ตอนที่ 435 ลานไควฟง
“ถ้างั้นเพลงหลักในอัลบั้มใหม่ของฉันฝากนายด้วยนะ…”
ซูจิ้งถือกระเป๋าใบเล็กยืนอยู่หน้ารถมาเซราติสีขาวคันหนึ่ง ยิ้มหวานๆ แล้วเอ่ยกับลู่เฉินว่า “กลับไปแล้วฉันจะช่วยพูดแต่เรื่องดีๆ ของนายให้เฟยเอ๋อร์ฟัง ต่อให้นายทำเรื่องไม่ดีในฮ่องกง ฉันก็จะถือว่ามองไม่เห็น”
ลู่เฉินกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูก “งั้นต้องขอบคุณพี่จิ้งด้วยนะครับ!”
ทั้งที่อายุสามสิบกว่าแล้ว แต่ยามที่ล้อเล่นขึ้นมากลับไม่ต่างจากคนหนุ่มสาวเท่าไรนัก
ซึ่งหมายความว่าเธอรู้สึกชื่นชอบและมีความรู้สึกที่ดีต่อลู่เฉิน
นี่คือลางบอกเหตุว่าจะกลายเป็นเพื่อนกันอย่างแท้จริง
“ลาก่อน”
ซูจิ้งหัวเราะเหอะๆ พลางโบกมือให้ราวกับเพื่อนที่สนิทกันมาก จากนั้นก็หมุนตัวเปิดประตูรถแล้วมุดเข้าไป
ลู่เฉินยืนมองรถของซูจิ้งขับไกลออกไป และหายไปท่ามกลางการจราจรที่แออัดบนถนนเส้นยาว
เขาพูดกับหลีเจินว่า “พวกเราก็ไปกันเถอะ”
หลีเจินลังเลครู่หนึ่งแล้วถามว่า “บอส ตอนนี้ยังไม่ดึกมาก เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปเดินเล่นตลาดกลางคืนของฮ่องกงดีไหมคะ เทมเปิลสตรีทในย่านเหยามาเต่ยของเกาลูนตอนกลางคืนคึกคักมากค่ะ”
ชาวฮ่องกงชอบใช้ชีวิตยามกลางคืนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว นอกจากผู้ชายที่ติดบ้านแล้ว คนส่วนใหญ่จะชอบเที่ยวจนดึกดื่น บวกกับนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาในฮ่องกงหลายสิบล้านคน ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ตลาดกลางคืนของฮ่องกง
ตลาดกลางคืนของฮ่องกงลู่เฉินได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ฟังแล้วก็สนใจอยู่เหมือนกัน แต่คิดดูแล้วไม่เอาดีกว่า
เดินตลาดกลางคืนคนเดียวไม่สนุก
ถึงแม้จะมีหลีเจินเดินเป็นเพื่อนก็ตาม อย่างไรเสียก็เป็นแค่ผู้ช่วยเท่านั้น
หลีเจินยังไม่ยอมลดละ เธอคิดว่าลู่เฉินไม่ชอบที่แออัดเสียงดัง จึงพูดอีกว่า “ถ้าไม่ชอบตลาดกลางคืน งั้นไปที่ลานไควฟงก็ได้ค่ะ บาร์ที่ลานไควฟงมีชื่อเสียงมาก คนต่างชาติก็เยอะเป็นพิเศษ”
เมื่อเทียบกับเทมเปิลสตรีทในย่านเหยามาเต่ยของเกาลูน ลู่เฉินรู้จักบาร์ที่ลานไควฟงมากกว่า ถึงแม้เขาจะมาที่ฮ่องกงเป็นครั้งแรก แต่เคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของบาร์ที่ลานไควฟงมานานแล้ว
ตอนแรกที่ลู่เฉินทำงานอยู่ในบาร์เดย์ลิลลี่ เขารู้จักนักร้องคนหนึ่งที่มาจากฮ่องกง อีกฝ่ายร้องเพลงในบาร์ที่ลานไควฟงพอดี และเคยเล่าเรื่องของที่แห่งนี้ให้เขาฟังอยู่ไม่น้อย
ลู่เฉินในตอนนั้นอยากไปเยี่ยมชมมากจริงๆ
คำแนะนำของหลีเจิน สะกิดอารมณ์และความทรงจำของเขาขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “งั้นไปที่ลานไควฟงเถอะ”
ในที่สุดผู้ช่วยน้อยก็รู้สึกดีใจมากที่เกลี้ยกล่อมสำเร็จ “ได้เลยค่ะ!”
ลานไควฟง (LanKwaiFong) เป็นถนนเส้นเล็กรูปตัวแอลในย่านเซ็นทรัล ชื่อของมันได้มาจากคำว่า ‘หลานกุ้ยเถิงฟาง ลูกหลานมากด้วยพรสรรค์’ เป็นศูนย์รวมของบาร์น้อยใหญ่และร้านอาหารระดับกลางไปจนถึงหรูหราระดับไฮเอนด์ ฉะนั้นจึงเป็นที่นิยมมากของชนชั้นกลาง ชาวต่างชาติ และนักท่องเที่ยว เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ของฮ่องกง
จากโรงแรมแชงกรีลาขับไปยังลานไควฟง ใช้ระยะเวลาเพียงห้านาทีเท่านั้น พอถึงก็ลงจากรถ ลู่เฉินกับหลีเจินเดินเข้าไปในถนนอันขึ้นชื่อลือนาม
ขณะที่เดินเข้าไปในถนนสายนี้ บรรยากาศแตกต่างจากย่านเซ็นทรัลทันที หินกรวดที่ปูบนทางเดินเล็กๆ ทั่วทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของยุโรป สองข้างทางของถนนเส้นนี้มีบาร์และร้านอาหารตั้งเรียงราย โคมไฟข้างทางแต่ละดวงตกแต่งสวยงามแปลกตา บวกกับแสงไฟระยิบระยับของป้ายหน้าร้านต่างๆ นานา เพิ่มบรรยากาศให้มีสีสันมากยิ่งขึ้น
บาร์ส่วนใหญ่ของที่นี่จะเริ่มเปิดบริการตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงตีสองหรือดึกกว่านั้น และยังมีบาร์สไตล์อังกฤษและสไตล์ออสเตรเลีย กระทั่งคาราโอเกะสไตล์ญี่ปุ่นที่เสิร์ฟของว่างตลอดทั้งวันด้วย เพราะฉะนั้นยามที่ม่านราตรีค่อยๆ คลี่เข้ามา หนุ่มสาวชาวฮ่องกงรุ่นใหม่จำนวนมากมักจะชอบมารวมตัวกันที่นี่ ทำให้ลานไควฟงเต็มไปด้วยพลังและความมีชีวิตชีวาของหนุ่มสาววัยรุ่น
หลีเจินมาเที่ยวที่ลานไควฟงเป็นประจำ ดังนั้นแนะนำที่นี่จึงมีเหตุผล
“ตอนนี้ยังพอได้ พอถึงวันหยุดเทศกาลอย่างเช่น วันฮาโลวีน คริสต์มาส ปีใหม่ ลานไควฟงจะจัดงานสตรีทคาร์นิวัล ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่ที่คึกคักมากที่สุดของฮ่องกง คนเบียดกันเข้ามาจนแทบจะเบียดไม่ไหว นักท่องเที่ยวต่างชาติก็เยอะเป็นพิเศษ!”
ตลอดทาง ลู่เฉินเห็นชาวต่างชาติไม่น้อย พวกเขายืนถือแก้วเหล้ายืนอยู่หน้าประตูของบาร์หรือไม่ก็ข้างทางกระจายกันเป็นกระจุก พูดคุยหัวเราะต่อกระซิกหรือไม่ก็ชื่นชมทิวทัศน์และผู้คนตามข้างทาง
หลีเจินแนะนำว่า “บอสคะ พวกเราไปบาร์ลาดอลเซ่วิต้า 97 กันเถอะค่ะ ทุกคืนจะมีการแสดงฟรี โชว์เป่าแซกโซโฟน เล่นกีตาร์ร้องเพลง แล้วก็ยังมีโชว์เต้นด้วย ฉันกับเพื่อนๆ มาเที่ยวที่นี่หลายครั้งแล้วค่ะ”
“บาร์ลาดอลเซ่วิต้า 97”
ลู่เฉินฟังแล้วรู้สึกไม่เลว “งั้นก็ไปบาร์นี้แล้วกัน”
บาร์ลาดอลเซ่วิต้า 97 ไม่ได้มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากบาร์อื่นๆ ในลานไควฟง มันเป็นบาร์สไตล์อังกฤษแห่งหนึ่งรูปแบบทันสมัย ตกแต่งมีเอกลักษณ์ ไม่หรูหราแต่กลับเรียบง่ายมากกว่า
พอเข้าไปข้างใน พื้นที่ไม่ค่อยกว้างนัก ตกแต่งแบบมาตรฐานทั่วไป โต๊ะไม้ เก้าอี้กลมทรงสูงหรือเก้าอี้มีพนักสูง ตู้เก็บเหล้าที่อยู่ด้านหลังบาร์ใส่เบียร์และแอลกอฮอล์ประเภทต่างๆ เอาไว้ รวมทั้งแก้วไวน์ด้วย บาร์เทนเดอร์ผิวขาวตาสีฟ้าสองคนกำลังชงเครื่องดื่มให้กับลูกค้า ที่นั่งส่วนใหญ่มีแขกนั่งเกือบหมดแล้ว
บนเวทีหมุนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ด้านขวาของบาร์ มีวงดนตรีแจ๊สกำลังบรรเลงเพลงอยู่ ฝีมือนั้นถือว่ายอดเยี่ยมมาก
แค่ได้ฟังเพลง ลู่เฉินก็รู้สึกว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว
บาร์เทนเดอร์เป็นชาวต่างชาติ สมาชิกวงดนตรีแจ๊สก็เป็นชาวต่างชาติเช่นกัน แต่พวกพนักงานผู้หญิงล้วนเป็นคนท้องถิ่น หลีเจินเรียกพนักงานหนึ่งคนในนั้น ให้เธอช่วยหาที่นั่งให้หน่อย
“อาเจิน!”
และสิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ที่ว่างยังหาไม่เจอ ก็มีคนยืนขึ้นเรียกชื่อของหลีเจินก่อนแล้ว
“เธอรู้ได้ยังไงว่าพวกเราอยู่ที่นี่”
อีกฝ่ายคือเพื่อนของหลีเจินอย่างไม่ต้องสงสัย และยังมีคนเยอะอีกด้วย ชายสี่หญิงสามเอาโต๊ะต่อกัน สาวผมสั้นหนึ่งคนในนั้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด พุ่งเข้ามากอดหลีเจินทันที
หลีเจินทำสีหน้ากระอักกระอ่วน เธอคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคืนนี้จะเจอเพื่อนๆ ที่นี่
สาวผมสั้นไม่ได้มองข้ามลู่เฉินที่เดินมากับหลีเจิน อันที่จริงตอนที่เธอกอดหลีเจินนั้น ดวงตาของเธอได้กวาดมองตัวลู่เฉินแวบหนึ่ง สายตาเปี่ยมไปด้วยแววหยอกล้อ
“อาเจิน เธอไม่แฟร์เลยนะ หาแฟนหล่อขนาดนี้ก็ไม่บอกสักคำ!”
สาวผมสั้นพูดล้อเล่นแกมอิจฉา “แอบมาเดตกัน กลัวถูกพวกเราแย่งเหรอ”
หลีเจินทำตัวไม่ถูก “เสวี่ยนี คนนี้ไม่ใช่แฟนของฉัน…”
สาวผมสั้นชื่อว่าเสวี่ยนีไม่ฟังคำอธิบายของหลีเจิน เธอยื่นมือไปหาลู่เฉินก่อน แล้วเอ่ยทักทายว่า “คนหล่อ สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเสวี่ยนี เป็นเพื่อนรักของหลีเจินค่ะ!”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ แล้วจับมือกับเธอ “สวัสดีครับ ผมชื่อลู่เฉิน เป็นเพื่อนหลีเจินครับ”
เสวี่ยนีทำสายตาใส่หลีเจินว่า ‘เธอยังกล้าไม่ยอมรับอีกนะ’ จากนั้นจึงลากคนหลังกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง แล้วตะโกนโหวกเหวก “ทุกคนฟังหน่อย ขอต้อนรับอาเจินของพวกเรา แล้วก็ลู่เฉินเพื่อนสุดหล่อของเธอด้วย”
เพื่อนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันสองสามคนหัวเราะเสียงดัง พลางปรบมือ แล้วส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมา ยิ่งทำให้หลีเจินรู้สึกอายมาก
เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะบอกเพื่อนๆ พวกนี้อย่างไร ว่าลู่เฉินคือเจ้านายของตัวเอง
ลู่เฉินก็ไม่ได้ถือสา นั่งลงอย่างเป็นกันเอง แล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “สวัสดีครับทุกคน”
ตั้งแต่ต้นจนจบ ลู่เฉินพูดภาษาจีนกวางตุ้งได้คล่องมาก ดังนั้นหนุ่มสาวพวกนี้จึงคิดว่าเขาเป็นคนท้องถิ่น ทว่ากลับสงสัยฐานะของเขาพอสมควร
ไม่ช้าก็มีคนอดใจไม่ไหว “คุณกับอาเจินรู้จักกันได้ยังไง”
…………………………………………………………………………