นเมื่อได้ยินคำเรียกว่า“อาจารย์” แถมเขายังรู้สึกเขินอายอยู่บ้างจริงๆ
พี่สาวนาลุกขึ้นพูด “ต้าฉิน ฉันเองก็ไปก่อนดีกว่า”
นางยังรู้สึกกังวลใจลู่เฉินอยู่ จะอย่างไรคืนนี้ก็ต้องเผชิญหน้ากับผู้ชมนับพัน จึงอยากออกไปสนับสนุนให้กำลังใจลู่เฉินล่วงหน้า อย่างน้อยก็สามารถทำให้ลู่เฉินรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
ฉินฮั่นหยางลังเลครู่หนึ่ง จึงลุกขึ้นตามด้วย “จะไปก็ไปด้วยกันเถอะ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน!”
ลู่เฉินทราบเจตนาของพวกเขา จึงพูดอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบคุณพี่ชายฉิน ขอบคุณพี่สาวนา”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า…”
ฉินฮั่นหยางยื่นมือไปตบไหล่เขา พูดว่า “นายมีฝีมือจริงๆ น่าจะมั่นใจตัวเองให้มากไว้!”
ลู่เฉินพยักหน้าอย่างเงียบงัน ฉินฮั่นหยางพูดได้ไม่ผิด เขาควรมั่นใจตัวเองให้มากไว้!
มีความทรงจำอันมากมายจากช่วงชีวิตทั้งสาม และมีจิตใจอันเข้มแข็งจากอีกโลกหนึ่ง เขาไม่ใช่คนเดิมแล้ว
ลู่เฉินไม่จำเป็นเกรงกลัวการท้าทายอันใด
เขาอดทีจะหันไปมองวงฟิตที่ห่างกันไม่ไกลนัก พูดมาก็เหมือนรู้ตัว เฉิงเซี่ยวตงนักร้องนำวงฟิตหนุ่มเมโทรคนนั้นพอดีหันหน้ากลับมา สายตาของคนทั้งสองปะทะกันอยู่กลางอากาศ
คล้ายบังเกิดประกายไฟไร้สภาพขึ้น!
มุมปากของเฉิงเซี่ยวตงเบะขึ้นมาเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มถากถางคราหนึ่ง เป็นรอยยิ้มที่คล้ายกำลังบอกว่าตูก้าวหน้ากว่าเอ็งแล้ววะอย่างเหยียดหยาม
ลู่เฉินไม่ได้โมโห หยิบกล่องกีตาร์ของตัวเองไปหลังเวที
ตัวเขาจะใช้เสียงเพลงมาตอบโต้คู่ต่อสู้!
หลังเวทีอยู่ด้านซ้ายของเวทีใหญ่ ไว้ให้วงดนตรีนักร้องที่ขึ้นลงเวทีชั่วคราว เนื่องจากพื้นที่ไม่กว้างนัก ด้วยเหตุนั้นจึงเพียงใช้ยืนรอให้ถึงเวลาตอนที่สต๊าฟจัดงานเรียกชื่อ และใช้เป็นเป็นทางผ่านของสต๊าฟเท่านั้น
ตอนที่ลู่เฉิน พี่สาวนา รวมทั้งวงผั่งหวงมาถึงหลังเวที ด้านในก็มีคนอยู่ไม่น้อยแล้ว
ในจำนวนนั้นยังรวมถึงวงฟิตที่มาถึงก่อนด้วย เฉิงเซี่ยวตงนั่นพอเห็นพวกฉินฮั่นหยางเพิ่งเดินเข้ามาก็ไม่ได้ใส่ใจ และคุยเล่นกับพวกเพื่อนๆต่อไป
“ต้าฉิน พี่สาวนา…”
คนสวมเสื้อแจ็กเก็ตอายุประมาณสามสิบกว่าคนหนึ่งลุกขึ้น ยิ้มแย้มทักทาย “พวกคุณมาเร็วขนาดนี้เชียว?”
ร่างของเขาผอมเพรียว ใบหน้าตอบกระดูกโหนกนูน ดวงตาเปล่งประกายแวววาว ผมยาวยุ่งๆปกถึงบ่า คล้ายศิลปินผู้ไม่ยี่หระอยู่บ้าง ที่ไม่ได้พบเห็นในหมู่บ้านจิตรกรซ่งจ้วง*ตงโจวมานาน
*(เป็นหมู่บ้านพิพิธภัณฑ์ในเขตตงโจวทางตะวันออกของปักกิ่ง)
ฉินฮั่นหยางจับมือ โอบกอดเขาครู่หนึ่ง แล้วแนะนำให้กับลู่เฉินว่า “นี่เป็นหัวหน้าวงจื่อเป่ยเจินพี่ใหญ่กานหล่าง นี่เห็นเสี่ยวเหล่าตี๋*ลู่เฉินของพวกเรา”
*(เรียกว่าเป็นน้องชายอย่างนับถือ)
ลู่เฉินยื่นมือไปจับมืออีกฝ่ายโดยไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง “พี่ใหญ่กานสวัสดีครับ ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว”
กานหล่างจับมือเขา หัวเราะกล่าว “ฉันเคยเห็นนายที่เดย์ลิลลี่ เพลงโฟล์คสองเพลงของนายไม่เลวเลย”
นักร้องหลักของวงจื่อเป่ยเจินคนนี้กลับเคยไปดูลู่เฉินร้องเพลงที่เดย์ลิลลี่ ทำให้ลู่เฉินรู้สึกประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึง
“ขอบคุณครับ ยังต้องให้พี่ใหญ่กานแนะนำอีกมาก!”
“แนะนำคงไม่กล้า ฉันไม่มีฝีมือแต่งเพลงหรอก…”
กานหล่างกล่าวถามอย่างจริงจัง “เสี่ยวลู่ คืนนี้นายเตรียมร้องสองเพลงนั้นหรือ?”
ลู่เฉินสั่นศีรษะพูดว่า “ไม่ใช่หรอกครับ”
“นี่ก็ใช่แล้ว!”
กานหล่างกล่าวอธิบาย “สองเพลงนั้นของนายสไตล์ไม่เหมาะกับเวทีนี้ เปลี่ยนเพลงดีกว่า”
ลู่เฉินหัวเราะแล้วไม่พูดอะไร
ความคิดของเขาเฉียบไวมาก เข้าใจความหมายที่แฝงไว้ในคำพูดของอีกฝ่ายทันที
นิสัยของพี่ใหญ่วงจื่อเป่ยเจินคนนี้บางทีอาจเป็นคนเปิดเผย แต่ภายใต้โฉมหน้าปล่อยตัวแฝงความหยิ่งทระนงเอาไว้ เขากล่าวเตือนลู่เฉินอย่างตรงไปตรงมา แต่ไม่ได้ครุ่นคิดเพื่อลู่เฉินอย่างจริงใจอะไรเลย กลับคงไม่ได้ง่ายดายปานนั้น
บางทีอาจบอกได้ว่าคงเหยียบย่ำได้ง่ายเกินไปกระมัง?
กานหล่างพูดคุยกับพี่สาวนาอีกครู่หนึ่ง เฉิงเซี่ยวตงคนนั้นเหลือบมองลู่เฉินอย่างยินดีใจคราเคราะห์
ลู่เฉินหาที่นั่งลงตรงมุมหลังเวทีโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า หยิบกีตาร์ของตัวเองออกมาปรับจูนสาย
ได้ยินเสียงโห่ร้องกับเสียงปรบมืออันคึกคักดังถ่ายทอดมาจากด้านนอก การแสดงของวงดนตรีก่อนหน้าใกล้สิ้นสุดแล้ว
สต๊าฟจัดงานจึงเดินเข้ามาบอกให้วงฟิตเตรียมตัวขึ้นเวทีได้
เฉิงเซี่ยวตงจึงกระโดดโลดเต้นในทันที กระโดดอยู่ที่เดิมสองครั้ง เครื่องประดับรอบกายก็ส่งเสียงกริ้งกร้างดังกังวาน
“เหล่าพี่น้อง พวกเราไป!”
ตอนที่ใกล้จะไป เขายังเหลือบมองลู่เฉินอีกแวบหนึ่ง แววตามีร่องรอยยั่วยุชัดเจน
การปรากฏตัวของวงฟิตนั้น ดึงดูดให้เกิดเสียงฮือฮาทั่วงานอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
วัยรุ่นหลายสิบคนต่างชูป้ายเรืองแสงที่เขียนคำว่า “ฟิต” “เฉิงเซี่ยวตง”เหล่านั้นขึ้นมา ด้านในกลุ่มผู้ชมทั้งตะโกนทั้งกระโดด พวกเขาตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายพร้อมกัน ฮึกเหิมจนแทบคล้ายเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
เฉิงเซี่ยวตงใช้มือขวาโอบกีตาร์ไฟฟ้า โบกมือซ้ายให้เหล่าแฟนคลับที่ชูป้ายขนาดใหญ่ทางด้านซ้ายมือ พูดว่า “ทุกคนสายัณห์สวัสดิ์ ผมยินดีจริงๆที่ได้มาร่วมแสดงในงานค่ำคืนดนตรีไลท์บลู ผมเฉิงเซี่ยวตงแห่งวงฟิตครับ!”
“เฉิงเฉิง! เฉิงเฉิง! เฉิงเฉิง!”
แฟนคลับสาวจำนวนมากส่งเสียงหวีดร้องออกมา พยายามโบกแท่งเรืองแสงในมืออย่างบ้าคลั่ง
“วงฟิตนี่ดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากเลยนะ?”
ตรงที่นั่งโซนวีไอพีของบาร์บลูโลตัส ต่งอวี่หันไปถามซูชิงเม่ยที่นั่งอยู่ข้างกายตนเอง “เธอไม่คิดจะดึงพวกเขาเข้าสังกัดหรือไง?”
ไลท์เรนมีเดียก่อตั้งขึ้นมาได้ไม่นานนัก งานดึงตัวคนมีฝีมือให้มาเข้าสังกัดนั้นจึงยังเป็นหน้าที่ของซูชิงเม่ยมาโดยตลอด
ซูชิงเม่ยพูดด้วยความโมโหว่า “วงฟิตนั่นโดนบริษัทอื่นดึงตัวไปแล้ว เงื่อนไขที่อีกฝ่ายเสนอมาก็เหนือกว่าพวกเราหลายขุม แถมค่าตอบแทนสูงขนาดนั้นฉันได้แค่ยอมแพ้เท่านั้นล่ะย่ะ”
ต่งอวี่พยักหน้าเผยท่าทีเข้าใจ
หล่อนตัดสินใจเน้นแนวทางพัฒนาของไลท์เรนมีเดียให้เป็นแบบมั่นคง ไม่ต้องการแบบก้าวเดียวทะยานฟ้า ค่อยๆปลูกฝังพื้นฐานไปดีกว่า หลังจากสะสมออมกำลังและประสบการณ์จนเพียงพอแล้วจึงค่อยวางแผนให้ปะทุขึ้นมาในอึดใจเดียว
ดังนั้นแรกสุด พวกหล่อนจึงไม่อยากจ่ายค่าตอบแทนจำนวนมากเพื่อไปดึงตัวมือใหม่เลย
ส่วนด้านซ้ายขวาตรงที่นั่งของซูชิงเม่ยกับต่งอวี่ยังมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย ชางเว่ยกับเฉินเจี้ยนฮ่าวทั้งสองคนต่างก็อยู่ นอกจากนั้นก็เป็นคนดังในวงการ เช่นกรรมการบริหารของบริษัทบันเทิง บรรณาธิการเว็บไซต์ดนตรี นักแต่งเพลง รวมทั้งนักวิจารณ์เป็นต้น ขบวนร่วมงานขบวนนี้นับว่ากล้าแข็งยิ่ง
ชางเว่ยเอี้ยวหน้ามาหัวเราะให้เฉินเจี้ยนฮ่าวพลางกล่าว “เหล่าเฉิน วงฟิตร้องจบ ก็จะถึงรอบของเสี่ยวลู่คนนั้นของร้านนายสินะ”
เฉินเจี้ยนฮ่าวฝืนยิ้ม “ชางเหล่าต้า ลำดับขึ้นเวทีในครั้งนี้เป็นใครเตรียมกัน?”
เฉินเจี้ยนฮ่าวเป็นมือเก่าในยุทธจักร จะไม่เห็นได้อย่างไรว่าลำดับขึ้นเวทีมันแปลกๆ? ก่อนหน้านี้เพียงอดทนไม่พูดออกมาเท่านั้น ตอนนี้ในเมื่อชางเว่ยเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน เขาจึงฉวยโอกาสคาดคั้นคำตอบของคำถามนี้ให้มันกระจ่าง
เขาเชื่อว่าชางเว่ยไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้
ชางเว่ยหัวเราะฮาฮา พูดว่า “เรื่องนี้เหรอ คงต้องถามคนของนายเองแล้ว ฉันไม่คิดจะสนใจหรอก”
แม้ว่าภายในใจจะคาดคะเนไว้ก่อน แต่เวลานี้เมื่อได้รับการยืนยันอย่างแท้จริง เฉินเจี้ยนฮ่าวก็ยังรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่ดี
ซูชิงเม่ยเป็นเปียวเม่ย*ของเขา แต่ไม่ใช่คนของเขาสักหน่อยนี่?
*(ญาติผู้น้องผู้หญิงฝั่งแม่)
ชางเว่ยรับรู้ถึงอารมณ์ของเขาดี จึงกล่าวปลอบออกมา “เรื่องเล็กหรอกน่า คนหนุ่มมันต้องลับคมให้มากสิถึงจะดี”
เฉินเจี้ยนฮ่าวรู้สึกอับจนถ้อยคำ
เวลานี้บนเวทีแสดง วงฟิตเพิ่งร้องเพลงยอดนิยมชื่อดังเพลงหนึ่งจบ
เฉิงเซี่ยวตงกระทั่งทั้งร้องทั้งกระโดด เขากระตุ้นอารมณ์ของเหล่าผู้ร่วมงานให้พุ่งขึ้นได้อย่างง่ายดาย ดึงดูดให้คลื่นเสียงตะโกนบังเกิดอยู่เป็นพักๆ แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์และฝีมือของตนเอง
นักร้องนำวงนี้ทั้งสะบัดผมทั้งชูกีตาร์ไฟฟ้าในมือ ส่งเสียงพูดดังลั่นว่า “เพลงต่อไปผมขอมอบให้กับสหายผู้ชมทุกท่าน เพลงนี้มีชื่อเพลงว่าเหนือล้ำ ขอให้พวกเราเหนือล้ำไปด้วยกัน!”
เสียงของเขาเพิ่งขาดลง เสียงตะโกนสนับสนุนด้านล่างเวทีจู่ๆก็เพิ่มดังขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่าในทันที!
“กรี๊ดเฉิงเฉิง!”
แฟนคลับสาวหลายคนพากันเบียดเสียดฝูงชนออกมาอย่างตื่นเต้น คิดอยากพุ่งขึ้นมาบนเวทีเสียให้ได้ แต่สุดท้ายก็ถูกฝ่ายรักษาความปลอดภัยของงานขัดขวางเอาไว้
เฉิงเซี่ยวตงวางกีตาร์ไฟฟ้าลง ก้มหัวยกเท้าโค้งร่างกาย นิ้วมือดีดบนสายกีตาร์จนบังเกิดเสียงหนึ่ง
จู่ๆท่อนพรีลูดอันรุนแรงก็ดังขึ้นในฉับพลัน!
เหนือล้ำ!
ฉินฮั่นหยางและพี่สาวนาที่นั่งอยู่ด้านหลังเวทีมองหน้ากันเลิกลั่ก ทั้งสองต่างเห็นความแตกตื่นในสายตาของอีกฝ่าย
《เหนือล้ำ》เป็นบทเพลงร็อคอมตะที่พิเศษยิ่งเพลงหนึ่ง เคยโด่งดังเมื่อช่วงยุค90 แต่มันร้องได้ยากมาก โดยเฉพาะท่อนเสียงสูงของมันนั้นเคยทำให้นักร้องคัฟเวอร์มากมายร้องจนขาดใจตายมาแล้ว จนบรรลุถึงระดับที่ว่าหากไม่อาจจัดการให้โน๊ตกลับมาเป็นปกติได้ก็จะไม่สามารถร้องต่อไปได้เลยทีเดียว
*(ให้ลองนึกถึงเพลงวัดใจของซิลลี่ฟูลดูนะครับ)
เฉิงเซี่ยวตงจู่ๆก็กล้าท้าทาย《เหนือล้ำ》กลางเวที เขาคงจะมั่นใจในตัวเองมากแน่ๆ
คนทั้งสองอดกังวลใจแทนลู่เฉินเสียมิได้
นี่มันคู่ต่อสู้ที่กล้าแข็งชัดๆเลยนี่หว่า!