ตอนที่ 436 ภรรยาคนที่สอง
“คุณกับอาเจินรู้จักกันได้ยังไง”
คนที่ถามลู่เฉินคือชายหนุ่มอายุยี่สิบห้าปี อีกฝ่ายรูปร่างหน้าตาพอไปวัดไปวา หล่อเล็กน้อยและแต่งตัวเป็น เป็นสไตล์ที่สาวๆ วัยรุ่นค่อนข้างชอบ
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาชอบหลีเจิน ดังนั้นเมื่อเห็นหลีเจินอยู่กับลู่เฉิน จึงอดหึงไม่ได้ แววตาและคำพูดแฝงไปด้วยเจตนาอยากหาเรื่องเป็นอย่างมาก
หลีเจินขมวดคิ้ว แล้วถามอย่างไม่พอใจ “เฉินเจียหมิง เกี่ยวอะไรกับนายด้วย”
ในใจของเธอยิ่งไม่สบายใจ กลัวว่าเพื่อนของตัวเองจะล่วงเกินลู่เฉิน
เธอไม่อยากเสียงานที่ทำอยู่ตอนนี้
เดิมทีหลีเจินมีความประทับใจเฉินเจียหมิงอยู่เล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ตอบรับการตามจีบของเขาอย่างเต็มที่ แต่ก็ยอมให้เขาจีบเป็นนัยๆ ตอนนี้ดูแล้วคงต้องพิจารณาใหม่อีกครั้ง
เพราะลักษณะงานของเธอจำเป็นต้องอยู่ติดกับเจ้านายในระยะยาว ถ้าหากมีแฟนขี้หึงใจแคบ เช่นนั้นคงใช้ชีวิตลำบากมากยิ่งขึ้น
หลีเจินเคยเห็นตัวอย่างในชีวิตจริงมากับตาตัวเอง
เธอไม่อยากทับซ้ำรอยเดิม
“ไม่เป็นไร…”
ลู่เฉินยิ้มพลางโบกมือ แล้วพูดกับเฉินเจียหมิงว่า “ผมเพิ่งมาฮ่องกงได้สองวัน อาเจินทำงานกับผม เพราะว่าผมไม่ค่อยคุ้นกับฮ่องกง ดังนั้นเธอจึงพาผมมาเปิดหูเปิดตาที่ลานไควฟงครับ”
เขามองไปรอบๆ “ที่นี่ไม่เลวจริงๆ”
“ที่แท้ก็เป็นเพื่อนร่วมงานคนใหม่ของอาเจินนี่เอง!”
เสวี่ยนีเข้าใจทันที แล้วถามอย่างสงสัยว่า “คุณเป็นคนที่ไหนเหรอ ตอนนี้คุณมีแฟนหรือยังคะ”
อาการที่ชอบซุบซิบนินทาของเพื่อนรักทำให้หลีเจินอยากเอามือปิดหน้า…มะเร็งขี้อายจะกำเริบแล้ว
ลู่เฉินกลับไม่ใส่ใจ ตอบอย่างอดทนว่า “ผมมาจากปักกิ่ง มีแฟนแล้วครับ และผมก็รักแฟนของผมมาก”
เขากะพริบตาให้เสวี่ยนี แต่ทุกคนรู้ว่าคำพูดนี้พูดให้เฉินเจียหมิงฟัง
เฉินเจียหมิงทำสีหน้าเก้ๆ กังๆ
แต่เสวี่ยนียังไม่ยอมแพ้ด้วยสาเหตุนี้ เธอรีบถามทันทีว่า “แล้วแฟนของคุณไม่มาด้วยเหรอคะ อย่างนั้นให้ฉันเป็นแฟนที่ฮ่องกงของคุณดีไหมคะ ถ้าหากการแสดงออกของคุณทำให้ฉันพอใจ อนาคตให้ฉันแต่งงานเป็นภรรยาคนที่สองของคุณก็ใช่ว่าจะไม่ได้นะคะ!”
“ฮ่าๆ!”
พวกเพื่อนๆ ของเธอต่างพากันหัวเราะขึ้นมา แล้วร้องโห่ว่า “เสวี่ยนีเยี่ยมมาก!”
ลู่เฉินพูดไม่ออก หลีเจินอยากจะมุดหน้าหนีเสียให้ได้
ลู่เฉินคิดไม่ถึงว่าสาวสวยคนนี้จะใจกล้าถึงเพียงนี้ เพิ่งเจอหน้ากันก็อยากเป็นแฟนของเขาแล้ว เขาเพิ่งนึกได้ว่าระบบการแต่งงานของฮ่องกงไม่เหมือนกับประเทศจีน เขตปกครองพิเศษใหญ่สามแห่งอนุญาตให้แต่งงานมีภรรยาหลายคนได้
ได้ยินว่าที่จีนมีพวกเศรษฐีจำนวนไม่น้อยอยากจะเปลี่ยนสัญชาติย้ายมาอยู่ที่ฮ่องกง ไต้หวัน และมาเก๊า นอกจากเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตแล้ว หลายคนมาที่นี่เพราะระบบนี้
เนื่องจากปริมาณคนรวยที่เปลี่ยนสัญชาติมีเยอะมาก นำมาซึ่งเงินลงทุนก้อนโตทำให้ตลาดเติบโตรุ่งเรือง ดังนั้นถึงแม้หลายปีที่ผ่านมากลุ่มสิทธิสตรีของเขตปกครองพิเศษทั้งสามแห่งจะพยายามอย่างรุนแรงเพื่อแก้ไขกฎหมายการแต่งงานที่ไม่เป็นธรรมนี้มาโดยตลอด แต่กลับโดนขัดขวางต่อต้านอย่างหนักอยู่เสมอ
น่าเสียดายลู่เฉินมีเฉินเฟยเอ๋อร์ก็มากพอแล้ว
“แบบนี้เกรงว่าจะไม่ได้ครับ เพราะแฟนของผมสุดยอดมาก และเธอก็มีเงินเยอะกว่าผม คงไม่ยอมเซ็นหนังสือยินยอมแน่นอนครับ”
ลู่เฉินล้อเล่นว่า “ดังนั้นน่าเสียดายมากๆ เลยนะครับ”
เขตปกครองพิเศษทั้งสามแห่งถึงแม้จะอนุญาตให้มีภรรยาหลายคน แต่ถ้าอยากจะแต่งงานมีภรรยาคนที่สองและสาม อย่างแรกต้องได้รับการสนับสนุนจากคู่สมรสเดิม และได้หนังสือยินยอมจากคนหลังก่อน
เสวี่ยนีไม่พูดอีกทันที มองลู่เฉินด้วยสายตาเหยียดๆ…คาดไม่ถึงว่าคุณจะเป็นคนหล่อประเภทนี้
นี่ทำให้บรรยากาศค่อนข้างอึดอัดเล็กน้อย แต่เฉินเจียหมิงกลับโล่งอก มองลู่เฉินสบายตาขึ้น
เพราะเขารู้ว่าหลีเจินไม่ชอบผู้ชายประเภทนี้แน่นอน
เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เพื่อนอีกคนหนึ่งของหลีเจินจึงรีบพูดแก้สถานการณ์แล้วถามว่า “ลู่เฉิน คุณพูดภาษากวางตุ้งดีขนาดนี้ เป็นคนกวางตุ้งหรือเปล่า”
ลู่เฉินยิ้มพลางส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “เปล่าครับ ผมเป็นคนเจ้อตง ภาษากวางตุ้งเรียนมาจากเพื่อนสมัยมหาลัยครับ”
อีกฝ่ายเอ่ยชมว่า “งั้นคุณก็เก่งมาก เรียนได้ไม่เลวเลย! ถ้าไม่รู้ละก็ คงคิดว่าคุณเป็นคนฮ่องกงเหมือนพวกเราไม่ได้มาจากจีน”
ถึงแม้จะเป็นคำชมเชย แต่กลับเผยความรู้สึกเหนือกว่าออกมาโดยไม่ตั้งใจ
ด้วยเหตุนี้ลู่เฉินจึงได้แต่หัวเราะเท่านั้น
ระยะเวลาที่เขามาที่ฮ่องกงถึงแม้จะสั้นมาก แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศทางสังคมของที่นี่ซึ่งต่างจากประเทศจีนเป็นอย่างมาก ทั้งเปิดกว้างและหัวโบราณในขณะเดียวกัน วัฒนธรรมที่แตกต่างกันผสมผสานรวมกันเกิดเป็นวัฒนธรรมที่พิเศษ แล้วก็ยังมีคนฮ่องกง
หากโยนทิ้งความรู้สึกเหนือกว่าที่ฝังติดกระดูกออกไป เด็กวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวของฮ่องกงก็ยังคบหาง่าย และอาจเป็นเพราะว่าลู่เฉินพูดภาษากวางตุ้งคล่องแคล่ว บวกกับความหล่อเหลาของเขา ดังนั้นพวกเพื่อนๆ ของหลีเจินจึงยอมรับลู่เฉินได้อย่างรวดเร็ว
แม้แต่เสวี่ยนีที่หงุดหงิดเล็กน้อยก็กลับมามีความสุข หัวเราะพูดคุยกับหลีเจินอีกครั้ง
ลู่เฉินสั่งเบียร์มาหนึ่งขวดแล้วค่อยๆ ดื่ม เขาฟังมากกว่าพูด พูดจามีมารยาทไม่หยาบคาย ดังนั้นถึงแม้จะไม่ชอบ ‘ความเกาะผู้หญิงกิน’ ของเขา แต่เพื่อนๆ ของหลีเจินก็ยังประทับใจเขามาก
เผลอแป๊บเดียวก็สี่ทุ่มครึ่งแล้ว
ยามนี้ ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวทีแสดง แล้วพูดกับไมค์ว่า “แขกทุกท่านครับ สวัสดีตอนค่ำนะครับ เชื่อว่าเพื่อนๆ ที่คุ้นเคยกับลาดอลเซ่วิต้า 97 คงรู้แล้วว่า คืนนี้บาร์ของพวกเราจะจัดกิจกรรมแจกรางวัลใหญ่ ราชาเพลงแอลดีวี ผู้ชนะไม่เพียงแต่ได้รับรางวัลกินฟรีทั้งโต๊ะเท่านั้น แต่ยังจะได้ของแถมเป็นไวน์หรูสุดแพงอีกสองขวดครับ”
“ตอนนี้เริ่มลงสมัครได้ อีกสักครู่จะเริ่มการแข่งขันครับ!”
เพิ่งจะสิ้นเสียงของเขา เสียงปรบมือคึกคักพลันดังขึ้นไปทั่ว แล้วก็ยังมีเสียงผิวปากและโห่ร้องยินดี
บรรยากาศในบาร์ถูกผลักขึ้นไปสู่จุดสูงสุดทันที
หลีเจินรู้ว่าลู่เฉินไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงอธิบายให้เขาฟังอีกรอบเป็นพิเศษ
ที่แท้บาร์ลาดอลเซ่วิต้า 97 จะจัดการแข่งขันร้องเพลงหนึ่งครั้งทุกสัปดาห์ ไม่ว่าแขกคนไหนก็สามารถขึ้นไปแสดงความสามารถในการร้องเพลงของตัวเองบนเวทีได้ จากนั้นก็ให้ผู้ชมให้คะแนนเลือกคนที่ดีที่สุด
หนึ่งโต๊ะสามารถส่งตัวแทนได้เพียงหนึ่งคน ถ้าหากชนะ เช่นนั้นของที่สั่งมาทั้งโต๊ะจะได้กินฟรีทั้งหมด ถึงแม้จะไม่ใช่รางวัลที่เยอะมากอะไร แต่ก็เล่นกันเพื่อความสนุกและมีความสุขเท่านั้น
แขกหลายคนมาที่นี่ด้วยเหตุนี้โดยเฉพาะ และเชื่อมั่นว่าตัวเองจะสามารถชนะได้ในที่สุด ดังนั้นจึงมักสั่งของมากมายเอาไว้ล่วงหน้า เมื่อชนะแล้วก็จะได้กำไรก้อนโต
อันที่จริงหากพูดตามตรง นี่คือวิธีเรียกลูกค้าอันชาญฉลาดของบาร์เท่านั้น
ลู่เฉินสงสัย “แล้วคนดูจะให้คะแนนยังไง”
หลีเจินยื่นมือหยิบดอกกุหลาบดอกหนึ่งที่เสียบอยู่ในแจกันบนโต๊ะเหล้า แล้วเอ่ยว่า “ใช้อันนี้ลงคะแนนค่ะ พอฟังจบแล้ว ก็ให้พนักงานเอาไปให้ผู้เข้าแข่งขันที่เลือกไว้ ดอกกุหลาบของใครเยอะที่สุดคนนั้นก็เป็นผู้ชนะค่ะ!”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้…
ลู่เฉินเอ่ยชมว่า “น่าสนุกดีนะ”
เถ้าแก่บาร์ถือว่าเค้นสมองคิดหาทางจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ในบาร์เต็มทุกที่นั่ง
หลีเจินกระซิบถามว่า “บอสคะ ถ้าคุณขึ้นไปต้องชนะแน่นอนค่ะ!”
…………………………………………………………………………