ตอนที่ 474 ให้ความสำคัญ
สำหรับความไม่สนใจของลู่เฉิน หลีเจินยิ่งรู้สึกเครียดมาก
ช่วงที่ลู่เฉินออกจากฮ่องกงกลับไปปักกิ่ง ภายใต้การนำทีมของผู้จัดการสตูดิโอเฉินเหวินเฉียง ทางสตูดิโอได้ให้ความร่วมมือกับเจียหยางพิคเจอร์สเพื่อเตรียมงานถ่ายทำภาพยนตร์ ‘โปเยโปโลเย’ ทุกคนจึงงานยุ่งมาก เธอเองก็เช่นกัน
และด้วยเพราะสาเหตุนี้ เมื่อเกิดพายุโจมตีลู่เฉินบนอินเทอร์เน็ต หลีเจินจึงไม่ได้ส่งข่าวกลับไปที่ปักกิ่งก่อนเป็นสิ่งแรก เธอประมาทเลินเล่อมาก
เธอคิดว่าเรื่องนี้แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ซา และเป็นเรื่องปกติของวงการบันเทิงฮ่องกง เว้นเสียแต่ว่ามีคนจงใจสนับสนุนไม่อย่างนั้นสื่อจะเปลี่ยนความสนใจเร็วมาก เพราะมีข่าวซุบซิบนินทามากมายออกมาทุกวัน
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว เรื่องราวมันรุนแรงมาก ดังนั้นเธอจำเป็นต้องเตือนลู่เฉิน “เฉินหยวนเฉินคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแม้แต่ราชาเพลงหลิวเขาก็ยังไม่ไว้หน้า เขียนบทความด่าคนได้เจ็บแสบมากค่ะ”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ยว่า “เขาแกร่งก็ปล่อยให้เขาแกร่ง ทำเป็นสายลมพัดผ่านขุนเขาก็พอ”
“อ๋า?”
หลีเจินงงเล็กน้อย…ถึงแม้จะไม่เข้าใจนัก แต่ฟังแล้วเหมือนจะสุดยอดมาก
ลู่เฉินหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไร กลับไปค่อยว่ากัน!”
‘โปเยโปโลเย’ กำลังจะเริ่มถ่ายทำแล้ว ไม่รู้ว่างานซับซ้อนยุ่งยากมีอีกเท่าไรที่ต้องทำให้เสร็จ ลู่เฉินจะเอาเวลาและกำลังที่ไหนไปทะเลาะกับคนอื่น ต่อให้เฉินหยวนเฉินปากร้ายกว่านี้ หากไม่สนใจเขาแล้วจะเป็นยังไง
พวกปาปารัสซี่กับสื่อบันเทิงคงอยากให้โลกวุ่นวาย อยากให้ลู่เฉินกับเฉินหยวนเฉินทะเลาะกันจนฟ้าดินถล่มทลาย ลู่เฉินไม่ใช่คนโง่ เป็นไปไม่ได้ที่จะหลงกลอุบายพวกนี้!
กลับมาถึงสตูดิโอที่ฮ่องกง ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ลู่เฉินถึงได้พบกับเฉินเหวินเฉียงและวั่นเสี่ยวเฉวียน
“พวกคุณเหนื่อยหน่อยนะครับ!”
สำหรับสมาชิกสำคัญที่ทำงานหนักทั้งสองคน ลู่เฉินปฏิบัติตัวมีมารยาทกับพวกเขามาตลอด
เฉินเหวินเฉียงส่ายหน้า “เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้วครับ”
ถึงแม้ปากจะพูดอย่างถ่อมตัว แต่เขาก็แสดงความพอใจในตัวเองออกมาทางสีหน้า
แน่นอนว่าเฉินเหวินเฉียงมีเหตุผลที่ต้องภาคภูมิใจ ภายใต้การขับเคลื่อนของเขาอย่างเต็มที่ สตูดิโอกับเจียหยางพิคเจอร์สจึงให้ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกัน ทีมงานของกองถ่าย ‘โปเยโปโลเย’ โดยพื้นฐานสร้างทีมขึ้นมาเสร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน ทีมงาน สถานที่ถ่ายทำต่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว สามารถเริ่มถ่ายทำได้ตลอดเวลา
ในระหว่างนี้ เฉินเหวินเฉียงเรียกได้ว่าใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ วิ่งติดต่องานไปทั่วอย่างเอาจริงเอาจังโดยเฉพาะการประสานงานกับโรงถ่ายไลอ้อนร็อก เขาต้องทำงานหนักมาก ใช้เส้นสายไปไม่น้อย
ในฐานะผู้จัดการสตูดิโอภาพยนตร์แห่งหนึ่ง ความพยายามของเฉินเหวินเฉียงนั้นไร้ที่ติ!
ตอนที่ลู่เฉินอยู่ปักกิ่งได้ติดต่อกับเฉินเหวินเฉียงตลอด ดังนั้นจึงรู้สถานการณ์ทุกอย่าง
วั่นเสี่ยวเฉวียนก็เห็นด้วย “เหล่าเฉินเหนื่อยมากจริงๆ วิ่งทำงานกับเขา ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง”
เขามาฮ่องกง รู้สึกเหมือนถูกเนรเทศก็ไม่ปาน เป็นผลมาจากการที่ต้องเลือกมาอย่างจนใจ
แต่หลังจากที่ได้สัมผัสกับแวดวงท้องถิ่นของฮ่องกงแล้ว วั่นเสี่ยวเฉวียนพบว่าที่นี่ไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่ ตลาดภาพยนตร์ของที่นี่น่าทำทีเดียว เหมาะสมให้เขาขยับไม้ขยับมืออีกครั้ง
เฉินเหวินเฉียงยิ้มเอ่ยว่า “ผู้กำกับวั่นเอาผมมาล้อเล่นอีกแล้ว ผมทำได้แค่เรื่องพวกนี้แหละ ตอนถ่ายทำต้องดูที่คุณแล้ว”
ทั้งสองคนเป็นพาร์ตเนอร์กันมาพักหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาถือว่าไม่เลว
เมื่อเห็นภาพแบบนี้ ลู่เฉินรู้สึกสบายใจมาก
ตอนเย็นลู่เฉินเป็นเจ้ามือ เหมาห้องอาหารวีไอพีของภัตตาคารที่อยู่ใกล้ๆ เชิญสมาชิกใหม่ที่เพิ่งมาถึงฮ่องกงและสมาชิกเก่าของสตูดิโอมากินข้าว ถือว่าเป็นงานเลี้ยงพบปะสมาชิกใหม่และเก่า
ระหว่างที่รับประทาน ลู่เฉินได้แนะนำวั่นหย่งและคนอื่นๆ ให้เฉินเหวินเฉียงกับวั่นเสี่ยวเฉวียนรู้จัก
“พวกเขาถือว่าเป็นทีมสตั๊นท์ที่เพิ่งเซ็นสัญญากับสตูดิโอของพวกเราครับ ข้างนอกเรียกกันว่าทีมตระกูลลู่”
ลู่เฉินอธิบายแบบนี้ และตั้งชื่อธงกองทัพว่า ‘ทีมตระกูลลู่’ ไปเลย
ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์โทรทัศน์ของฮ่องกง สตั๊นท์แมนที่รับแสดงคิวบู๊แบบพาร์ตไทม์มีเยอะมาก พวกเขามีพื้นฐานศิลปะการต่อสู้ที่ดี ทนลำบากหนักเอาเบาสู้ เป็นนักแสดงแทนของนักแสดงดาราดังบ่อยครั้ง แสดงฉากการต่อสู้และฉากอันตรายบางส่วนให้สำเร็จ
รายได้น้อยและไม่ค่อยมีชื่อเสียง เป็นเรื่องปกติของคนเหล่านี้
ลู่เฉินไม่จ้างคนท้องถิ่นของฮ่องกง แต่ดึงทีมคนหนุ่มสาวมาจากปักกิ่ง เฉินเหวินเฉียงรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะการทำเช่นนี้ต้องเสียต้นทุนสูงอย่างไม่ต้องสงสัย
ราคาจ้างสตั๊นท์แมนก็ไม่แพงเสียหน่อย อย่างน้อยก็ถูกกว่าการเลี้ยงทีมสตั๊นท์เองเป็นไหนๆ
แน่นอนว่าเฉินเหวินเฉียงจะไม่พูดอะไรให้เสียอารมณ์ในตอนนี้ จากนั้นจึงทักทายกับวั่นหย่งและคนอื่นๆ อย่างเกรงใจ
แต่ความคิดต่างของเฉินเหวินเฉียงกลับถูกลู่เฉินสัมผัสได้ เขาสามารถคาดเดาความคิดของเฉินเหวินเฉียงได้ไม่มากก็น้อย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอธิบาย
ลู่เฉินพูดว่า “ลุงเฉียง วีซ่าทำงานและใบอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ของพวกเขา วันพรุ่งนี้ต้องรบกวนคุณช่วยจัดการด้วยนะครับ”
คนจีนที่มาทำงานระยะยาวหรืออยู่อาศัยในเขตปกครองพิเศษของไต้หวัน ฮ่องกง และมาเก๊า จะต้องทำเอกสารที่เกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นการใช้ชีวิตจะยุ่งยากมาก
เฉินเหวินเฉียงตบหน้าอก “ไม่มีปัญหา เดี๋ยวผมจัดการเองครับ”
งานที่เขาทำ ลู่เฉินรู้สึกวางใจมาก จากนั้นจึงยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มเพื่อขอบคุณ
ดื่มเหล้ากันไปพักหนึ่งแล้ว ทุกคนเริ่มเปิดใจให้กัน เฉินเหวินเฉียงเล่าเรื่องในวงการที่เกิดขึ้นช่วงนี้ให้ลู่เฉินฟัง เล่าไปเล่ามาก็เล่ามาถึงข้อโต้แย้งในอินเทอร์เน็ตที่เกิดขึ้นจากลู่เฉิน
แล้วก็ยังมีเฉินหยวนเฉิน
“เฉินหยวนเฉินเป็นหนึ่งในตัวแทนสมาชิกท้องถิ่นของฮ่องกง…”
เฉินเหวินเฉียงกล่าวว่า “ลักษณะเด่นของสมาชิกท้องถิ่นของฮ่องกงคือไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะนึกถึงผลประโยชน์ของคนฮ่องกงเป็นอันดับแรก ขับไล่คู่แข่งจากต่างประเทศและคนที่อพยพย้ายถิ่นฐาน ได้ยินว่าปีหน้าเขาจะลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา”
“ผมสงสัยว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงที่เขาเอาคุณมาเป็นเป้า ข่าวโคมลอยบนอินเทอร์เน็ตคาดว่าน่าจะมีคนจงใจปล่อยข่าว ดังนั้นคุณอย่าประมาท อย่าประเมินพลังการปลุกปั่นยั่วยุของพวกเขาต่ำเกินไป”
ก่อนหน้านั้นหลีเจินก็พูดกับลู่เฉินว่าเฉินหยวนเฉินร้ายกาจมาก ลู่เฉินไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แต่ตอนนี้เฉินเหวินเฉียงได้เปิดเผยเบื้องหลังที่ลึกเข้าไปอีกให้เขาฟัง เช่นนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับคนคนนี้แล้ว
หลายครั้งที่คุณไม่ไปหาเรื่อง เรื่องยุ่งๆ ก็จะมาหาคุณเอง มองข้ามกับหลีกเลี่ยงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา
ลู่เฉินครุ่นคิด แล้วเอ่ยว่า “อย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริง ตอนบ่ายที่อยู่ในสนามบินผมเกือบถูกนักข่าวขวางเอาไว้”
จนถึงตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิดมากก็คือ นักข่าวพวกนี้รู้เที่ยวบินของตัวเองได้อย่างไร
เฉินเหวินเฉียงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ปาปารัสซี่พวกนี้จมูกไวมาก และพวกเขาก็มีสายอยู่ในบริษัทสายการบินใหญ่ๆ หลายแห่ง ศิลปินดาราเข้าออกฮ่องกงล้วนรู้ล่วงหน้า ต่อไปคุณใช้ช่องทางวีไอพีจะดีที่สุด”
ลู่เฉินแสดงออกว่าได้รับบทเรียนแล้ว…กลอุบายนี้แยบยลนัก
เฉินเหวินเฉียงพูดต่อว่า “ถ้าจะชี้แจงข้อเท็จจริง อย่างนั้นก็อย่าไปหานักข่าวปาปารัสซี่เลยครับ พวกเขาเป็นพวกเขียนข่าวมั่วมืออาชีพ ต้องไปออกรายการที่สถานีโทรทัศน์ถึงจะดีที่สุด”
เขาพูดกับหลีเจินว่า “อาเจิน สองสามวันนี้เธอคอยสังเกตหน่อย ว่ามีสถานีโทรทัศน์ไหนส่งคำเชิญมาบ้าง”
หลีเจินพยักหน้า “ได้ค่ะ”
ผลสรุปคือเฉินเหวินเฉียงพูดถูกเผง ลู่เฉินกลับถึงฮ่องกงวันที่สอง ก็มีสถานีโทรทัศน์สามแห่งส่งคำเชิญให้เขาไปออกรายการ!
…………………………………………………………………………