ตอนที่ 456 มาเยี่ยมที่ทุ่งหญ้า (2)
สถานที่ถ่ายทำละคร ‘ลำนำศิวิไลซ์’ อยู่ที่ลานล่าสัตว์ที่ห่างจากสุ่ยเฉวียนเหวยออกไปกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตร
ลานล่าสัตว์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุ่ยเฉวียน และแม่น้ำสุ่ยเฉวียนก็เป็นต้นน้ำเพียงแห่งเดียวของทะเลสาบเสี่ยวจิ้งพื้นที่ของลานล่าสัตว์ใหญ่นับร้อยตารางกิโลเมตร ปกคลุมไปด้วยป่าธรรมชาติและเทือกเขาสูง ดังนั้นสัตว์ป่าจึงเยอะมาก
เนื่องจากต้องรักษาระบบนิเวศ ตอนนี้ลานล่าสัตว์โดยทั่วไปไม่มีกิจกรรมล่าสัตว์แล้ว แต่ชื่อของลานล่าสัตว์สุ่ยเฉวียนยังคงรักษาไว้ และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่เลวอีกแห่งหนึ่ง
กองละคร ‘ลำนำศิวิไลซ์’ เดินทางไปถ่ายทำที่ลานล่าสัตว์สุ่ยเฉวียนเมื่อวาน ตามแผนการแล้ว อย่างน้อยต้องอยู่จนถึงวันพรุ่งนี้แล้วค่อยกลับสุ่ยเฉวียนเหวย แต่การถ่ายทำต้องราบรื่นถึงจะเป็นจริงได้
ระหว่างทางไปลานล่าสัตว์สุ่ยเฉวียน ทีมงานที่ทำตัวเป็นไกด์ชั่วคราวได้แนะนำสภาพแวดล้อมของที่นี่ให้ลู่เฉินฟังอย่างกระตือรือร้น ลานล่าสัตว์สุ่ยเฉวียนก็เป็นสถานที่อยู่อาศัยของชนเผ่ามองโกลเช่นกัน ดังนั้นสภาพความเป็นอยู่จึงไม่แย่นัก
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากให้ลู่เฉินเป็นห่วงชีวิตการถ่ายทำทางนี้ของเฉินเฟยเอ๋อร์ อยากให้ลู่เฉินสบายใจ
จางเสี่ยวฟางขับรถนิ่งมาก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็เห็นรั้วไม้ที่ตั้งอยู่นอกลานล่าสัตว์สุ่ยเฉวียน และยังมีธงรบที่โบกสะบัดอยู่บนที่สูง
ผ่านประตูไม้สูงที่เห็นได้ชัดว่าสร้างขึ้นชั่วคราว จากนั้นรถออฟโรดก็แล่นเข้าสู่สถานที่พักอาศัยของคนเลี้ยงสัตว์ที่ลานล่าสัตว์ มองเห็นกระโจมแต่ละหลังตั้งกระจายอยู่ตามตีนเขา หนึ่งในนั้นมีกระโจมสีทองขนาดใหญ่หลังหนึ่งที่เด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
“นั่นคือกระโจมทอง!”
ทีมงานที่นำทางชี้และแนะนำอย่างภาคภูมิใจ “ผมกับเพื่อนๆ ช่วยกันสร้างขึ้นมา แถมยังไปขอความช่วยเหลือจากคนเลี้ยงสัตว์จำนวนไม่น้อย พร็อพหลายอย่างที่อยู่ในนั้นต้องไปสั่งทำและซื้อมาจากเมืองอูเหมิงครับ”
ลู่เฉินตกใจ “คุณเป็นคนทำพร็อพเหรอครับ”
อีกฝ่ายเขินอาย “ตั้งใจทำงานด้านนี้ หน้าที่ในตอนนี้คือเป็นคนดูแลพร็อพครับ”
เขาติดรถมาที่ลานล่าสัตว์สุ่ยเฉวียน และยังนำอุปกรณ์ประกอบฉากมาอีกสองสามชิ้น
“ถึงแล้วครับ!”
รถจอดนิ่งอยู่ข้างกระโจมมองโกลหลังหนึ่ง ที่นี่มีรถพร็อพของกองละครจอดอยู่สองสามคันแล้ว
ทีมงานกระโดดลงจากรถก่อน แล้วไปถามเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่อยู่แถวนี้ “รู้ไหมว่าตอนนี้เฉินเฟยเอ๋อร์ถ่ายละครอยู่ที่ไหน”
อีกฝ่ายเหลือกตาขาวหนึ่งที “ทำไม”
เขาบุ้ยปากไปทางลู่เฉินที่เพิ่งลงจากรถ “คนนี้เขามาเยี่ยม”
เพื่อนร่วมงานจ้องมองด้วยความตกใจ “โอ้โห คนนี้วิ่งมาถึงที่นี่เลยเหรอ ทรหดอดทนมากจริงๆ!”
เพื่อนนำทางยิ้มพลางเอ่ยว่า “รักกันดี ไม่พบกันวันเดียว เหมือนไม่พบกันสามปี เข้าใจได้”
เพื่อนร่วมงานรู้สึกนับถือ “ยอมเลยจริงๆ ตอนนี้น่าจะอยู่ในกระโจมทอง คงถ่ายใกล้เสร็จแล้วครับ”
ทีมงานอธิบายให้ลู่เฉินฟัง
ลู่เฉินแสดงตัวว่าเข้าใจแล้ว “อย่างนั้นรอให้ทางนี้ถ่ายทำเสร็จก่อน ไม่รบกวนการทำงานของพวกคุณแล้วครับ”
ทีมงานยิ้มเอ่ยว่า “ก็ได้ครับ ผมขอเอาพร็อพไปส่งก่อนนะครับ ขอตัวนะครับ”
ลู่เฉินขอบคุณอีกครั้ง
หลังจากอำลากับผู้มีน้ำใจแล้ว ลู่เฉินให้จางเสี่ยวฟางเฝ้าอยู่ที่รถ แล้วตัวเองก็ไปเดินเล่นแถวที่อยู่อาศัยของลานล่าสัตว์แห่งนี้
ที่นี่นอกจากบ้านไม้ไม่กี่หลังแล้ว ล้วนเป็นกระโจมเสียส่วนใหญ่ ด้านนอกยังมีวัว แกะ และม้าที่ปล่อยเลี้ยงฝูงใหญ่ ดังนั้นกลิ่นจึงไม่ค่อยน่าภิรมย์นัก คนที่เดินสวนไปมาล้วนเป็นคนชนเผ่ามองโกล
พวกเขามีความกระตือรือร้นมาก เจอลู่เฉินก็ทักทายก่อน ถึงขนาดเชิญลู่เฉินไปนั่งในกระโจมของตัวเอง
ลู่เฉินขานรับอย่างมีมารยาท และปฏิเสธคำเชิญอย่างสุภาพ เพื่อแสดงว่าตนยังมีธุระอีก
“คุณก็มาถ่ายละครเหรอ”
เดินดูความคึกคักไปรอบๆ ทันใดนั้นเสียงดังสดใสก็ดังขึ้นข้างๆ ไพเราะน่าฟังราวนกขมิ้น
ลู่เฉินจึงหันไปมอง เห็นสาวน้อยชาวชนเผ่ามองโกลคนหนึ่งยืนห่างออกไปไม่ไกล
เธออายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี ผิวค่อนข้างคล้ำแต่ดวงตาโตสดใส สวมเครื่องแต่งกายพื้นเมืองของชนเผ่ากระโปรงยาวประดับด้วยที่คาดเอวสีแดง สีชมพู สีเชียว และสีฟ้า ผมดำขลับถักเปียเส้นเล็กๆ ทั่วทั้งศีรษะ ขอบรอบยอดหมวดสลักฝังพลอยหลากสี สดใสมีชีวิตชีวาเป็นสาวงามคนหนึ่งของเผ่ามองโกล
ในมือของเธอยังจับแส้ยาวเส้นหนึ่ง
และด้านหลังของสาวน้อยคนนี้ ยังมีเด็กซนขี้มูกโป่งคนหนึ่งหลบอยู่ข้างหลัง คาดว่าน่าจะเป็นน้องชายของเธอ เด็กน้อยดึงเข็มขัดของพี่สาวพลางแอบมองลู่เฉินอย่างหวาดกลัว
ลู่เฉินรู้สึกว่าน่าสนใจ โน้มตัวไปใกล้แล้วตอบว่า “ฉันไม่ได้มาถ่ายละคร ฉันมาเยี่ยมคน”
อีกฝ่ายพูดภาษาจีนกลางได้ชัดเจนมาก ไม่มีสำเนียงถิ่นเลยสักนิด
“มาเยี่ยมเหรอ”
เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยไม่เข้าใจในความหมาย
ลู่เฉินอธิบายว่า “ก็คือมาเยี่ยมเพื่อนที่ถ่ายละคร”
“อ้อ!”
สาวน้อยพลันเข้าใจ “งั้นต้องเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ ของคุณแน่นอนใช่ไหม”
ลู่เฉินหัวเราะพลางพยักหน้า แล้วถามว่า “แม่หนู เธอชื่ออะไร”
สาวน้อยตอบอย่างจริงจังว่า “ฉันชื่อเก๋อเกินถ่าน่า อีกสองปีฉันก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว”
ความหมายของเธอคือเธอไม่ใช่เด็กแล้ว
ลู่เฉินหัวเราะเหอะๆ “เก๋อเกินถ่าน่า ไข่มุกแห่งทุ่งหญ้า ชื่อเพราะมากๆ!”
เก๋อเกินถ่าน่าตกใจ “คุณรู้ความหมายชื่อของฉันเหรอ”
ลู่เฉินหัวเราะแต่ไม่พูด
ในภาษามองโกล เก๋อเกินถ่าน่าแปลว่าไข่มุก ลู่เฉินค้นมาจากความทรงจำของฟางหมิงอี้ คนหลังพูดภาษามองโกลแบบง่ายๆ ได้ และเคยเดินทางท่องเที่ยวที่ทุ่งหญ้ามองโกเลียมาก่อน
ทว่าในโลกของฟางหมิงอี้ มองโกเลียนอกไม่ได้กลับสู่อ้อมอกมาตุภูมิ และกลายเป็นความเจ็บช้ำของคนมากมายนับไม่ถ้วน
เมื่อความทรงจำผุดขึ้นมา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
เก๋อเกินถ่าน่ากลอกตาไปมาแล้วถามว่า “คุณคิดจะอยู่ที่ลานล่าสัตว์สุ่ยเฉวียนนานแค่ไหน”
ลู่เฉินได้สติกลับมา แล้วจึงยิ้มตอบว่า “แค่วันสองวันเอง ฉันมาจากฮ่องกง”
“ฮ่องกงเหรอ…”
ฮ่องกงสำหรับเก๋อเกินถ่าน่า เป็นสถานที่ที่ห่างไกลอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าของเธอเผยความงุนงงออกมา
“เพื่อนที่คุณมาเยี่ยมเป็นใคร”
ลู่เฉินเอ่ยว่า “เธอชื่อเฉินเฟยเอ๋อร์ เธอรู้จักไหม”
“พี่เฟยเอ๋อร์”
เก๋อเกินถ่าน่าตาเป็นประกายทันที “คุณเป็นเพื่อนกับพี่เฟยเอ๋อร์เหรอ”
เธอฉลาดมาก “แฟนเหรอ”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้า
ไม่รู้ว่านึกถึงอะไร สีหน้าของเก๋อเกินถ่าน่าดูไม่สู้ดีนัก
“ลู่เฉิน!”
ลู่เฉินกำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นเสียงตะโกนเรียกของจางเสี่ยวฟางก็ดังมาจากทางโน้น เขาจึงอดตื่นเต้นไม่ได้
ตรงกระโจมทองน่าจะถ่ายเสร็จแล้วแน่นอน เฉินเฟยเอ๋อร์ออกมาแล้ว
เขาไม่สนใจที่จะพูดกับสาวน้อยชาวมองโกลที่น่าสนใจอีกต่อไป จึงเอ่ยว่า “ฉันต้องไปแล้ว ลาก่อน”
“เดี๋ยวก่อน!”
เก๋อเกินถ่าน่าขวางลู่เฉินทันที จากนั้นก็ยัดแส้ที่อยู่ในมือให้กับลู่เฉิแล้วกล่าวว่า “นี่คือฉันให้คุณ คุณห้ามทิ้งนะ!”
พูดจบ เธอดึงน้องชายของตัวเองพอหันหน้าได้ก็ออกวิ่ง และหายไปท่ามกลางกระโจมมองโกลภายในพริบตา
ลู่เฉินถือแส้อย่างงุนงง อยากจะปฏิเสธก็ไม่ทัน
แต่ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ เพราะระยะห่างที่ไกลออกไป เขามองเห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏอยู่ที่กระโจมทองแล้ว
ลู่เฉินวิ่งไปทางนั้นทันที
และแล้วเงาร่างที่คุ้นเคยนั้นก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น!
…………………………………………………………………………