“เธอต้องดังแน่!”
พี่สาวนาพูดอย่างมั่นใจ “ร้อยเปอร์เซ็นต์!”
ฉินฮั่นหยางที่อยู่ข้างๆหล่อนก็พยักหน้าแรงๆ แสดงความเห็นด้วยต่อการวิเคราะห์ของพี่สาวนา
《เธอที่นั่งข้างฉัน》《ซินเดอเรลล่า》《ในฤดูใบไม้ผลิ》และ《บลูโลตัส》* สี่ผลงานเพลงชั้นเยี่ยม ก็แสดงพรสวรรค์และฝีมืออันน่าตระหนกของลู่เฉินแล้ว บวกกับฝีมือการร้องและรูปร่างหน้าตาของเขา ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ดัง!
*(ขอเปลี่ยนเป็นชื่อภาษาอังกฤษแทนนะครับ)
ใช่แล้ว ยังต้องรวมกับเพลงนั้นที่เขาเขียนให้กับพี่สาวนา และทั้งห้าเพลงก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นบทเพลงอมตะ!
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ขอบคุณพี่สาวนา!”
เขาไม่ได้มั่นใจขนาดนั้น
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ลู่เฉินนอกจากจะต้องจัดระเบียบบทเพลงในความทรงจำของตนเองแล้ว ยังต้องสืบค้นข่าวคราวในวงการบันเทิงอีกมากบนอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นข่าวคราวที่เผยแพร่ต่อสาธารณชนหรือสกู๊ปข่าวอินไซด์ รวมทั้งข่าวลือที่ไม่มีเค้ามูลก็ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ เขาต้องพยายามแยกแยะข่าวคราวของวงการกระแสหลักที่ตนใกล้ก้าวเข้าไปนี้ให้ลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิม
ตอนนี้ไม่ใช่ยุคปี 80-90 แล้ว กระทั่งยังมีการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินแตกต่างจากเมื่อสิบกว่าปีก่อน
นักร้องนักดนตรีสมัยก่อน อาศัยผลงานโดดเด่นเพลงเดียวก็สามารถโด่งดังไปทั่วยุทธจักรเหนือใต้ จากนั้นใช้เพลงเดียวนี้ทำมาหากินอยู่หลายปีกระทั่งสิบกว่าปียังมีเลย รายได้เป็นถุงเป็นถังนั้นช่างทำให้คนใจสั่นรุ่มร้อนนัก
แต่พอเข้าสู่ศตวรรษใหม่ ด้วยการขยายตัวอันมโหฬารของอุตสาหกรรมบันเทิงกับการเฟื่องฟูขึ้นทุกด้านของโลกอินเตอร์เน็ต เรื่องดีๆแบบนี้เป็นเรื่องที่หาได้ยากแล้ว เพราะโลกทรรศของผู้คนเปิดกว้างมากขึ้น ระดับความเพลิดเพลินก็กว้างขวางยิ่งขึ้น ข้อเรียกร้องต่อความเพลิดเพลินนั้นก็สูงขึ้นมากตามไปด้วย
กล่าวคือ หากนักร้องในอดีตคิดจะสร้างชื่อในเพลงเดียว อย่างนั้นคงต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมหาศาลในการเผยแพร่ แต่ในขณะเดียวกัน นักร้องอินเตอร์เน็ตยุคใหม่อาศัยความได้เปรียบของสื่อแบบใหม่มาทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพลงดีๆเพลงหนึ่ง สามารถแพร่หลายจนโด่งดังอย่างรวดเร็วดุจไวรัสอินเตอร์เน็ต แม้ไม่ต้องขายอัลบั้ม ก็สามารถอาศัยทางลัดอย่างการดาวน์โหลริงโทนมาหาประโยชน์ได้ เหมือนกับได้รับมากก็ได้รับยิ่งกว่า
แต่พอถึงตอนนี้ การมีชื่อเสียงโด่งดังก็เป็นหน้าที่ที่ยากระดับนรกแล้ว ไม่ว่าคุณหล่อเหลาขนาดไหน ร้องเพลงดีขนาดไหนหรือสามารถแต่งเพลงแสดงฝีมือออกมาเต็มที่ขนาดไหน ก็ต้องการโปรโมทและประชาสัมพันธ์เป็นจำนวนมากเสียก่อน
คนเหล่านั้นเพื่อที่จะมีชื่อเสียง สามารถใช้แผนโปรโมทคุณภาพต่ำได้ทุกชนิด นี่ทำให้วงการบันเทิงเคลือบแฝงด้วยสีสันพิลึกกึกกือชั้นหนึ่ง ไม่รู้มีคนที่มีฝีมือและมีพรสวรรค์มากน้อยเท่าใดถลำลึกลงไป จากนั้นก็เงียบหายไร้ข่าวคราว
ลู่เฉินคิดอยากอาศัยผลงานออริจินัลของตนเองเพื่อให้กลายเป็นดาราที่ผู้คนจับตามอง วิธีการที่ดีที่สุดก็คือเซ็นสัญญาเข้าสังกัดบริษัทสื่อหรือบริษัทบันเทิงบางเจ้า แล้วใช้บุคลากรมืออาชีพมาพัฒนาบุคลิกภาพและทำการโฆษณา ซึ่งถือเป็นทางลัดที่รวดเร็วที่สุด
แต่วิธีนี้พอดีเป็นวิธีที่ลู่เฉินไม่ชอบใจ——ไม่มีอะไรที่จะสามารถขัดขวางอิสรภาพของคุณไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว!
ส่วนในอนาคต ลู่เฉินก็มีแผนการเบื้องต้นรองรับไว้แล้ว
“อี๋?”
แน่นอนว่าในตอนนี้ลู่เฉินจะไม่พูดความคิดในใจออกไปทำให้ทุกคนเกิดความเซ็ง เขาจึงหันไปมองด้านในหลังเวที กล่าวถามย่างสงสัยว่า “พี่ใหญ่กานหล่างไปไหนแล้วครับ?”
ไม่ใช่ลู่เฉินแสร้งตีหน้าเซ่อ เขาแสดงเสร็จลงเวที ก็ควรจะถึงคิวของกานหล่างกับวงจื่อเป่ยเจินต้องขึ้นเวทีสิ
แต่กานหล่างก็ยอมแพ้หนีไปแล้ว เหล่าสหายของเขาอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ไหนเลยจะยอมมายืนบื้ออยู่แถวนี้อีกเล่า!
ฉินฮั่นหยางกระแอมสองที พูดว่า “พี่ใหญ่กานเขามีเรื่องด่วน พี่สาวนา พวกเราขึ้นเวทีกันเถอะ!”
หากไม่ขึ้นเวทีอีก การแสดงคงหยุดชะงัก
ลู่เฉินนับว่าเข้าใจแล้ว จึงไม่ได้พูดปัญหาข้อนี้อีก หัวเราะพลางพูดว่า “อย่างนั้นผมจะให้กำลังใจพี่สาวนาอยู่ตรงนี้นะครับ!”
พี่สาวนาพูดว่า “คืนนี้ฉันไม่ร้องเพลงใหม่แล้ว”
เหตุผลที่เธอไม่ร้องเพลงใหม่กับเหตุผลของกานหล่างนั้นไม่เหมือนกัน ฝ่ายหลังโดนลู่เฉินโจมตีจนสูญเสียความกล้าที่จะขึ้นเวทีไป,ส่วนพี่สาวนากลับไม่คิดทำให้ซีนที่ลู่เฉินควรได้รับอ่อนจางลง
จากด้านยอกจนถึงด้านในงาน ยังคงได้ยินเสียง“ทะยาน”ดังออกมาเช่นเคย
งานค่ำคืนดนตรีไลท์บลูในคืนนี้นั้น ควรจะมีดวงดาวเช่นลู่เฉินเพียงดวงเดียวที่ส่องประกายเจิดจ้าที่สุด!
ฉินฮั่นหยางเข้าใจหล่อน จึงพูดว่า “อย่างนั้นพวกเราก็มาร่วมกันเล่นเพลงเก่าสักสองเพลงเถอะ!”
คนทั้งสองพาวงผั่งหวงขึ้นบนเวที
ลู่เฉินทำเหมือนเดิมเช่นเดียวกับฉินฮั่นหยางและพี่สาว ยืนอยู่ตรงทางเข้าออกหนังเวที ตระเตรียมเพลิดเพลินกับการแสดงของพวกเขา
แม้ว่าลู่เฉินจะทำงานอยู่ในเดย์ลิลลี่มาครึ่งปีกว่า ก็ยังเคยเห็นการแสดงร่วมของคนทั้งสองเพียงไม่กี่ครั้ง
เพราะตอนที่วงผั่งหวงขึ้นเวทีแสดง เขาก็รีบกลับบ้านก่อนแล้ว
“ไม่ทราบใช่อาจารย์ลู่เฉินหรือเปล่าครับ?”
ตอนนั้นเอง เด็กเสิร์ฟคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาอย่างรีบร้อน ถามลู่เฉินด้วยความสุภาพยิ่ง
ลู่เฉินผงะนิด แล้วจึงพูดว่า “ใช่ครับผมเอง มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
เด็กเสิร์ฟเผยใบหน้ายิ้มแย้มอธิบาย พูดอย่างสุภาพว่า “เถ้าแก่ชางของพวกเราอยากเชิญคุณไปพบ มีเรื่องสำคัญที่จะต้องเจรจากับคุณครับ ไม่ทราบว่าคุณตอนนี้สะดวกหรือไม่?”
มาตามคาด!
ลู่เฉินทราบดีว่าชางเว่ยเชิญตนไปหาจะเจรจาเรื่องอะไร เจาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ตอนนี้ไม่สะดวกสักหน่อยครับ ขอรอจนการแสดงของพี่ชายต้นฉินกับพี่สาวนาจบก่อน แล้วผมจะไปทันที ฝากขอโทษเถ้าแก่ชางแทนผมด้วยนะครับ”
ไม่ใช่ลู่เฉินแสร้งเล่นตัวเบอร์ใหญ่อะไร แต่เมื่อครู่ฉินฮั่นหยางกับพี่สาวนาเลื่อนเปิดตัวเพลงใหม่เพื่อสนับสนุนตน ตอนนี้ถึงคิวที่พวกเขาจะต้องขึ้นเวที ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ ลู่เฉินก็ต้องอยู่ที่นี่เพื่อแสดงท่าทีสนับสนุนของตนเอง
อีกอย่างจะว่าไป ถ่วงเวลาอีกฝ่ายไปก่อนสักหน่อย อย่างนั้นต้องเป็นประโยชน์ต่อการเจรจาเกี่ยวกับสิทธิสร้างสรรค์ต่อไปในภายหลังอย่างแน่นอน
เปรียบเทียบกับเถ้าแก่ชางเว่ย ลู่เฉิน เป็นฝ่ายที่อ่อนแอกว่าไม่ต้องสงสัย
เมื่อได้ยินคำตอบของลู่เฉิน เด็กเสิร์ฟคนนี้บังเกิดความรู้สึกถล่มสุนัขอยู่บ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าลู่เฉินจู่ๆจะถ่วงเวลา
คนที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงของโฮ่วไห่ มีใครไม่ทราบบ้างว่าเถ้าแก่ของบลูโลตัสมีชื่อเสียงโด่งดังเพียงไหน เถ้าแก่ชางเรียกหาด้วยตัวเอง นักร้องตัวเล็กๆเช่นลู่เฉินคนนี้ควรจะรีบวิ่งสะบัดหางไปหาไม่ใช่หรือ?
ไอ้เด็กนี่บ้าเกินไปแล้ว!
เด็กเสิร์ฟแอบลอบก่นด่าอยู่ในใจ แต่เขาไม่ได้ลืมคำกำชับของชางเว่ย ด้วยเหตุนี้สีหน้าจึงไม่เปลี่ยน ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “อย่างนั้นก็เอาล่ะ ฉันขอตัวกลับไปรายงานให้เถ้าแก่ทราบก่อน”
ลู่เฉินพยักหน้า หันเหความสนใจกลับไปบนเวที
เพลงแรกที่พี่สาวนากับวงผั่งหวงแสดงร่วมกัน เป็นบทเพลงสร้างชื่อให้กับเจนนิเฟอร์ราชินีคันทรี่ของอเมริกา《ไม่ยอมก้มหัวตลอดกาล》 และเพลงนี้ก็เป็นเพลงหลักของหนังใหญ่ฮอลลิวู้ดที่มีชื่อเรื่องเดียวกัน ซึ่งหนังเรื่องนั้นเคยทำยอดขายตั๋วในประเทศได้ถึงหนึ่งพันล้านเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้เพลง《ไม่ยอมก้มหัวตลอดกาล》จึงคุ้นหูทุกคน ซึ่งแม้การร้องคัฟเวอร์ของพี่สาวนาจะไม่อาจเรียกได้ว่างดงามสมบูรณ์ไร้ที่ติก็ตาม แต่หล่อนสามารถใช้เส้นเสียงที่กว้างของตนเองและการปรับลมหายใจอันช่ำชองมาชดเชยแทนได้ สามารถขับร้องเพลงนี้ได้อย่างชำนาญ
บรรดาผู้ชมในงานมีหลายคนที่รู้เรื่องดนตรีดี เมื่อพี่สาวนาร้องไปจนถึงช่วงไคลแม็กซ์ ต่างปรบมือร้องตะโกนว่าดีออกมา!
บรรยากาศที่ค่อยๆเงียบเงาลงหลังจากการลงเวทีของลู่เฉินนั้น ค่อยๆเปลี่ยนเป็นแผดเผาขึ้นมาอีกครั้ง
เพลงที่สองเป็นเพลง《คู่รักตัวน้อย》ซึ่งพี่สาวนาและฉินฮั่นหยางร้องร่วมกัน เพลงนี้นับเป็นเพลงยอดนิยมในช่วงนี้ คนทั้งสองร้องสอดรับกันดุจภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ ทำให้อารมณ์ขันที่แฝงมากับบทเพลงและทำนองแสดงออกมาได้อย่างถึงอกถึงใจ เพิ่มการก่อกวนให้คนรู้สึกเบิกบาน มักจะเรียกเสียงเชียร์ขึ้นมาเป็นพักๆ
เพลงสุดท้ายเป็นเพลง《City Sky》ฝ่ายฉินฮั่นหยางเป็นตัวหลักอย่างไร้ผู้เปรียบ เขาใช้เสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองและการขอบร้องอันเต็มเปี่ยมด้วยพลังมาสั่นสะเทือนผู้ชม จนได้รับการตะโกนเชียร์อย่างท่วมท้น!
แม้ว่าลู่เฉินจะขโมยซีนไปก่อน แต่มือเก๋าทั้งสองก็ยังคงอาศัยฝีมือการแสดงอันโดดเด่นของตน จนได้รับเสียงชื่นชมและการยอมรับจากผู้ชมกว่าสองพันคนในงาน
ตอนที่ขอบคุณ เสียงปรบมืออันอบอุ่มก็ดังก้องยาวนานกว่าครึ่งนาที
ลู่เฉินเองก็พยายามปรบมืออย่างแรง แล้วยังร้องตะโกนว่าดีให้แก่ทั้งสองเสียงดัง ตอนที่คนทั้งสองกลับมาถึงหลังเวที ก็ยกนิ้วโป้งแสดงความยินดีและอวยพร แถมยังกอดพี่สาวนาอย่างอบอุ่นด้วย
พี่สาวนาหัวเราะว่า “วันนี้น่ายินดีจริงๆ!”
แม้หน้าตาของหล่อนจะธรรมดา กระทั่งยังนับว่าขี้ริ้วอยู่บ้าง แต่ขณะนี้บนใบหน้ากลับฉาบด้วยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ยิ่ง
ฉินฮั่นหยางเองก็รู้สึกดี “ไม่ได้ขึ้นเวทีมาตั้งนาน รู้สึกไม่เลวเลยจริงๆ!”
การร้องเพลงให้กับลูกค้าสองร้อยกว่าคนในร้าน กับการแสดงต่อหน้าผู้ชมสองพันกว่าคนในงาน นั่นเป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ยืนอยู่บนเวทีใหญนั้นทำให้อะดรีนาลีนขับออกมาได้รวดเร็วยิ่ง ตื่นเต้นตึงเครียดจนไม่อาจควบคุมตัวเอง
โชคดีที่คนทั้งสองนับว่าผ่านสมรภูมิมาร้อยศึก จึงสามารถประคองเวทีเอาไว้ได้
“พี่ชายฉิน พี่สาวนา อาจารย์ลู่เฉิน!”
เด็กเสิร์ฟคนนั้นเมื่อครู่ส่งเสียงเรียกออกมาอีกครั้ง พูดอย่างนอบน้อมว่า “เถ้าแก่ชางของพวกเราเชิญพวกคุณทั้งสามคนไปหาครับ”
เทียบกับก่อนหน้านี้ ท่าทีของเขายังนอบน้อมยิ่งกว่าเก่า
ฉินฮั่นหยางและพี่สาวนาต่างไม่รู้เรื่องราว ด้วยเหตุดังกล่าวจึงมองหน้ากันเลิกลั่กอย่างงุนงง
พวกเขาไม่ทราบว่าชางเว่ยทำไมถึงเชิญตนรวมทั้งลู่เฉินไปหาพร้อมกัน
ลู่เฉินกระจ่างวูบอยู่ในใจ ทันใดนั้นจึงพูดว่า “พี่ชายต้นฉิน พี่สาวนา ในเมื่อเถ้าแก่ชางเชื้อเชิญ อย่างนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเถอะครับ เถ้าแก่ของพวกเราน่าจะอยู่ด้วย”
ฉินฮั่นหยางกับพี่สาวนาเมื่อได้ยินคำอธิบาย ก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเฉินเจี้ยนฮ่าวอยู่ด้วยนี่เอง