“เสี่ยวลู่มีฝีมือ!” บรรณาธิการเว็บไซต์บางแห่ง
“เสี่ยวลู่ร้องได้ไม่เลว!” เถ้าแก่ร้านชื่อดังบางร้าน
“เสี่ยวลู่หล่อมาก!” พิธีกรรายการวิทยุบางคน เพศหญิง
“เสี่ยวลู่…”
ที่นั่งวีไอพีชั้นบนของบาร์บลูโลตัส จู่ๆก็คล้ายกลายเป็นลานเพาะพันธุ์กวาง คำเรียกหา “เสี่ยวลู่(กวางน้อย)” “เสี่ยวลู่(กวางน้อย)” อันคุ้นเคยดังขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน
ด้วยการแนะนำของช่างเว่ยและเฉินเจี้ยนฮ่าวเถ้าแก่ทั้งสอง ลู่เฉินจึงได้รู้จักคนดังในวงการที่มาร่วมงานด้วย พวกเขาที่ต่างก็มาตามคำเชิญของไลท์เรนมีเดียและบลูโลตัสนั้น ล้วนมีชื่อเสียงและฐานะต่างๆกันในวงการ
ไม่ว่าจะด้วยน้ำใสใจจริงหรือเสแสร้งแกล้งดัด รุ่นก่อนในวงการเหล่านี้ก็แสดงความชื่นชมและมีท่าทีเป็นมิตรกับลู่เฉินพอควรทีเดียว
มีคนใหม่ที่เพิ่งเหยียบเข้าวงการน้อยมากที่จะได้รับการปฎิบัติเช่นนี้!
แต่การแสดงของลู่เฉินก็ทำให้คนรู้สึกทึ่งมาก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีฐานะความเป็นมาอย่างไร มารยาทของเขาก็หาได้ลดน้อยถอยลง กลับน่าคบค้ามากยิ่งขึ้น กริยาท่าทางไม่ร้อนไม่รน ไม่สถุนไม่เย่อหยิ่ง และสงบเยือกเย็นนี่เองที่ทำให้ชางเว่ยลอบประหลาดใจ
ชางเว่ยวิเคราะห์จากปากคำของเฉินเจี้ยนฮ่าว ฐานะครอบครัวของลู่เฉินนั้นไม่ดีนัก แต่ตอนนี้เมื่อชมดูแสดงออกของลู่เฉินอย่างตั้งใจ ก็ไม่คล้ายว่าจะมาจากครอบครัวธรรมดาทั่วไปเลย เพราะลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะเสแสร้งแสดงออกมาได้
ในฐานะมือเก่าที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ในวงการมานานหลายปี ชางเว่ยมีสายตาที่คมกริบยิ่ง แต่เขากลับมองตื้นลึกหนาบางของลู่เฉินไม่ออกเลย นี่ทำใเขาห้มีความรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการเจรจาที่ใกล้จะมาถึง
“ท่านนี้เป็นประธานกรรมการบริษัทไลท์เรนมีเดียประธานต่งอวี่!”
คนที่ถูกแนะนำตัวเป็นคนสุดท้าย เป็นหญิงสาวที่สวมเสื้อยืดช่วงหน้าร้อนคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตารวมทั้งแว่นตากรอบดำของหล่อนนั้น ทำให้จู่ๆ ห้วงสมองของลู่เฉินก็ผุดคำว่า“สาวแว่น”ตัวโตๆเด่นหราออกมา
“ประธานต่งสวัสดี”
ลู่เฉินจับมืออ่อนนุ่มของอีกฝ่ายที่ยื่นเข้ามา พูดอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณครับ!”
ต่งอวี่ประเมินหนุ่มหล่อที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของตนอย่างสนใจ ยิ้มบางๆกล่าว “ไม่ต้องเกรงใจค่ะ”
สิ่งที่ทำให้ลู่เฉินรู้สึกขอบคุณย่อมเป็นเรื่องที่ไลท์เรนมีเดียลงทุนลงแรงจัดงานค่ำคืนดนตรีในครั้งนี้ และเปิดโอกาสให้เขาขึ้นไปบนเวทีใหญ่ ได้ร้องเพลงจากโลกแห่งความฝันให้ผู้ชมนับพันฟังนั่นเอง
แต่ปลายหางตาเขาดันเหลือบไปเห็นซูชิงเม่ยที่แสร้งทำท่าไม่สนใจซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนักเข้าเสียนี่
ชางเว่ยพูดมาได้จังหวะเหมาะว่า “พวกเราไปเจรจากันข้างในเถอะ”
การแสดงด้านนอกยังคงดำเนินต่อ เสียงอันหนวกหูอาจทำให้การเจรจาไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่ ดังนั้นทุกคนเลยเข้ามาด้านในร้านพร้อมกัน
เมื่อเลือกโต๊ะที่กว้างที่สุดได้แล้ว คนที่นั่งอยู่นอกจากลู่เฉิน ยังมีต่งอวี่ ชางเว่ย เฉินเจี้ยนฮ่าว กานไค่* ฉินฮั่นหยาง พี่สาวนา รวมทั้งซูชิงเม่ยด้วย
*(ไม่แน่ใจ ตอนแรกชื่อกานหล่าง ตอนนี้ชื่อกานไค่ เอาเป็นว่ามาร่วมงงกับผมเหอะ)
ฉินฮั่นหยางกับพี่สาวนาต่างทราบกระจ่างว่า หากไม่ใช่ได้อาบแสงจากลู่เฉิน คนทั้งสองเกรงจะไม่มีคุณสมบัติมานั่งอยู่ที่นี่ด้วย เพราะเหตุนี้แต่ละคนจึงค่อยๆละเมียดค็อกเทลไปทีละนิด ยึดถือตนเองเป็นคนนอกก็มิปาน
เหล้าเพิ่งมา ชางเว่ยก็เปิดประเด็นถามทันที “ลู่เฉิน ฉันกับประธานต่งรู้สึกสนใจเพลงแต่งทั้งสองเพลงที่นายแสดงคืนนี้มาก ไม่รู้ว่านายจะยอมตัดใจขายไหม?”
เขาเดิมทีไม่คิดจะเผยท่าทีร้อนรนขนาดนี้ แต่ความสงบที่ลู่เฉินแสดงออกมา ทำให้เขาต้องสละแผนเจรจาเหล่านั้นทิ้ง
พูดตรงๆเลยดีกว่า!
ลู่เฉินสายตากระจ่างวูบ หัวเราะกล่าว “ในเมื่อเถ้าแก่ชางกับประธานต่งชอบ ผมก็ย่อมต้องน้อมสนองความหวัง แต่ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านยินยอมจ่ายเงินออกมาซื้อลิขสิทธิ์เท่าไหร่ครับ?”
ชางเว่ยกับต่งอวี่ต่างมองหน้ากัน แต่ละคนล้วนมองเป็นแววตาประหลาดใจของอีกฝ่าย
ลู่เฉินไม่คล้ายคนใหม่ที่เพิ่งลงมาจากภูเขาเลย เขาสงบกว่าคนทั้งหมดเสียอีก!
ต่งอวี่ลังเลครู่หนึ่ง ชูนิ้วยาวขาวสะอ้านขึ้น พูดว่า “สองเพลง สองแสน!”
เพลงละหนึ่งแสน แม้จะซื้อรวบทั้งหมดแต่ก็นับว่าให้ราคาเดียวกับปรมาจารย์แล้ว พูดได้ว่ามีความจริงใจ
ราคาเดิมที่ต่งอวี่เตรียมเสนอออกมาไม่ได้สูงขนาดนี้ เพียงแต่ท่าทีของลู่เฉินทำให้หล่อนเปลี่ยนความคิด จึงเผยไม้ตายของตัวเองออกมาทันที หวังโจมตีครั้งเดียวเห็นผลจะดีกว่า
สำหรับคนใหม่แล้วเรียกได้ว่า ราคาขนาดนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นผลประโยชน์ที่ให้มาอย่างจริงใจเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถโก่งราคาขึ้นได้อีก!
ถ้าหากลู่เฉินเซ็นสัญญาโอนลิขสิทธิ์ให้ เขาก็มีคุณสมบัติขึ้นเทียบชั้นมืออาชีพได้แล้ว
เรียกได้ว่าก้าวเดียวทะยานชั้นฟ้าก็ไม่ผิดนัก!
แต่ลู่เฉินไม่ได้เผยสีหน้าตื่นเต้นเลยสักนิด คล้ายกับว่าราคานี้อยู่ในการคาดการณ์ของเขาก่อนแล้ว ท่าทีสงบเยือกเย็นเช่นนี้ทำให้ต่งอวี่มีความรู้สึกคล้ายชกหมัดเต็มแรงใส่ความว่างเปล่า
บรรยากาศระหว่างโต๊ะจู่ๆก็เปลี่ยนเป็นพิลึกขึ้นมา
ผ่านไปชั่วขณะ ลู่เฉินจึงพูดว่า “เพลงบลูโลตัสสองแสน นอกจากสิทธิอ้างที่มาแล้วลิขสิทธิ์โอนให้ทั้งหมด!”
เพลงเดียวสองแสน!
ลู่เฉินกลับเพิ่มราคาขึ้นเท่าตัว!
“สองแสน?”
ซูชิงเม่ยที่นั่งอยู่ข้างต่งอวี่ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ตะโกนเดือดดาล “นายคิดว่านายเป็นเสวียนชิงอี*หรือยังไง?”
*(แปลว่าเสื้อดำเสวียน แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นนามปากกาไหม เลยแปลทับศัพท์ไปก่อนนะครับ)
เสวียนชิงอีเป็นนักแต่งเพลงระดับสุดยอด มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการภายในประเทศ เคยลงมีดแต่งอัลบั้มให้นักร้องระดับราชินีเพลงมากมาย หลายปีมานี้แต่งเพลงอมตะออกมาไม่น้อย
ราคาสองแสนขอให้เขาลงมืออาจยังไม่ง่ายนัก แต่ถ้าแค่ผูกสัมพันธ์สร้างเส้นสายขึ้นมา ก็อาจเป็นไปได้
อาจบางทีเป็นเพราะชนเข้ากับกำแพงบนร่างของลู่เฉิน ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าซูชิงเม่ยจะมองอย่างไรก็เห็นลู่เฉินขัดนัยตาเสียเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่ว่านั่นเป็นราคาสิบเท่าจากตอนที่เธอเสนอซื้อเพลงจากลู่เฉินหรอกหรือ? นี่มันตอกหน้ากันชัดๆเลยนี่หว่า!
คุณหนูใหญ่ซูเป็นคนที่รังแกง่ายขนาดนั้นเชียว?
ลู่เฉินยิ้มแย้มไม่พูดจา ไม่อาจแบ่งแยกได้ว่าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงคำรามของกรรมการซูคนนี้หรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นเพลง《บลูโลตัส》หรือ《ในฤดูใบไม้ผลิ》 การที่เขาหยิบออกมาวันนี้ก็เตรียมที่จะขายแล้ว
ลู่เฉินนั้นร้อนเงินมาก ร้อนเงินอย่างถึงที่สุด หนี้สินหนักอึ้งก้อนนั้นคล้ายดั่งขุนเขากดทับลงบนร่างของเขาและครอบครัว ทำให้ทุกคนหายใจไม่ออก
เขาอยากให้แม่เขา พี่สาวเขา น้องสาวเขาได้ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายสบายใจ การหยิบสมบัติล้ำค่าส่วนหนึ่งจากโลกแห่งความฝันนำออกมาขายจึงเป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุด สะดวกที่สุด และง่ายที่สุดอย่างแน่นอน
แต่ขายอย่างไรให้ได้ราคายอดเยี่ยมที่สุดนั้น หากว่าลู่เฉินหยิบเอาชีทเพลงปึกหนาไปหาคนอื่นหรือบริษัทบันเทิงอื่น ผลสุดท้ายก็เพียงแค่ขายทองคำได้ทองแดงเท่านั้น อีกฝ่ายคงไม่อาจจ่ายราคาทะลุฟ้าได้
ลู่เฉินไม่ได้โง่ขนาดนั้น
สิ่งที่เขาทำ คือพิสูจน์มูลค่าของผลงานตนเองให้ทุกคนเห็นเป็นประจักษ์เสียก่อน จากนั้นจึงรอดูราคาแล้วค่อยขาย
หากคิดจะซื้อ ก็เชิญเสนอราคามาได้เลย!
แต่หากอยากได้ของถูก ก็ฝันไปเหอะ!
ลู่เฉินในตอนนี้แสดงพลังออกมามากมายปานนั้น แม้ไลท์เรนมีเดียจะไม่ต้องการ แต่ก็คงมีคนหวั่นไหว
อย่างเช่นชางเว่ยที่นั่งอยู่ด้านข้าง กับกานไค่ที่เผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมาอย่างชัดเจน
แม้ลู่เฉินจะยังไม่เข้าใจหัวหน้าวงจื่อเป่ยเจินคนนี้ว่า โดนตนเองโค่นจนสูญเสียความกล้าที่จะขึ้นเวทีไปซะขนาดนั้น แต่เขาก็ยังเชื่อว่า อีกฝ่ายต้องตัดสินใจควักเงินทุนออกมาเพื่อแลกกับเพลงดีที่แท้จริงสักเพลงแน่
สำหรับชางเว่ยนั้น เพลง《บลูโลตัส》เหมาะกับบาร์บลูโลตัสมากสุดๆ!
ต่งอวี่ยื่นมือไปตบไหล่ปรามซูชิงเม่ย แล้วกล่าวถามอย่างสงบว่า “อย่างนั้นอีกเพลงล่ะ? นายจะร้องเองหรือ?”
ในสายตาของเธอนั้น เพลง《ในฤดูใบไม้ผลิ》มีค่ามากกว่า《บลูโลตัส》เสียอีก
“ไม่!”
ลู่เฉินสั่นศีรษะอย่างเกินความคาดหมาย พูดว่า “ผมไม่เหมาะจะร้องเพลงในฤดูใบไม้ผลิหรอกครับ ดังนั้นผมเตรียมจะขายให้กับเถ้าแก่ร้านผม คิดว่าเพลงนี้เหมาะให้วงผั่งหวงของพี่ชายต้าฉินเล่นมากกว่า”
เขาหันไปยิ้มให้เฉินเจี้ยนฮ่าวที่กำลังทำสีหน้างงงวย
ว่าอะไรนะ?!
ฉินฮั่นหยางร้อยไม่คิดพันไม่คิด จู่ๆกลับได้ยินว่าลู่เฉินจะขายเพลง《ในฤดูใบไม้ผลิ》ให้เดย์ลิลลี่ แถมยังยกให้ตัวเขาเป็นคนร้องด้วย!
เขาจึงแทบสำลักเหล้าออกมา ชั่วพริบตาใบหน้าก็แดงเปล่งปลั่ง
แต่จะอย่างไรเฉินเจี้ยนฮ่าวก็ผ่านคลื่นลมมายาวนานกว่า จึงฟื้นคืนสติได้ก่อน พลันพูดอย่างหนักแน่นว่า “ฉันซื้อ!”
โอกาสแบบนี้ถ้าหากพลาดไป เขาคงไม่มีหน้าคลุกคลีอยู่ในโฮ่วไห่ได้อีกต่อไปแล้ว!
ราคานั้นไม่ต้องเจรจาซ้ำ
เพลง《ในฤดูใบไม้ผลิ》จู่ๆก็มีเจ้าของ เพิ่มแรงกดดันต่อต่งอวี่และชางเว่ยขึ้นในฉับพลัน กานไค่เองก็แทบจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ว
วงผั่งหวงได้เพลง《ในฤดูใบไม้ผลิ》ไป เรื่องจะบดขยี้จื่อเป่ยเจินย่อมง่ายดายยิ่ง!
แม้เขาจะต้องแคะกระปุกก็ต้องซื้อเพลง《บลูโลตัส》ให้ได้
ซูชิงเม่ยกลับถลึงตาใส่ลู่เฉิน กล่าวถาม “ในเมื่อไม่เหมาะกับนาย อย่างนั้นเพลงนี้นายเขียนออกมาทำไม?”
แม้มีท่าทางแว้ดๆใส่ แต่คำถามนี้บางทีอาจเป็นคำถามที่คนทั้งหมดในที่นี้คิดอยากจะถามด้วยเช่นกัน
เพลง《ในฤดูใบไม้ผลิ》 ไม่คล้ายเป็นเพลงที่คนหนุ่มคนหนึ่งจะเขียนออกมาได้เลย หากไม่ประจักษ์แจ้งด้วยตา หากไม่ผ่านการตกตะกอนของวันเวลา ไหนเลยจะแสดงออกถึงความโชกโชนปานนั้นออกมาได้?
แถมเนื้อหาของบทเพลง ก็คล้ายไม่เหมาะกับลู่เฉินมาก
แต่เพลงนี้ก็เป็นเพลงแต่งของเขาจริงๆ ลู่เฉินในเมื่อหยิบมันออกมาขายในราคาแพง แน่นอนว่าย่อมไม่กลัวปัญหาลิขสิทธิ์ คนที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนที่ไม่คิดจะให้เม็ดทรายบดบังสายตา
แววตาของทุกคนล้วนมารวมกันที่ร่างเขาทั้งหมด
ลู่เฉินยิ้มบางๆ พูดน่าฟังว่า “ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีเหตุการณ์ประจวบเหมาะมากเหตุการณ์หนึ่ง ทำให้ผมได้รู้จักกับนักร้องพเนจรคนหนึ่ง เขาเคยก้าวเดินไปทั่วหล้า เคยพเนจรไปทุกแห่งหน…”
“เขาเหนื่อยล้า เขาเหน็ดเหนื่อย แต่ยังมั่นคง”
“เขาบอกกับผมหลายสิ่งหลายอย่าง และยังสอนผมหลายสิ่งหลายอย่าง…”
“เขาคืออาจารย์ของผม!”
ได้ยินลู่เฉินสาธยายถึงเรื่องราว คนทั้งหมดต่างนิ่งเงียบ
ผ่านไปเนิ่นนาน ต่งอวี่จึงถามว่า “ลู่เฉิน ช่วยบอกชื่อของเขาให้ฉันรู้ได้ไหม?”
“สวีป๋อ…”
ลู่เฉินพูดอย่างจริงจังว่า “ชื่อของเขาคือสวีป๋อ!”
แม้ผมไม่อาจบอกเล่าเรื่องราวของคุณให้ทุกคนเชื่อได้ แต่ผมขอยืมชื่อคุณ เพื่อให้คุณได้กลายเป็นตำนานของโลกใบนี้!