ตอนที่ 448 เคาะแล้ว
เมื่อเข้าไปในห้องอาหารส่วนตัว หม่าหรงเจินก็มองเห็นลู่เฉินที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งหลัก
เมื่อเทียบกับวั่นเสี่ยวเฉวียนและจางเสี่ยวฟางที่นั่งอยู่ข้างๆ ลู่เฉินให้ความรู้สึกเหมือนดวงดาวในยามราตรี มากพอที่จะจำแนกเขาออกจากฝูงชนในพริบตา จากนั้นก็เหลือเพียงความประทับใจที่ลึกซึ้ง
อย่างแรกคือความหล่อ ความหล่อของลู่เฉินไม่เหมือนกันหนุ่มหล่อที่กำลังเป็นที่นิยมในวงการบันเทิง ถึงแม้จะไม่หล่อถึงขั้นไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีอยู่บนโลกนี้ แต่โครงหน้าของเขาก็ชัดเจน คิ้วคม ดวงตาสดใส จมูกโด่ง มีความมุ่งมั่นและสุขุมรอบคอบที่คนหนุ่มสาวไม่ค่อยมีนัก ทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ควรค่าแก่การเชื่อถือ
คนนี้ก็คือเถ้าแก่ของบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์เหรอ?
หม่าหรงเจินแทบไม่อยากจะเชื่อ และอดตกตะลึงขึ้นมาไม่ได้
หากจะพูดตามจริง วั่นเสี่ยวเฉวียนเหมือนบอสมากกว่า และลู่เฉินก็เป็นศิลปินดาราที่อยู่ใต้สังกัดของเขา เป็นพระเอกของภาพยนตร์เรื่องใหม่น่าจะใช่มากกว่า
ขณะที่เขาตกตะลึงนิ่งอึ้ง ลู่เฉินก็ยิ้มเล็กน้อยพลางลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า และเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปก่อน “ลุงหม่าผมได้ยินชื่อเสียงของคุณมานานแล้วครับ!”
หม่าหรงเจินอย่างไรเสียก็เป็นนักแสดงรุ่นเก่าที่คลุกคลีอยู่ในวงการมาหลายสิบปี เขารีบจับมือกับลู่เฉินทันที
“สวัสดีครับ
เฉินเหวินเฉียงรีบแนะนำเพื่อไม่ให้เสียเวลา “พี่หม่า คนนี้ก็คือลู่เฉินเป็นเถ้าแก่ของผมตอนนี้ครับ เขามาจากประเทศจีน เพิ่งเปิดสตูดิโอภาพยนตร์ที่ฮ่องกง ออฟฟิศอยู่ที่อาคารหรงจิ่น มีพื้นที่สองพันตารางฟุต”
กลองดีไม่ต้องตีดัง หม่าหรงเจินเป็นคนฮ่องกงโดยแท้ แค่ฟังก็เข้าใจความหมายของเฉินเหวินเฉียงแล้ว
อาคารหรงจิ่นอยู่ในย่านธุรกิจซีอิ๋งผานของท่าเรือตะวันตก ค่าเช่าอาคารสำนักงานในย่านท่าเรือตะวันตกถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับย่านเซ็นทรัลและกัมชุง แต่บริเวณโดยรอบก็เป็นศูนย์รวมของสถานีโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร บริษัทบันเทิง บริษัทภาพยนตร์ ค่าเช่าไม่เคยถูก อีกทั้งยังมีพื้นที่มากถึงสองพันตารางฟุต
เฉินเหวินเฉียงกำลังแอบบอกความสามารถของลู่เฉินเป็นนัยๆ
หม่าหรงเจินเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา “ที่แท้ก็เป็นเถ้าแก่ลู่ ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยเลยนะครับ!”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ยว่า “ลุงหม่า คุณเป็นผู้อาวุโส เรียกผมว่าลู่เฉินก็พอแล้วครับ เถ้าแก่ลู่อะไรฟังแล้วรู้สึกอึดอัดชอบกล”
ผ่านประสบการณ์ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ เห็นความเย็นชาของจิตใจคนจนชินชา คำให้เกียรติและมารยาทของลู่เฉินทำให้หม่าหรงเจินรู้สึกซาบซึ้งมาก คิดไม่ถึงว่ายังจะมีคนเรียกเขาว่า ‘ผู้อาวุโส’ อีก
วงการบันเทิงของฮ่องกง เป็นวงการที่เอาใจผู้มีอำนาจและโจมตีคนตกต่ำ ยามที่เป็นดาราดังก็มีคนสนับสนุน พอหมดความนิยมใครๆ ก็เหยียบย่ำ พวกที่เด็กกว่าไม่สนใจหรอกว่าคุณเป็นรุ่นพี่ จะมองก็แต่ความนิยมและภูมิหลังของคุณว่ามีเท่าไรเท่านั้นเอง
หม่าหรงเจินตอนนี้คลุกคลีอยู่ในโรงถ่ายไลออนร็อก คนที่รู้จักเขามีมากมาย ขนาดคนงานทำงานเบ็ดเตล็ดทั่วไปก็ยังกล้าเรียกเขาไปดื่มด้วย
ลู่เฉินถึงแม้จะมาจากประเทศจีน แต่ก็มีเฉินเหวินเฉียงอยู่ เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เรื่องของเขา
และด้วยเพราะเหตุนี้ ท่าทางของลู่เฉินถึงมีค่ามากนัก
เฉินเหวินเฉียงพูดเสริมอีกสองประโยค “คุณลู่เฉินเป็นซูเปอร์สตาร์ดังที่จีน เดบิวต์หนึ่งปีกว่าก็ออกอัลบั้มส่วนตัวสองอัลบั้มแล้ว และยังถ่ายทำละครโทรทัศน์ที่สร้างปรากฏการณ์อีกสองเรื่อง มาฮ่องกงครั้งนี้เพื่อเตรียมตัวถ่ายหนังครับ”
หม่าหรงเจินฟังแล้ว ความรู้สึกในใจไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
เขาไม่ได้สงสัยว่าเฉินเหวินเฉียงกำลังช่วยพูดโม้แทนลู่เฉิน เพราะไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าลู่เฉินจะมีฐานะเป็นอะไร ขอเพียงเอาเงินมาจ้างเขาถ่ายภาพยนตร์ได้ก็พอแล้ว
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “พวกเรานั่งคุยกันดีกว่าครับ”
ทุกคนนั่งลงอีกครั้ง เฉินเหวินเฉียงได้แนะนำวั่นเสี่ยวเฉวียนกับจางเสี่ยวฟางให้หม่าหรงเจินรู้จัก
หม่าหรงเจินก็แนะนำเสี่ยวอู๋ ‘ผู้ช่วย’ ของเขาให้ลู่เฉินและคนอื่นๆ รู้จักเช่นกัน
เสี่ยวอู๋นั่งลงข้างๆ ด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เหตุการณ์เช่นนี้ เขาเคยเห็นในภาพยนตร์และโทรทัศน์มาก่อน
รู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่นิดๆ
เฉินเหวินเฉียงเรียกพนักงานมาสั่งอาหาร นำเมนูอาหารให้ลู่เฉินก่อน หลังจากลู่เฉินสั่งอาหารสองสามอย่างง่ายๆแล้วก็ยื่นให้หม่าหรงเจิน “ลุงหม่า คุณชอบกินอะไรสั่งเลยครับ”
หม่าหรงเจินรีบปฏิเสธ “ไม่ ผมกินอะไรก็ได้ พวกคุณสั่งเลยครับ”
ทันใดนั้น เขาก็ลองถามว่า “คุณลู่ ไม่ทราบว่าคุณเขียนบทภาพยนตร์ออกมาแล้วหรือยังครับ”
ลู่เฉินยื่นเมนูอาหารให้เฉินเหวินเฉียง แล้วยิ้มเอ่ยว่า “บทเขียนเสร็จนานแล้วครับ ถ้าลุงหม่าอยากดู ผมสามารถเอาให้ดูตอนนี้ได้เลย”
เขาหันไปพยักหน้าให้วั่นเสี่ยวเฉวียน จากนั้นคนหลังก็หยิบกระดาษต้นฉบับหนาๆ ออกมาจากกระเป๋าเอกสารของเขาแล้วยื่นให้หม่าหรงเจิน
“ขอบคุณครับ!”
หม่าหรงเจินรับมาอย่างอดใจรอไม่ไหว แล้วเริ่มอ่าน
เขาอ่านอย่างตั้งใจและจริงจังมาก กระทั่งลืมว่ามีลู่เฉินและคนอื่นๆ นั่งอยู่ด้วย จนถึงตอนที่พนักงานเอาอาหารจานแรกมาเสิร์ฟ เขาเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน
ถึงแม้จะหิวจนท้องร้องจ๊อกๆ กลิ่นของอาหารก็ยั่วยวน แต่ความคิดของหม่าหรงเจินไม่ได้อยู่ที่การดื่มกินอย่างสิ้นเชิง เขาจับบทภาพยนตร์แล้วจ้องมองลู่เฉิน “คุณลู่ครับ บทภาพยนตร์นี้ใครเป็นคนเขียนครับ”
เขียนดีมากจริงๆ!
แม้จะเป็นเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจาก ‘เรื่องประหลาดจากห้องหนังสือ’ แต่ข้างในใส่องค์ประกอบที่มีสีสันเอาไว้มากมาย นิสัยของนักแสดงนำสองสามคนมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ภาพลักษณ์บุคคลเหมือนจริงมาก โครงเรื่องและเรื่องราวมีจังหวะขึ้นลงมีจุดพีกอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้วงการภาพยนตร์โทรทัศน์ของฮ่องกงมีภาพลักษณ์ที่แปลกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการเขียนบทที่มั่วซั่ว อาศัยเพียงหน้าตาและความน่ารักของดาราไอดอล รีบเขียนบทเพื่อทำผลงาน คิดแต่ว่าอยากให้ถูกรสนิยมของคนดู ทว่าผลที่ได้กลับตาลปัตร
ความเสื่อมถอยของภาพยนตร์ฮ่องกงทุกวันนี้ กับบทภาพยนตร์ระดับเทพที่ยังไม่ปรากฏมีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด
นักเขียนบทที่เก่งรุ่นอาวุโส ส่วนใหญ่ก็โรยรากันหมดแล้ว
หม่าหรงเจินเข้าวงการมาหลายสิบปี เล่นภาพยนตร์มาหลายเรื่อง อ่านบทมามากมายนับไม่ถ้วน
ทว่าบทภาพยนตร์ ‘โปเยโปโลเย’ ที่อยู่ในมือ ได้กระตุ้นพลังที่ห่างหายไปนานของหม่าหรงเจิน นั่นคือนักแสดงคนหนึ่งได้เจอบทภาพยนตร์ที่ดีแล้วเกิดความกระตือรือร้นอยากลองอย่างอดใจไม่ไหว
‘เยียนชื่อเสีย’ ที่อยู่ในบทภาพยนตร์ เหมือนสร้างขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ!
หม่าหรงเจินมีความรู้สึกที่รุนแรง ถ้าหากพลาดภาพยนตร์เรื่องนี้ไป เขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!
วินาทีนี้ เขาอยากจะพูดกับลู่เฉินดังๆ ว่า “ผมจะรับเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่จ่ายเงินก็ได้!”
แต่สติสัมปชัญญะที่หลงเหลืออยู่ทำให้หม่าหรงเจินหยุดยั้งอารมณ์หุนหันพลันแล่นของตัวเองเอาไว้
และวันนี้การแสดงออกของเขาก็เสียภาพลักษณ์ไปมากแล้ว
ถ้าหากเจอเถ้าแก่ที่ฉลาดมีเล่ห์เหลี่ยม นั่นก็มากพอที่จะควบคุมเขาได้ง่ายๆ แล้ว
หม่าหรงเจินไม่รับเงินไม่ได้จริงๆ เขาก็ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
เฉินเหวินเฉียงยิ้มพลางเอ่ยว่า “บทภาพยนตร์นี้เถ้าแก่ของพวกเราเป็นคนเขียนเองครับ และเขาก็เล่นเป็นพระเอกด้วย…”
ตอนที่ตอบ เฉินเหวินเฉียงมองลู่เฉินหนึ่งที ใช้สายตาบอกเป็นนัยให้ลู่เฉิน
ลู่เฉินเข้าใจความหมายของเขา จึงพยักหน้าเล็กน้อย
สายตาของเฉินเหวินเฉียงเฉียบแหลมนัก แวบเดียวที่เห็นหม่าหรงเจิน ลู่เฉินก็รู้สึกว่าเขาเหมาะสมกับบทเยียนชื่อเสียเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์หรือบุคลิกท่าทาง
แน่นอนว่าตอนนี้มาดของเขาอาจจยังด้อยไปไม่น้อย แต่เชื่อว่าสำหรับนักแสดงรุ่นเก๋าคนนี้ไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน
ตอนที่ได้รับการยอมรับของลู่เฉิน รอยยิ้มของเฉินเหวินเฉียงก็ยิ่งสดใสขึ้น แล้วกล่าวต่อว่า “ผมแนะนำเขาว่าให้คุณเล่นบทเยียนชื่อเสีย ไม่ทราบว่าคุณสนใจไหมครับ”
สนใจไหม สนใจหรือไม่!
หม่าหรงเจินจับบทภาพยนตร์ในมืออย่างแรง แผดเสียงคำรามดังก้องในหัวใจ
ทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้าน!
…………………………………………………………………………