“สวีป๋อ…”
ต่งอวี่ทวนชื่อธรรมดาสามัญนี้อีกครั้ง ภายในใจบังเกิดความรู้สึกมหัศจรรย์ใจผุดขึ้นมาไม่หยุด
จากเรื่องเล่าของลู่เฉิน โดยไม่รู้สึกตัวเงาร่างของศิลปินพเนจรผู้เร่ร่อนไปทั่วทั้งสี่คาบสมุทรและไม่ยี่หระต่อทุกสิ่งคนหนึ่งก็ถูกร่างเค้าโครงเอาไว้อย่างเด่นชัดในห้วงสมองของเธอ
อายุสี่สิบกว่าแต่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง บัญชีธนาคารก็ไม่มี บ้านเองก็ไม่มีด้วย หนวดเครารกรุงรังของเขาเผยให้เห็นประสบการณ์อันโชกโชน สวมใส่เสื้อผ้าเก่าฉีกขาด โอบกีตาร์ราคาไม่ถึงสามร้อยหยวนตัวหนึ่งร้องเพลงท่ามกลางสายลม “ถ้าหากมีวันหนึ่ง ฉันจากไปอย่างเงียบงัน ขอให้ฝังฉันไว้ ในฤดูใบไม้ผลินี้!”
ความสงสัยทั้งหมดคล้ายได้รับคำตอบบ้างแล้ว
พี่สาวนาพูดอย่างซาบซึ้งว่า “อยากรู้จักคนๆนี้จริงๆ เสี่ยวลู่ ถ้าหากมีโอกาสก็เชิญเขามาที่ร้านนะ”
ลู่เฉินหัวเราะว่า “ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน ขนาดเบอร์โทรศัพท์เขาผมยังไม่มีเลยครับ”
ฉินฮั่นหยางกล่าวอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดายจริงๆ!”
น่าเสียดายโคตรๆ!
ต่งอวี่กับซูชิงเม่ยสบตากันแว่บหนึ่ง คนแรกจึงพูดอย่างเฉียบขาดว่า “เพลงบลูโลตัสเพลงเดียวราคาสองแสน พวกเราอยากได้ลิขสิทธิ์ทั้งหมด แน่นอนว่าสิทธิอ้างที่มายังเป็นของนายอยู่”
ราคาเพลงเดียวสองแสนนั้นแพงเกินไปจริงๆ นับว่าบรรลุถึงระดับสูงล้ำในวงการแล้ว สำหรับคนใหม่นั้นเรียกได้ว่า ช่างน่ามหัศจรรย์ใจสุดๆ
แต่ก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของลู่เฉินด้วย เงื่อนไขที่เขาเอ่ยออกมานั้นเป็นการขายลิขสิทธิ์ขาดทั้งหมด นี่หมายความว่าผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับเพลงนี้ หลังจากซื้อขาดไปก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก ไม่ได้เพลิดเพลินกับผลประโยชน์เหล่านั้นแม่แต่น้อย
เพลงดีๆเพลงหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงอมตะนั้น ความจริงก็เหมือนเป็นเหมืองทองเล็กๆแห่งหนึ่ง ขอเพียงขุดค้นอย่างถี่ถ้วน ย่อมสร้างความร่ำรวยให้อีกมาก
จะใช้มันทำเป็นเพลงหลักของอัลบั้มก็ดี หรือจะใช้มันทำเป็นซิงเกิ้ลเดี่ยวโดยตรงก็ได้ หรืออาจทำเป็นริงโทนให้คนมาดาวน์โหลด พร้อมกับมอบอำนาจให้ตัวแทนดำเนินการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ก็ไหว และหากโชคดีต้องตาบริษัททำหนังเข้าละก็ อาจถูกใช้เป็นธีมหลักของเรื่องเลยก็ยังได้
แถมหากมีการนำไปร้องคัฟเวอร์ บริษัทเพลงที่ทรงพลังอาจรีดเร้นเอามูลค่าของเพลงนี้ออกมาได้จนถึงขีดสุดอีกด้วย!
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ยังเป็นผลกระทบต่อตัวนักร้องอยู่ดี
เรื่องที่มีคนร้องร้องเพลงเดียวแล้วกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์นั้นก็มักโผล่มาเป็นประจำ และตอนนี้ก็ยังมีอยู่!
ลู่เฉินเขาละทิ้งผลประโยชน์เหล่านี้ อย่างนั้นราคาสองแสนก็จะเปลี่ยนเป็นทำให้คนยอมรับได้แล้ว ต้องทราบว่าคนใหญ่คนโตรวมทั้งมืออาชีพหลายคนเหล่านั้น ต่างเรียกร้องส่วนแบ่งตามสิทธิ อีกทั้งยังสงวนลิขสิทธิ์ไว้ส่วนหนึ่งอีกด้วย
เขาพยักหน้าพูดว่า “ผมก็ต้องการอย่างนั้น”
ลู่เฉินย่อมทราบถึงความสำคัญของลิขสิทธิ์ แต่สำหรับเขาตอนนี้ ผลประโยชน์ระยะยาวเหล่านั้นมันเลือนรางเกินไป คนใหม่คนหนึ่งคิดอยากจะแบ่งก้อนเค้กจากบริษัทสื่อบันเทิง ช่างไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงยิ่งนัก
ต่อหน้า“สาวแว่น”ที่เฉลียวฉลาดคนนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะตอบรับเงื่อนไขแบ่งผลประโยชน์อื่นอีก
ดังนั้นราคาโหดๆที่ลู่เฉินเรียกร้องจึงเพียงพอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นผ่านการซื้อขายครั้งนี้ ป้ายยี่ห้อของเขาคงตั้งตระหง่านในวงการ หากมีคนอื่นอยากจะซื้อเพลงเขาอีก อย่างนั้นก็ต้องร้องขออย่างนอบน้อมแล้ว!
สามหมื่นห้าหมื่น คุณไม่ละอายใจที่ควักออกมาแค่นั้นหรือไง?
เพลงดีๆในความทรงจำของลู่เฉินยังมีอีกมากายนัก และเขาก็ไม่คิดจะขายมันออกไปในราคาถูก กระทั่งในอนาคตเขายังคิดจะตั้งข้อเรียกร้องขอส่วนแบ่งด้วยอีก!
การกระทำของต่งอวี่นั้นรวบรัดหมดจดยิ่งนัก หลังจากตัดสินใจจะดำเนินการซื้อขายในครั้งนี้ เธอก็โทรไปเรียกให้ทนายประจำบริษัทเดินทางมาในทันที ดำเนินการลงนามในสัญญาในบัดดล
เมื่อลงนามเรียบร้อยแล้ว ยอดเงินสองแสนหลังหักภาษีก็แทบจะวิ่งเข้ามาในบัญชีธนาคารของลู่เฉินเพียงชั่วพริบตา
จากนั้นลู่เฉินก็ขอยืมโน๊ตบุ๊คจากอีกฝ่าย ล็อกอินเข้าแอคเค้าน์《คลังเพลงแห่งจีนแผ่นดินใหญ่》 ดำเนินการถ่ายโอนลิขสิทธิ์เพลง《บลูโลตัส》ให้บริษัทไลท์เรนมีเดียผ่านเครือข่าย แล้วการซื้อขายก็สำเร็จเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
แม้ค่าธรรมเนียมของ《คลังเพลงแห่งจีนแผ่นดินใหญ่》จะ Here We Go มากขนาดไหน แต่การให้บริการของมันก็สมบูรณ์พร้อมจริงๆ แม้ลู่เฉินจะเพิ่งเคยทำเรื่องโอนลิขสิทธิ์เป็นครั้งแรก ก็ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็เสร็จแล้ว
นี่ทำให้พวกต่งอวี่มองเขาสูงขึ้นส่วนหนึ่ง เพราะมีคนใหม่น้อยมากที่จะยอมจ่ายเงินจดทะเบียนลิขสิทธิ์ใน《คลังเพลงแห่งจีนแผ่นดินใหญ่》 เนื่องจากพวกเขาไม่อาจรับรองได้ว่าผลงานของพวกเขามีค่าพอจะเรียกกำไรกลับมาได้หรือไม่
ลู่เฉินทั้งใจใหญ่ทั้งกระหายอยาก แต่ความคิดกลับละเอียดรอบคอบ พิจารณาครุ่นคิดถึงทุกแง่ทุกมุม
คนหนุ่มเช่นนี้ ต่อไปภายหน้าต้องไร้ขีดจำกัดแน่!
“ยินดีที่ได้ร่วมงาน!”
ต่งอวี่ลุกขึ้นแล้วยื่นมือให้กับลู่เฉินก่อน “หลังจากนี้หากมีเพลงดีๆอะไรอีก ขอให้ครุ่นคิดถึงไลท์เรนมีเดียก่อนนะ!”
ลู่เฉินเองก็ลุกขึ้นจับมือเธอเช่นกัน หัวเราะบางๆ เอ่ยว่า “ยินดีที่ได้ร่วมงานครับ ไลท์เรนมีเดียเป็นบริษัทที่มีพลังและความสามารถบริษัทหนึ่ง ผมหวังว่าพวกเราจะได้ร่วมงานกันในครั้งหน้าอีก”
คำพูดดีงามไม่ได้เสียเงิน ลู่เฉินย่อมยินดียิ่งที่จะสร้างสายสัมพันธ์กับอีกฝ่าย
เมื่อต้องคลุกคลีอยู่ในวงการแล้ว เส้นสายนั้นสำคัญมาก
ดังนั้นเขาจะแสร้งว่ามองไม่เห็นซูชิงเม่ยที่นั่งเหลือกตาอยู่ข้างๆก็แล้วกัน
บรรดาคนที่นั่งอยู่ที่นี่ คนที่ดีใจที่สุดคงไม่หนีพ้นกานไค่* เมื่อมีเพลง《บลูโลตัส》เพลงนี้ บวกกับเพลงใหม่ทั้งสองเพลงที่เชิญมืออาชีพมาแต่งให้ เรื่องที่จะได้ออกอัลบั้มสักชุดหนึ่งย่อมไม่ใช่ความฝัน
*(ย้ำอีกครั้ง ผมว่ากานหล่างนะ แต่ชื่อแม่มเปลี่ยน)
สำหรับนักร้องและวงดนตรีมากมายที่คลุกคลีอยู่ในเมืองหลวง อาจเรียกได้ว่าการออกอัลบั้มสักชุดเป็นความฝันชั่วชีวิตเลยทีเดียว!
ด้วยเหตุนี้เขาเองจึงยืนขึ้น แสดงท่าทีให้ลู่เฉินเห็นถึงเจตนาดีของตนด้วยเช่นเดียวกัน
บรรยากาศระหว่างโต๊ะนั้นสนิทสนมกลมเกลียวเป็นอย่างยิ่ง ชางเว่ยประคองแชมเปญ หัวเราะพูดกับเฉินเจี้ยนฮ่าวว่า “เหล่าเฉิน พวกเราเจรจากันเสร็จแล้ว ตอนนี้ถึงรอบของนายแล้วล่ะ พวกเราจ่ายเงินไปมากขนาดนั้น เพลงในฤดูใบไม้ผลิเพลงนั้นนายเตรียมจ่ายให้เสี่ยวลู่เขาเท่าไหร่ล่ะหือ?”
เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องของลู่เฉินกับเฉินเจี้ยนฮ่าวแค่สองคนเท่านั้น ไม่ได้คิดจะมาเปิดฉากเจรจากันที่นี่เลยสักนิด
แต่ชางเว่ยรู้สึกแค้นฝังหุ่นกับเฉินเจี้ยนฮ่าวมาก หากเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะเฉินเจี้ยนฮ่าวแสดงท่าทีสนับสนุน สร้างความเชื่อมั่นให้กับลู่เฉินจนเกินพอแล้วละก็ อย่างนั้นไลท์เรนมีเดียอาจได้เพลงทั้งสองมาไว้ในกำมือไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะไม่ต้องจ่ายเงินซื้อเพลง《บลูโลตัส》เสียแพงขนาดนั้นก็ได้
ชางเว่ยกับไลท์เรนมีเดียนั้นมีผลประโยชน์ร่วมกัน
ดังนั้นเถ้าแก่ใหญ่ชางจึงคิดจะให้เฉินเจี้ยนฮ่าวควักเนื้อออกมาเสียบ้าง จึงแกล้งพูดให้เขาเปิดราคา ไม่ยอมให้เขาซื้อในราคาถูกเด็ดขาด!
พวกต่งอวี่กับซูชิงเม่ยเองก็บังเกิดความอยากรู้อยากเห็นด้วยเช่นกัน
แผนนี้กระทั่งลู่เฉินยังไม่รู้จะพูดอะไรดีเลย
เขาเป็นคนที่แยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจนผู้หนึ่ง เรื่องที่จะขายเพลง《ในฤดูใบไม้ผลิ》ให้กับเดย์ลิลลี่นั้น อันดับแรกเลยคือเขาคิดจะตอบแทนบุญคุณของเฉินเจี้ยนฮ่าวที่คอยช่วยเหลือในตอนที่เขาลำบากที่สุด ทำให้เขาได้ทำงานในร้านที่ไม่เลวและยังมีรายได้พอสมควรเลยด้วย
แน่นอนว่าไม่ใช่จะมอบให้เปล่าๆ และเฉินเจี้ยนฮ่าวเองก็ไม่คิดจะเอาไปเปล่าๆด้วยเช่นกัน ส่วนเรื่องราคานั้นไว้คุยกันเองจึงค่อยดีที่สุด
เพลง《ในฤดูใบไม้ผลิ》เพลงนี้ลู่เฉินร้องครั้งเดียวก็พอแล้ว เพลงที่อุดมไปด้วยประสบการณ์ชีวิตอันโชกโชนเช่นนี้ไม่เหมาะกับนักร้องหนุ่มอย่างเขาเลยสักนิด แม้เขาจะอาศัยความช่วยเหลือจากความทรงจำของสวีป๋อจนแสดงได้ดีในระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายเพลงนี้ก็ไม่เหมาะกับสไตล์เขาเลย
การมอบให้กับเฉินเจี้ยนฮ่าว ก็เท่ากับการมอบให้ฉินฮั่นหยางและวงผั่งหวงนั่นล่ะ นี่เป็นการคำนึงถึงมิตรภาพในทุกแง่ทุกมุมแล้ว
แต่ตอนนี้กลับโดนชางเว่ยบอกให้ตกลงกันเดี๋ยวนี้ซะ ลู่เฉินจึงไม่สะดวกที่จะบอกว่าผมจะขายมันในราคาถูกครับ อย่างนี้คงไม่ใช่กลายเป็นควักเนื้อของเฉินเจี้ยนฮ่าวไปพร้อมกับฝ่ายแรกหรอกนะ?
แต่เฉินเจี้ยนฮ่าวเป็นคนแบบไหน ไหนเลยจะโดนแผนการเล็กๆของชางเว่ยสร้างความลำบากให้ได้เล่า?
เขาหัวเราะออกมาคำหนึ่ง แล้วพูดว่า “พูดเรื่องเงินก็ธรรมดาไป ผมเตรียมส่วนหนึ่งที่ควักออกมาไม่ได้ไว้แล้วน่ะ”
ตอบโต้อย่างไม่เบาไม่หนัก ทำให้คนทั้งหมดต่างงงงัน
ส่วนหนึ่งที่ควักออกมาไม่ได้ อย่าบอกนะว่าจะเอาไปเปล่าๆน่ะ?
เฉินเจี้ยนฮ่าวประกาศออกมาในทันทีว่า “เสี่ยวลู่ นายไม่ใช่เคยพูดว่าอยากเป็นหุ้นส่วนของเดย์ลิลลี่หรอกหรือ? อย่างนั้นฉันขอใช้หุ้นเดย์ลิลลี่ 5% มาแลกกับเพลงนี้ของนายก็แล้วกัน ว่ายังไง?”
หุ้นเดย์ลิลลี่ 5%!
นี่เป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมายเกินไป กระทั่งลู่เฉินยังคาดไม่ถึง
ลู่เฉินเคยพูดว่าอยากขอซื้อหุ้นเดย์ลิลลี่จากเฉินเจี้ยนฮ่าวสักหน่อย แต่ตอนนั้นแค่พูดขำๆ เป็นไปในทำนองที่ว่าตนเองจะไม่ลืมรากเหง้าแค่นั้น เฉินเจี้ยนฮ่าวจู่ๆกลับรื้อฟื้นขึ้นมาเสียนี่
ชางเว่ยผงะไปชั่วขณะ จากนั้นจึงชูนิ้วโป้งให้เฉินเจี้ยนฮ่าว “เหล่าเฉิน ยอดเยี่ยม!”
บรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ เขาเป็นคนที่เข้าใจเฉินเจี้ยนฮ่าวมากที่สุดเลยก็ว่าได้
บาร์เดย์ลิลลี่แม้จะมีมูลค่าทรัพย์สินคงที่ แต่อย่างมากก็เพียงแค่ล้านสองล้านเท่านั้น เพราะมันเป็นที่ดินเช่า ไม่เหมือนกับบลูโลตัสที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเอง หุ้น 5% จึงไม่ได้มากนัก
แต่เฉินเจี้ยนฮ่าวบริหารงานมานานขนาดนั้น ธุรกิจของร้านจึงไม่เลวมาโดยตลอด ฐานลูกค้าก็แน่นอนมั่นคง
ถ้าตอนนี้เขาคิดจะขายร้าน สามล้านสี่ล้านก็มีคนแย่งซื้อกันแน่ ปีหนึ่งได้กำไรสุทธิหลายแสนเชียวนะ!
แม้หุ้น 5% จะฟังดูเหมือนไม่มาก แต่น้ำที่บรรจบกันเป็นสายธารย่อมเป็นผลประโยชน์ที่ดียิ่ง
เฉินเจี้ยนฮ่าวคิดจะยกหุ้นให้ลู่เฉินนิดหน่อย ย่อมไม่ใช่แค่เพื่อซื้อเพลง《ในฤดูใบไม้ผลิ》 เพราะแสนสองแสนเฉินเจี้ยนฮ่าวย่อมควักออกมาได้ เป้าหมายของเขาจริงๆจึงเป็นการรั้งตัวลู่เฉินคนนี้ไว้
เรื่องการรั้งตัวคนนั้นไม่ใช่จะบอกให้ลู่เฉินอยู่ร้องเพลงที่เดย์ลิลลี่ไปตลอด นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่หวังจะอาศัยป้ายชื่อของลู่เฉิน มายกระดับชื่อเสียงของบาร์เดย์ลิลลี่ต่างหาก!
หากหนทางข้างหน้าในอนาคตของลู่เฉินยิ่งเติบใหญ่มากขึ้น เดย์ลิลลี่กับเฉินเจี้ยนฮ่าวก็จะได้อาบไล้แสงมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
ดังนั้นสิ่งที่เขาควักออกมา ก็แค่หุ้น 5% เท่านั้น
นับเป็นการซื้อขายที่วินวินทั้งสองฝ่าย!
เฉินเจี้ยนฮ่าวยิ้มๆ หันไปถามต่งอวี่ว่า “ประธานต่ง ผมขอยืมทนายความของบริษัทคุณมาช่วยร่างสัญญาให้หน่อยได้ไหม?”
ต่งอวี่ย่อมไม่ขัดข้องต่อคำขอเล็กน้อยแค่นี้
หล่อนเองก็นับถือเฉินเจี้ยนฮ่าวมากเช่นกัน——แดนร้างยุทธภพย่อมมีมังกรคะนองซุ่มซ่อน!
พี่สาวนาหันไปยิ้มให้กับลู่เฉิน “ยินดีด้วย เถ้าแก่เสี่ยวลู่!”
ลู่เฉินฝืนยิ้ม รู้สึกเหมือนเป็นเป็ดที่ถูกลากขึ้นเขียงยังไงยังงั้น