ตอนที่ 376 หน้าทิ่ม
วันที่สองหลังจากอัดรายการ ‘นิวสตาร์โชว์’ เสร็จแล้ว ลู่เฉินถึงกลับไปที่โรงถ่ายจินหลิง ถ่ายทำละคร ‘ฟูลเฮ้าส์’ อย่างตั้งใจอีกครั้ง
ละครโทรทัศน์เรื่องนี้เนื่องจากมีการร่วมมือกันหลายฝ่าย และแต่ละฝ่ายก็มีศักยภาพสูง ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่เกาหลีหรือจีนการถ่ายทำละครเรื่องนี้ก็ราบรื่นมาก ถ้าหากไม่เจออุปสรรค ก็จะได้พบกับผู้ชมทีวีในช่วงฤดูร้อนแน่นอน
สำหรับลู่เฉิน งานถ่ายละครยังคงยุ่งอยู่เสมอ แต่โครงการผลงานลิขสิทธิ์ขนาดใหญ่ของเขาก็สำคัญเฉกเช่นเดียวกัน ฉะนั้นทุกวันเขาจึงเจียดเวลามาเขียนงาน จากนั้นก็อัปโหลดไปที่ล่างฉาวบุ๊กอย่างไม่หยุดยั้ง
เพียงแต่หนังสือใหม่ของ ‘อี้จินกู่’ เล่มนี้ ทำผลงานได้ไม่ดีนัก หากจะพูดอย่างรุนแรงก็คือล้มหน้าทิ่ม!
ตอนเย็นวันที่ 27 พฤษภาคมลู่เฉินอัปโหลดหนังสือจนถึงวันที่ 5 มิถุนายน ใช้เวลาทั้งหมดสิบวัน เขาอัปโหลดเนื้อหาไปแล้วหกหมื่นตัวอักษร หนึ่งวันอัปเดตสองตอนจำนวนหกพันตัวอักษร
ตามหลักของปริมาณการอัปเดต หนังสือใหม่ของลู่เฉินเล่มนี้สอดคล้องกับความต้องการของเว็บไซต์ทั้งหมด โดยทั่วไปการอัปเดตของนักเขียนสำหรับหนังสือเล่มใหม่จะไม่เยอะมาก หลังจากที่วางจำหน่ายแล้วถึงค่อยเพิ่มปริมาณ
แต่สถิติตัวเลขของหนังสือเล่มใหม่ ช่างน่าเศร้าจนไม่อาจทนมองได้จริงๆ
ยอดเข้าชม: 420 แนะนำ: 79 ยอดการเก็บสะสม: 22 คน แสดงความคิดเห็น: 58
ล่างฉาวบุ๊กเป็นหนึ่งในเว็บไซต์วรรณกรรมต้นฉบับที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เนื่องจากเชื่อมโยงกับบล็อกมีประโยชน์ต่อการประชาสัมพันธ์ ดังนั้นจึงมีนักเขียนประจำมากมาย ในนั้นยังมีนักเขียนระดับเทพแฝงตัวอยู่ด้วย ออกหนังสือหลายเล่มที่ถูกสร้างเป็นผลงานลิขสิทธิ์ยอดนิยม
เว็บไซต์กล่าวว่ามีนักเขียนมากกว่าสิบคน แต่จำนวนที่แท้จริงไม่ได้เยอะขนาดนั้นแน่นอน แม้ว่าจะมีการแข่งขันเช่นนี้แต่ก็รุนแรงผิดปกติ นักเขียนหน้าใหม่อยากจะเกิดจึงยากมาก
แต่เว็บไซต์ก็มีระบบแนะนำ ผลงานที่เซ็นสัญญาจะได้รับโอกาสในการแนะนำ ขอเพียงคุณภาพของหนังสือไม่แย่เกินไป เช่นนั้นก็ยังพอมีโอกาสได้แสดงความโดดเด่น
บรรณาธิการของเว็บไซต์ก็จะติดตามดูหนังสือใหม่เช่นกัน หนังสือใหม่เล่มหนึ่งถึงสองหมื่นตัวอักษรจะมีบรรณาธิการอ่าน ห้าถึงหกหมื่นตัวอักษรจะได้รับการตรวจสอบอีกรอบ หากตรงตามความต้องการก็จะส่งจดหมายเซ็นสัญญาให้นักเขียน และเข้าสู่กระบวนการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ
หนังสือใหม่ของลู่เฉินตอนที่มีสองสามหมื่นตัวอักษรยังไม่ได้รับจดหมาย ตอนนี้มีหกหมื่นตัวอักษรแล้วก็ยังคงไร้ซึ่งข่าวคราว หากยึดตามภาษาคนวงในก็คือถูกบรรณาธิการมองข้ามแล้ว ไม่เข้าตาหมดอนาคตและหมดหวัง
ช่วงเวลาที่ลู่เฉินโพสต์ลงอินเทอร์เน็ต เขาได้สมัครไอดีเฟยซวิ่นเพื่อเข้ากลุ่มนักเขียนใหม่สองสามกลุ่ม ทำความเข้าใจแวดวงงานเว็บไซต์วรรณกรรมเบื้องต้น จึงได้รู้กฎเกณฑ์ของเว็บไซต์วรรณกรรมอยู่ไม่น้อย
สิ่งนี้ทำให้ลู่เฉินค่อนข้างกลัดกลุ้มใจ
โครงการผลงานลิขสิทธิ์ขนาดใหญ่ที่ทำด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมของเขาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ก็ถูกกระบองหดหู่ฟาดเข้าเต็มเปาเสียแล้ว
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงสถิติการเข้าชมและยอดการเก็บสะสมที่น่าเศร้า แค่การแสดงความคิดเห็น 58 ข้อความในนั้นมี 49 ข้อความเป็นข้อความโฆษณาของนักเขียนคนอื่นเพื่อดึงคนหรือให้ช่วยแนะนำหนังสือ หรือไม่ก็เป็นบทวิจารณ์มากมายแต่ไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีเพียงเก้าข้อความเท่านั้นที่มาจากนักอ่านตัวจริง และส่วนใหญ่ก็เป็นข้อคิดเห็นแง่ลบ
“หนังสือโหลยโท่ยอะไรวะ อ่านแล้วไม่สนุกเลย ไปดีกว่า”
“สไตล์การเขียนของนักเขียนไม่เลว เสียดายที่พล็อตเรื่องไม่ดึงดูดพอ เริ่มต้นก็ดราม่าและ”
“อ่านสองสามตอนแล้วหงุดหงิดมาก ทิ้งไปเถอะ”
“แนะนำนักเขียนให้อ่านหนังสือของนักเขียนระดับเทพเยอะๆ ตั้งใจศึกษาให้ดี!”
“แม่ง…”
มีเพียงนักอ่านคนเดียวเท่านั้นที่แสดงความคิดเห็นแง่บวก “เป็นนิยายที่ไม่เลวเลยทีเดียว รู้สึกเหมือนเป็นแนวกำลังภายในแบบดั้งเดิมใช่ไหม ตอนนี้ไม่ค่อยมีคนเขียนหนังสือแนวนี้แล้วจริงๆ ความคิดของนักเขียน ขอสนับสนุนคนนึง!”
นักอ่านคนนี้ให้รางวัลสนับสนุนลู่เฉินเป็นเหรียญการอ่านหนึ่งร้อยเหรียญ
“เหรียญการอ่านหนึ่งร้อยเหรียญมันเท่าไรกัน”
เฉินเฟยเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย
ราชินีแห่งวงการเพลงคนนี้หมอบลงบนเตียงใหญ่ของโรงแรม อ่านรีวิวหนังสือใหม่ของลู่เฉินอยู่หน้าโน้ตบุ๊ก
เธอไม่ค่อยสนใจเว็บไซต์วรรณกรรมเท่าไร เมื่อก่อนก็เคยดูภาพยนตร์และละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายดังแค่สองสามเรื่อง ดังนั้นจึงไม่เข้าใจพื้นฐานของเว็บไซต์วรรณกรรมมากนัก
หลังจากที่ลู่เฉินใช้นามแฝงเขียนหนังสือเล่มใหม่ในล่างฉาวบุ๊ก เธอถึงได้สนใจขึ้นมานิดหน่อย
จริงๆ แล้วเฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ชอบให้ลู่เฉินเขียนนิยายประเภทนี้ เธอชอบนิยายรักมากกว่า และส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยชอบของพวกนี้มากนัก
ถ้าหากไม่ใช่ผลงานใหม่ของลู่เฉิน เธอก็ขี้เกียจที่จะสนใจ!
“อะแฮ่ม!”
ลู่เฉินกระแอมหนึ่งที และอธิบายว่า “เท่ากับเงินหนึ่งหยวน”
“หนึ่งหยวน?”
เฉินเฟยเอ๋อร์เบิกตาโต ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ฉันคิดว่าหนึ่งร้อยหยวนเสียอีก หมายความว่านายใช้เวลามากขนาดนี้ เขียนหนังสือหกหมื่นคำได้เงินมาหนึ่งหยวนเท่านั้นเหรอ”
“แค่กๆ!”
ลู่เฉินยิ่งกระแอมหนักขึ้น “ความจริงตามกฎของเว็บไซต์ ผมได้ส่วนแบ่งแค่ห้าเหมาเท่านั้น”
“เหอะๆๆ~”
เฉินเฟยเอ๋อร์ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว หัวเราะลั่นพลางเอามือตีผ้าห่ม “ห้าเหมา…”
เมื่อสองวันก่อน เธอกับลู่เฉินสองคนเพิ่งจะควักเงินสิบกว่าล้านให้พวกแฟนคลับ
ตอนนี้ลู่เฉินลำบากลำบนทำงาน เอาช่วงเวลาแห่งความสุขของพวกเขาทั้งสองไปจนหมด แต่ได้เงินมาแค่ห้าเหมาเท่านั้น
เธอไม่ได้อยากหัวเราะเยาะ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ!
ขณะที่หัวเราะ เฉินเฟยเอ๋อร์พลางพูดว่า “ใครสั่งให้นายไม่ยอมใช้ชื่อตัวเองล่ะ อยากจะใช้นามแฝง ตอนนี้รู้ถึงความลำบากแล้วใช่ไหมล่ะ นายอยากทำมากไม่ใช่เหรอ สมน้ำหน้า!”
ถ้าหากลู่เฉินใช้ชื่อตัวเองเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ แค่ประกาศในบล็อกง่ายๆ รับรองว่าแฟนคลับมากมายนับไม่ถ้วนต้องหลั่งไหลเข้ามาสนับสนุนไม่ขาดสายแน่นอน เงินรางวัลก็เยอะเหมือนฝนตกกระหน่ำ ไม่มีสภาพน่าสงสารน่าเวทนาแบบนี้แน่นอน
ดังนั้นเฉินเฟยเอ๋อร์ไม่เข้าใจพฤติกรรมของลู่เฉินเอามากๆ ในมุมมองของเธอ โครงการผลงานลิขสิทธิ์มาถูกทางแล้ว แต่ทำไมถึงไม่ใช้ชื่อของตัวเองที่สั่งสมความนิยมมาแล้วเล่า
มีทางลัดสำเร็จรูปกลับไม่เดิน อยากจะเดินบนหน้าผาสูงชัน ดังนั้นเธอจึงไม่เห็นใจเลยสักนิด!
อันที่จริงหนังสือใหม่ทำผลงานได้น่าเศร้าเช่นนี้ ลู่เฉินก็เสียใจอยู่เหมือนกัน และเคยคิดว่าจะใช้ชื่อตัวเองแล้วโพสต์ใหม่อีกครั้ง
แต่จุดประสงค์ตั้งต้นที่เขาอยากใช้นามแฝง อย่างแรกคืออยากทดลองว่าแนวกำลังภายในจะได้รับความชื่นชอบจากนักอ่านหรือไม่ โดยไม่อาศัยความนิยมและความสนใจของแฟนคลับ
ซึ่งในที่นี้มีความแตกต่างกันมาก ถ้าหากเขาใช้นามแฝงและหนังสือเกิดดังขึ้นมา ข้อมูลถึงจะน่าเชื่อถือจริงๆเช่นนั้นโครงการผลงานลิขสิทธิ์ขนาดใหญ่แนวกำลังภายในก็น่าทำทีเดียว!
อีกอย่าง ลู่เฉินต้องการถ่อมตัวไม่อยากเป็นจุดสนใจมากนัก
ผลปรากฏว่าหนังสือใหม่ล้มไม่เป็นท่า
เขายังคงดื้อรั้น “ทำก็ทำสิ ผมเซฟต้นฉบับเอาไว้เยอะแยะ ยังไงก็ต้องเขียนหนังสือเล่มนี้ให้เสร็จแล้วค่อยว่ากัน ถ้าไม่ได้จริงๆ ผมจะใช้ชื่อของผมเอง!”
นี่คือตัวเลือกสุดท้าย รู้สึกขายหน้าเล็กน้อย!
เฉินเฟยเอ๋อร์ทำเป็นพูดดุ “งั้นนายจะเขียนไปถึงตอนไหน ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับฉันเลยนะ มัวแต่เฝ้าโน้ตบุ๊กของตัวเอง แบบนี้สู้ฉันทิ้งนายแล้วไปหาคนอื่นยังจะดีกว่า!”
ลู่เฉินตะครุบกดทับไปบนร่างของเธอ แล้วเอ่ยอย่างโหดเหี้ยมว่า “คุณอย่าฝันไปเลย ชาตินี้คุณหนีไปจากฝ่ามือของผมไม่พ้นหรอก!”
เฉินเฟยเอ๋อร์ร้องอุทานทันที “ช่วยด้วยค่ะ…”
แต่ปากของเธอกลับถูกอุดไว้ ลมหายใจแทรกผ่านออกทางจมูก ได้ยินเสียงครวญครางดัง ‘อ้าๆ อ้ะๆ’
บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนเป็นความละมุนละไม
คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กถูกทิ้งไปอีกข้าง ด้านบนของหน้าจอขึ้นว่า ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ตัวอักษรลี่ซูสีดำสี่ตัวขนาดใหญ่สะดุดตาเป็นพิเศษ
…………………………………………………………………………