ลู่เฉินไม่เคยคิดเลยว่า
จะมีวันหนึ่งที่เขาสามารถยืนอยู่ในสถานที่เช่นนี้ ร้องเพลงให้ผู้ชมมากมายขนาดนี้ได้รับฟัง
แสงสปอร์ตไลท์สาดทออยู่บนร่าง ใจลู่เฉินกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด
ส่วนที่ไม่สงบนั้น มีเพียงเหล่าปราป่นที่ออนไลนมากกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นไอดีในห้องไลฟ์ลู่เฟยของ【วาฬTV】นั่นเอง!
“ลู่เฟยต้าต้าขึ้นเวทีแล้ว!”
“ฉันเห็นแล้ว!”
“ฉันโคตรตื่นเต้น! โคตรตื่นเต้น! โคตรตื่นเต้น! โคตรตื่นเต้น! โคตรตื่นเต้นเลย!”
“เจ้าของไลฟ์สู้ๆ พวกเราสนับสนุนคุณ สนับสนุนตลอดไป!”
“เจ้าของไลฟ์ทรงพลานุภาพ…”
แต่หลี่เฟยอวี่ในฐานะพิธีกรเฉพาะกิจนั้น ไม่ได้มองที่หน้าจอเลยสักนิด
เขาดันร่างให้ลุกขึ้น แววตาหันไปมองเวที เบิกตาจนกลมกว้างยิ่ง มือขวารวบหมัดพยายามควบคุมมุมปากของตัวเอง คล้ายกับว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างกระอักออกมา มีเพียงเช่นนี้จึงจะสามารถสงบอารมณ์ได้
เครียด เครียดโคตรๆ คล้ายกับว่าที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นตัวเอง!
ห่างไปจากที่หลี่เฟยอวี่นั่ง 3.5 เมตร ด้านในโซนวีไอพี คนดังในวงการเหล่านั้นยังคงพูดคุยกันเกี่ยวกับการแสดงของวงฟิตที่เพิ่งจบไป พวกเขาเอ่ยชื่นชมและยอมรับในฝีมือการร้องของเฉิงเซี่ยวตง ประเมินว่าน่าจะเป็นวงดนตรีที่มีฝีมือที่สุดในบรรดานักร้องวงดนตรีทั้งหมดจนกระทั่งจบงาน
ซูชิงเม่ยกลับไม่ได้สนใจ หล่อนจับมือต่งอวี่แล้วพูดว่า “หมอนั่นขึ้นเวทีแล้ว พี่คอยดูให้ดีล่ะ!”
มุมปากของหล่อนเผยรอยยิ้ม ยิ้มจนหยาดเยิ้ม คล้ายกับจิ้งจอกที่เพิ่งจับลูกไก่เอาไว้ได้
ต่งอวี่หัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก “เธอไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอ? ทำให้เขาร้องได้ไม่ดี เธอจะได้อะไร? หายโกรธหรือไง?”
“พี่สาวอวี่ เปิ่นเสี่ยวเจี่ยมีตื้นเขินขนาดนั้นหรือ?”
ซูชิงเม่ยพูดอย่างภาคภูมิว่า “ที่ฉันโจมตีเขา นั่นเพราะอยากให้เขาสมองโล่งหัดรู้จักสำเหนียกในฐานะของตัวเองบ้าง แล้วฉันค่อยไปให้เขาเซ็นเข้าสังกัดยอมให้ชุบเลี้ยงดีๆอีกรอบ เพราะมีเพียงคนที่เคยผ่านความล้มเหลวจึงค่อยรู้จักถนุถนอมหรอก!”
ต่งอวี่รู้สึกอับจนถ้อยคำ
ซูชิงเม่ยความจริงยังอยากพูดอีกว่า สิ่งที่เธอเตรียมไว้ให้ลู่เฉินไม่ใช่จะมีเพียงแค่ลำดับการแสดงง่อยๆแบบนี้เท่านั้น
มื้อใหญ่ของแท้น่ะมันอยู่ตอนหลังต่างหาก!
ทั่วทั้งงานเงียบงันอย่างรวดเร็ว บรรยากาศที่เดิมทีถูกกระตุ้นจากวงฟิตและเฉิงเซี่ยวตงจนร้อนแรงนั้นสงบลงอย่างว่องไว เมื่อผู้ชมสองพันกว่าคนเห็นลู่เฉินหิ้วกีตาร์ขึ้นเวที บ้างก็แตกตื่นบ้างก็ประหลาดใจ บ้างก็รู้สึกสงสัยบ้างก็ไม่พอใจ
ผู้ที่ขึ้นมาแสดงในคิวก่อนหน้าลู่เฉินนั้นบ้างก็มาเป็นกลุ่ม บ้างก็เป็นวงดนตรีเต็มคณะ หรือไม่ก็นักร้องที่มีวงดนตรีมาช่วยบรรเลงให้ ไม่มีใครที่จะหิ้วกีต้าร์ตัวเดียวขึ้นเวทีแบบเขาเลย
อย่าบอกนะว่าลู่เฉินเตรียมจะร้องเพลงโฟล์คหรือเพลงรักน่ะ?
เพลงที่อ่อนยวบไร้พลังแบบนั้น มันจะเหมาะกับบรรยากาศงานอันคึกคักแบบนี้ได้ยังไง?
ต้องใช้ความกล้าขนาดไหนถึงทำให้เขากล้ามายืนอยู่ต่อหน้าทุกคนแบบนี้?
ผู้ชมหลายคนรู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองถูกกทำลายแล้ว ต่างไม่พอใจอยู่บ้าง กระทั่งในบรรดาผู้ชมยังเริ่มมีคนโห่ร้องออกมา
แม้ว่าผู้ชมจำนวนมากยังมีเหตุมีผลอยู่ อย่างน้อยก่อนที่ลู่เฉินจะร้องพวกเขาก็ไม่เอะอะโวยวาย แต่มีเพียงคนสามสี่คนส่งเสียงโห่ออกมา พอได้ฟังก็ยิ่งเสียดหูเป็นพิเศษ
นับเป็นแรงกดดันอันไร้สภาพต่อคนที่ยืนอยู่บนเวทียิ่งนัก!
ลู่เฉินไม่สนใจเสียงโห่ เขาพูดผ่านไมค์ว่า “ทุกท่านสายัณห์สวัสดิ์ ผมลู่เฉินจากเดย์ลิลลี่ เพลงที่ผมจะร้องให้ทุกท่านรับฟังเป็นเพลงแต่งของผม นี่เป็นครั้งแรกที่จะร้องเผยแพร่ต่อสาธารณชนครับ”
“ชื่อเพลงคือ ในฤดูใบไม้ผลิ!”
เพลงแต่ง? ร้องครั้งแรก? ในฤดูใบไม้ผลิ?
ผู้ชมในงานได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ทั้งยังรู้สึกถึงความเชื่อมั่นที่แฝงมา
ลู่เฉินไม่ได้อธิบายต่อ เสียงบรรเลงพรีลูดอันกระจ่างชัดดังขึ้น
สายเหล็กขยับในชั่วพริบตา แววตาของเขาหันไปยังความอ้างว้างเบื้องหน้า ดวงตาอันดำขลับคล้ายมีเปลวไฟเต้นระริก
ความทรงจำนับไม่ถ้วนแว่บผ่านในห้วงสมองของลู่เฉิน นั่นเป็นความทรงจำของสวีป๋อ
เปลวไฟในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นประสบการณ์สุดคณานับ แล้วเสียงแหบแห้งก็เปล่งออกมาจากปาก!
“ยังจำฤดูใบไม้ผลิเมื่อหลายปีก่อนได้
ตอนนั้นฉันยังไม่ได้ตัดผมยาว
ไม่มีบัตรเครดิตและไม่มีเธอ
ไม่มีร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง
แต่ตอนนั้นฉันกลับมีความสุขมากขนาดนั้น
แม้จะมีเพียงกีตาร์โปร่งตัวเดียว
บนถนน ใต้ต้นไม้ ท่ามกลางท้องทุ่ง
ขับขานบทเพลงที่ไร้ผู้คนสนใจเพลงนั้น!
……”
ท่อนแรกนั้นผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง บรรยายเรื่องราวที่เคยผ่านมาแล้วนั้นให้ทุกคนได้ฟังอย่างไพเราะ แฝงความคิดถึงและประสบการณ์มากมายอยู่ไม่น้อย ให้หวนระลึกถึงช่วงเวลาที่ไม่อาจลืมได้ตลอดกาลเหล่านั้น
แต่ในตอนที่ทุกคนเข้าใจว่ามันเป็นเพลงโฟล์คธรรมดาเพลงหนึ่งนั้น ทำนองเพลงก็เร่งทวีความรุนแรงขึ้นในทันที เสียงกีตาร์กระแทกอย่างดุดัน!
“หากมีสักวันหนึ่ง ที่ฉันแก่ไร้ที่พักพิง
ขอให้ฉันได้คงอยู่ ในช่วงเวลานั้น!
หากมีสักวันหนึ่ง ที่ฉันจากไปเงียบๆ
ขอให้ฝังฉันไว้ ในฤดูใบไม้ผลินี้!”
……”
ฉับพลันนั้นทั้งเสียงร้องตะโกนอันกระแทกทรวง รวมทั้งอารมณ์อันทับซ้อนก็ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง คล้ายกับเป็นกระสุนปืนใหญ่ที่พุ่งวาบกลางสนามรบ ระเบิดเข้าใส่ห้วงอารมณ์ของทุกผู้คนด้วยอานุภาพปานฟ้าร้องไม่ทันอุดหู ทำให้พวกเขาสั่นเทาจนหัวศีรษะซาซ่าน!
กระแทกลงไปถึงจิตวิญญาณอย่างแท้จริง!
แต่เสียงเพลงในตอนนี้กลับหวนสู่ท่วงทำนองอ่อนนุ่มก่อนหน้าอีกครั้งหนึ่ง
“ยังจำฤดูใบไม้ผลิอันอ้างว้างเหล่านั้นได้
ตอนนั้นฉันยังไม่ได้ไว้หนวดเครา
ไม่มีวันวาเลนไทน์และไม่ได้ของขวัญ
ไม่มีองค์หญิงน้อยที่น่ารักของฉันคนนั้น
แต่ฉันกลับรู้สึกว่าทุกอย่างไม่ได้พุพังปานนั้น
แม้ฉันจะได้เพียงแค่เพ้อฝันถึงความรัก
ตอนฟ้าสาง ยามค่ำคืน กลางสายลม
ขับขานบทเพลงที่ไร้ผู้คนสนใจเพลงนั้น!
……”
ผู้คนที่ถูกกระแทกจนไม่ทันระวังป้องกันแต่แรกเหล่านั้นในที่สุดก็รู้สึกตัว และพากันตื่นเต้นขึ้นมา
คนทั่วทั้งงานต่างได้ยินเพลงนี้เป็นครั้งแรก ตามหลักแล้วเพลงๆหนึ่งนั้นยากที่จะดึงดูดให้ผู้ชมรู้สึกร่วมได้ เพลงดีๆมากมายต้องฟังซ้ำนับครั้งไม่ถ้วนจึงจะรับฟังออกถึงอารมณ์เพลงที่แฝงมาได้
แต่เพลง《ในฤดูใบไม้ผลิ》ไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนองของมันหรือเนื้อร้องของมันต่างไม่ได้ซับซ้อนเลย ไม่มีจุดที่คลุมเครือขัดหูเลยแม้แต่น้อย แต่มันกลับแฝงอารมณ์ที่เปี่ยมไปด้วยความร้อนแรง เรื่องราวมากมาย และความคิดถึง เป็นความประทับใจความจริงใจเช่นนี้เอง ทำให้ใครก็ไม่อาจต้านทานได้!
ทุกคนได้ยินแล้ว ได้ยินจนกระจ่างแล้ว แต่ก็ไม่อาจต้านทานการโน้มนาวได้
ทุกคนถูกโน้มน้าว ไม่ใช่เพราะความโศกเศร้าที่แฝงไว้ในเนื้อเพลง กลับเป็นการร่วงหล่นของจิตวิญญาณชนิดหนึ่ง เป็นการพัวพันของอารมณ์ชนิดหนึ่ง หลังจากได้รับก็เป็นความลังเลที่หายไปอีกครั้ง โดยเฉพาะความรู้สึกพ่ายแพ้ต่อกาลเวลาที่ไม่เคยหวนกลับมาเหล่านั้น
ได้ฟังว่า
“และคงมีสักวัน ที่ฉันแก่ไร้ที่พักพิง
ขอให้ฉันได้คงอยู่ ในช่วงเวลานั้น!
หากมีสักวันหนึ่ง ที่ฉันจากไปเงียบๆ
ขอให้ฝังฉันไว้ ในฤดูใบไม้ผลินี้
ในฤดูใบไม้ผลิ~”
ทั่วทั้งงานกลับเงียบงันถึงขีดสุด มีเพียงการบรรเลงของกีตาร์เพียงตัวเดียวกับเสียงร้องของลู่เฉินที่ดังกังวาน เสียงโห่ร้องขัดหูเหล่านั้นอันตรธานหายไปเนิ่นนานแล้ว ทำให้คนรู้สึกทั้งน่าขำขันทั้งน่าสมเพช
แรงปะทะของเพลงนี้มันมากมายมหาศาลเกินไปแล้ว ไม่ใช่กับผู้ชมสองพันกว่าคน แต่กับเหล่านักร้องที่ต้องออกแสดงพร้อมกับลู่เฉินต่างหาก
ตั้งแต่พวกเขาออกท่องยุทธจักร หลายคนโซซัดโซเซมาถึงเมืองหลวงเพื่อค้นหาอุดมการณ์บนเส้นทางดนตรี พวกเขาหวังจะมีชื่อเสียง หวังจะถูกคนชื่นชม หวังจะกลายเป็นเป้าหมายของมหาชน
แต่ความจริงมักจะโหดร้ายเสมอมา เมื่ออุดมการณ์ถูกความต้องการเอาชีวิตรอดเข้าแทนที่ วัยหนุ่มสาวก็จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาค่อยๆเปลี่ยนเป็นตอไม้ ไม่ได้ยืดหยัดในความเชื่อมั่นอีกแล้วลืมเลือนความปรารถนาไปจนหมดสิ้น อีกทั้งยังคุ้นชินจนแปรเปลี่ยนเป็นนิสัย
จนกระทั่งตอนนี้ เมื่อได้ยินเพลง《ในฤดูใบไม้ผลิ》ของลู่เฉินเพลงนี้ รอยแผลลึกที่แอบซ่อนในใจพวกเขา ก็ค่อยๆถูกกระชากออกทีละชั้น รับทราบถึงความเจ็บปวดจนไม่อาจพรรณนาได้
เพลงแบบนี้ ทำไมจึงเป็นลู่เฉินที่ร้องออกมาได้!!
เขาหนุ่มขนาดนั้น เขาแค่คนรุ่นหลังคนหนึ่ง เขา…
ประตูทางเข้าด้านหลังเวที ฉินฮั่นหยางและพี่สาวนายืนเคียงกันอยู่ สีหน้าของคนก่อนค่อยๆแดงระเรื่อ ทั่วทั้งร่างต่างสั่นระริก ส่วนดวงตาของคนหลังนั้นกลับพลิกวาบด้วยหยาดน้ำตาแวววับ ใช้ฟันกัดริมฝีปากอย่างแรง
ด้านใน คนของวงจื่อเป่ยเจินต่างเงียบงันไร้วาจา กานหล่างนั่งเซ่อคล้ายกับต้องมนต์ทำให้แข็งเป็นหินอย่างไรอย่างนั้น
เขารู้สึกว่าตัวเองช่างน่าเศร้านัก
*(ตายในบรรทัดเดียวเลยนะกานหล่าง)
เฉิงเซี่ยวตงที่หยุดฝีเท้าตรงทางเดินสต๊าฟ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นปั้นยากขึ้นมา
ชั้นล่างของบาร์บลูโลตัส ไม่ว่าจะเป็นนักร้องหรือสมาชิกวงดนตรีที่กำลังรอขึ้นเวที ต่างล้วนหันไปมองนอกหน้าต่างกระจก หันไปมองเวทีที่ถูกกั้นเอาไว้ ดุจดั่งเป็นผู้แสวงบุญ!
เพราะพวกเขาต่างรู้ว่า พวกเขากำลังจะกลายเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์ที่มีบทเพลงอมตะถือกำเนิดขึ้น!
โซนวีไอพีทั้งชั้นบนและชั้นกลาง ต่างไร้ผู้คนสนทนาอีกต่อไป
เวลาในชั่วขณะนี้ไม่มีใครพูดมากอะไรแล้ว เพียงรับฟังบทเพลงเท่านั้น
“หากมีสักวันหนึ่ง ที่ฉันจากไปเงียบๆ ขอให้ฝังฉันไว้ ในฤดูใบไม้ผลินี้ ในฤดูใบไม้ผลิ~”
“จ้องมองดูฤดูใบไม้ผลิอันแพรวพราวในชั่วขณะนี้ ยังคงคล้ายจะอบอุ่นเช่นตอนนั้น…”
เสียงเพลงค่อยๆจางหาย แต่ความรู้สึกยังคงอยู่ คล้ายกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิชั่วนิรันดร์ไม่เคยจากลา
—————-
เพลงในฤดูใบไม้ผลิ(春天里,ชุนเทียนหลี่) ของหวางเฟิง(汪峰)