ตอนที่ 425 คำเชิญของซูจิ้ง
ละครที่เฉินเฟยเอ๋อร์กำลังถ่ายทำคือละครฟอร์มยักษ์เรื่องใหม่ของสถานีโทรทัศน์กลาง ‘ลำนำศิวิไลซ์’ เป็นเนื้อเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ถัง บทบาทที่เธอได้รับคือนักขับร้องสาวรูปงามผู้เลื่องลือ
ละครเรื่องนี้มีความยาวหกสิบตอน เงินลงทุนร้อยเจ็ดสิบล้านหยวน เป็นการรวมตัวกันของดาราใหญ่จากทั่วทั้งวงการ รวมทั้งซูเปอร์สตาร์อีกหลายคน จึงเป็นที่จับตามองของทั้งวงการ
เฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ได้แสดงเป็นนางเอก แต่บทที่เธอได้รับสำคัญมาก ไม่อาจถ่ายทำให้เสร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น อีกอย่างผู้กำกับที่ควบคุมการแสดงเรื่องนี้นั้นขึ้นชื่อว่าเข้มงวดกวดขันกับนักแสดงมาก
“ฉันเสียใจที่รับเล่นเรื่องนี้แล้ว…”
เสียงออดอ้อนของเฉินเฟยเอ๋อร์ปนความคับแค้นใจ “ถ้ารู้ก่อนฉันคงไปถ่ายหนังที่เซียงเจียงกับนายแล้ว ต้องน่าสนุกกว่านี้แน่”
ตอนที่เธอถ่ายทำเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ กับ ‘ ฟูลเฮ้าส์’ ทีมงานทั้งหมดรายล้อมอยู่ที่ตัวเธอกับลู่เฉิน ดูแลและบริการเป็นอย่างดี อีกทั้งการถ่ายทำละครไอดอลแนวความรักของคนเมืองก็ไม่เข้มงวดนัก ย่อมผ่อนคลายกว่านี้มาก
ทว่าในกองถ่ายของเรื่อง ‘ลำนำศิวิไลซ์’ เฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ใช่นักแสดงนำฝ่ายหญิง อยากได้รับการปฏิบัติที่ดีคงเป็นเพียงความฝัน
แต่ละครฟอร์มยักษ์เรื่องนี้สำคัญกับเฉินเฟยเอ๋อร์ที่กำลังเติบโตในวงการบันเทิงมาก เพียงแค่ถ่ายทำให้เสร็จสมบูรณ์ จะช่วยเสริมให้เธอมีตำแหน่งที่สูงขึ้นในวงการ
ลู่เฉินรู้ เขาจึงใช้หลักจิตวิทยาในการปลอบประโลมเธอ ทั้งสองถ่ายทอดความรักผ่านทางโทรศัพท์ กล่าวคำหวานชื่นต่อกันอยู่ชั่วโมงกว่า
จนโทรศัพท์มือถือส่งสัญญาณเตือนแบตเตอรี่อ่อน เฉินเฟยเอ๋อร์ถึงได้รู้สึกตัว รีบบอกว่า “โอ๊ย มือถือของฉันแบตจะหมดแล้ว เกือบลืมบอกนายเรื่องหนึ่งแน่ะ”
“ฉันมีเพื่อนอยู่ที่เซียงเจียงคนหนึ่ง นายน่าจะรู้จัก ชื่อซูจิ้ง”
“เมื่อวานฉันโทรหาเธอพูดถึงนายให้เธอฟัง พรุ่งนี้เธอจะให้คนส่งบัตรเชิญไปให้นาย เชิญนายไปร่วมงานกาล่าดินเนอร์การกุศล ถึงเวลานั้นจะมีคนในวงการมากมายไปร่วมงาน”
ลู่เฉินแค่ฟังก็เข้าใจแล้ว
เขาต้องการจะเปิดธุรกิจภาพยนตร์ในเซียงเจียงโดยที่ไม่มีรากฐานมาก่อน เรียกได้ว่าเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคย
เฉินเฟยเอ๋อร์ติดต่อผ่านซูจิ้งเพื่อให้ลู่เฉินได้เข้าไปอยู่ในวงการบันเทิงของเซียงเจียง เพียงแค่ได้รู้จักคนมากขึ้นหน่อย ก็เพียงพอจะทำให้เขาเติบโตก้าวหน้าได้อย่างราบรื่นขึ้นแล้ว
งานกาล่าดินเนอร์การกุศล ความจริงเป็นงานพบปะสังสรรค์ หากอยากเข้าไปอยู่ในงานนี้ ต้องมีคนนำพา
ซูจิ้งก็คือคนนำพาคนนั้น
ลู่เฉินไม่รู้จักซูจิ้ง แต่ชื่อของเธอไม่ใช่ไม่เคยได้ยิน
ปลายยุค 90 จนถึงต้นศตวรรษใหม่ หญิงสาวคนนี้เข้าสู่วงการนักร้องเพลงป็อปของเซียงเจียง โลดแล่นอย่างมีชีวิตชีวา ปล่อยอัลบั้มที่โด่งดังออกมาหลายชุด ภาพลักษณ์ของวัยรุ่นที่สดใสกับเสียงร้องอันหวานหยดย้อยเอาชนะใจแฟนคลับนับไม่ถ้วน
แต่เมื่อก้าวหน้าถึงขีดสุดในวงการแล้ว ซูจิ้งในวัยสาวได้แต่งงานเข้าสู่ตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวย จากนั้นได้หายตัวออกไปจากวงการเพลงอย่างเงียบๆ เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
เมื่อปีก่อนจู่ๆ ซูจิ้งก็ออกมาประกาศหย่าร้าง ทั้งยังหวนคืนสู่วงการเพลงอีกครั้ง
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนในอดีต เธอขึ้นมายืนอยู่บนเวทีใหม่อีกครั้งกลับไม่มีผลงานเพลงที่โดดเด่นอะไร ชื่อเสียงยังคงอยู่ แต่ความนิยมสูญหายไปเยอะ
เรียกได้ว่าเป็นดารานักร้องเก่าแก่ในอดีตที่หมดยุคสมัยไปแล้ว
ความจริงซูจิ้งเพิ่งอายุ 37 ปีเท่านั้น สำหรับนักร้องที่มีความสามารถเช่นเธอ ช่วงเวลาทองที่แท้จริงของเธอยังดำรงอยู่ได้อีกนานยังไม่ผ่านพ้นไป
แต่อดีตก็เป็นเรื่องหนึ่ง ซูจิ้งเคยเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการเพลงของเซียงเจียงมาก่อน ยังมีฐานะลูกสะใภ้ของตระกูลใหญ่ ทำให้เธอรู้จักคนหลากหลายมีเส้นสายกว้างขวาง
เฉินเฟยเอ๋อร์แนะนำลู่เฉินให้กับซูจิ้ง เพราะเห็นแก่เส้นสายของฝ่ายหลัง
เฉินเฟยเอ๋อร์รู้จักซูจิ้งมานานแล้ว ตอนที่เธอซื้อบ้านที่อ่าวน้ำตื้นหลังนี้ซูจิ้งเป็นคนแนะนำให้เธอเอง อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวจนได้รับสิทธิพิเศษและการลดราคา ถือว่าค่อนข้างสนิทสนมกันดี
หลังจากซูจิ้งออกจากวงการเพลง ขอแค่ได้มาที่ปักกิ่ง ก็จะไปหาเฉินเฟยเอ๋อร์เพื่อดื่มชาพูดคุยกัน
วางสายจากเฉินเฟยเอ๋อร์แล้ว มือถือของลู่เฉินร้อนจัดแทบลวกมือ
มองวิวจากระเบียงอีกพักหนึ่ง ขณะที่ลู่เฉินเตรียมจะกลับเข้าห้องอาบน้ำนอน โทรศัพท์ได้ดังขึ้นอีกครั้ง
เขารับสายอย่างไม่คิดอะไร ถามยิ้มๆ ว่า “ทำไมเหรอ ลืมเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า”
ลู่เฉินคิดว่าเฉินเฟยเอ๋อร์เปลี่ยนโทรศัพท์แล้วโทรมาหาเขาใหม่อีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าเสียงที่ดังตอบมาจะเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคย “สวัสดีค่ะ คุณคือคุณลู่เฉินใช่ไหมคะ”
ลู่เฉินอึ้ง “ใช่ครับ คุณคือ?”
อีกฝ่ายตอบว่า “ฉันคือซูจิ้ง ไม่รู้ว่าเฉินเฟยเอ๋อร์ได้บอกคุณไว้ไหม ขอรบกวนหน่อยค่ะ”
ลู่เฉินนึกได้ทันที “พี่จิ้งสวัสดีครับ ผมเพิ่งวางสายจากเฟยเอ๋อร์ไป ได้พูดถึงคุณอยู่ครับ”
ภาษาจีนกลางของซูจิ้งดีมาก ไม่เจือปนสำเนียงกวางตุ้งสักนิด เธอพูดอย่างอ่อนโยนว่า “มิน่าล่ะเมื้อกี้ถึงโทรไม่ติดสักที คืออย่างนี้นะ ฉันจะเชิญคุณไปร่วมงานกลางคืนที่จะจัดขึ้นในวันมะรืนเป็นงานกาล่าดินเนอร์การกุศลที่โรงแรมแชงกรีลา ไม่รู้ว่าคุณอยากจะไปไหมคะ”
ลู่เฉินรีบตอบว่า “เป็นเกียรติของผมจริงๆ ครับ ผมเพิ่งมาที่เซียงเจียงเพื่อต่อยอดงาน ต่อไปหวังว่าพี่จิ้งจะช่วยดูแลนะครับ งานกาล่าดินเนอร์ที่โรงแรมแชงกรีลาผมต้องไปแน่นอน!”
“ดีค่ะ…”
ซูจิ้งหัวเราะ “พรุ่งนี้ฉันจะให้คนส่งบัตรเชิญไปให้คุณที่บริษัท คอนเฟิร์มกับคุณไว้ก่อน”
“ได้ครับ ขอบคุณครับ!”
หลังจากกล่าวตามมารยาทไม่กี่ประโยค ลู่เฉินก็วางสาย
ลู่เฉินคิดไม่ถึงว่าซูจิ้งจะโทรศัพท์หาเขาตอนนี้ จากข้อความที่พูดคุย เขารู้สึกไม่เลวกับซูจิ้ง เชื่อว่าคนคนนี้ควรค่าแก่การเป็นเพื่อนด้วย
นี่ทำให้ลู่เฉินอดรู้สึกรอคอยงานกาล่าดินเนอร์ในคืนวันมะรืนนี้ไม่ได้ ถ้าเป็นไปตามที่เขาคาด นี่จะเป็นก้าวแรกที่เขาได้ก้าวสู่วงการบันเทิงของเซียงเจียง และเป็นก้าวย่างที่สำคัญ!
ลู่เฉินอาบน้ำเสร็จก็ปีนขึ้นเตียงนอนพักผ่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาสวมชุดออกกำลังกายไปวิ่ง
ช่วงเวลาเช้า ตลอดริมฝั่งอ่าวน้ำตื้นมีคนมาออกกำลังกายไม่น้อย มีทั้งวิ่งจ็อกกิ้ง มีทั้งตีแบดมินตัน
ลู่เฉินวิ่งอยู่หลายรอบถึงกลับมาพร้อมกับร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ โทรศัพท์จากจางเสี่ยวฟางก็ดังขึ้น
ลู่เฉินลงจากอาคารอีกครั้ง ขึ้นรถของเขาไปรับประทานอาหารเช้า
เซียงเจียงเป็นสวรรค์ของอาหารเลิศรส อาหารเช้าแบบต่างๆ มีให้เลือกมากมาย อาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดก็คืออาหารเช้าแบบกวางตุ้ง ย่านอ่าวน้ำตื้นมีร้านอาหารเก่าแก่หลายร้านเรียงรายอยู่ ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะหาไม่เจอ
รับประทานอาหารเช้าเสร็จก็เข้าไปที่สตูดิโอ เป็นเวลา 9 โมงเช้าพอดี
เมื่อลู่เฉินมาถึงออฟฟิศ หลีเจินก็นำบัตรเชิญที่วิจิตรสวยหรูมายื่นให้เขา “นี่เป็นบัตรเชิญที่คุณซูจิ้งให้คนส่งมาค่ะ”
ส่งมาถึงเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?
ลู่เฉินทึ่ง
ความจริงคนที่ทึ่งกว่าคือหลีเจิน เธอคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะรู้จักกับซูจิ้งด้วย
………………………………………………