ตอนที่ 72 ผู้จัดการส่วนตัว
สำหรับคำพูดของลู่เฉิน ลู่ซีไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว
เพราะเธอรู้ดีว่าหนี้ที่ครอบครัวต้องชดใช้มีจำนวนเท่าไร โดยปกติแล้วทั้งครอบครัวอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตถึงจะชดใช้หมด จึงต้องขยันทำงานหาเงินเป็นอย่างมาก
เว้นเสียแต่ว่าเกิดปาฏิหาริย์หรือไม่ก็ถูกลอตเตอรี่
ลู่ซีไม่เคยซื้อลอตเตอรี่ เธอไม่เคยฝากความหวังไว้กับความโชคดีที่มีน้อยนิดแบบนี้
ฟางอวิ๋นลังเลพักหนึ่ง แล้วจึงพูดออกไป “เสี่ยวซี เสี่ยวเฉินเพิ่งเอาเงินมาให้หนึ่งล้าน เขาหาเงินมาได้จากการร้องเพลง เขาไม่ได้พูดเหลวไหล”
ไม่มีแม่คนไหนไม่รู้จักลูกตัวเอง เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ฟางอวิ๋นเข้าใจความคิดของลู่เฉินเป็นอย่างดี
ลู่เฉินอยากให้ลู่ซีเรียนต่อ
“แม่!”
ลู่ซีเบิกตาโตแทบไม่อยากจะเชื่อ พูดว่า “ทำไมแม่ถึงพูดไร้สาระไปกับเขาด้วย”
ร้องเพลงได้เงินหนึ่งล้าน ลู่เฉินกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ไปตั้งแต่เมื่อไร
เหมือนกับนิยายพันหนึ่งราตรีชัดๆ!
และตอนนี้ลู่ซีก็เหมือนจะนึกอะไรได้ ไม่นานก่อนหน้านี้ลู่เฉินโอนเงินมาที่บ้านสามแสน
เธอจึงหุบปากอย่างช่วยไม่ได้
“ว้าว!”
ลู่เสวี่ยร้องขึ้นมา ทำท่าทางเลื่อมใส “พี่ใหญ่สุดยอดจริงๆ!”
เธอเชื่อมั่นลู่เฉินร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ที่สำคัญที่สุดคือลู่เฉินหาเงินมาได้ ดังนั้นการซื้อโน้ตบุ๊กเครื่องนี้ให้เธอจึงไม่มีปัญหา
“พอแล้ว อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย…”
ฟางอวิ๋นไม่อยากให้ลูกสาวคนโตของตัวเองต้องเสียหน้า “เสี่ยวซี ลูกไปช่วยแม่ทำกับข้าวเถอะ”
ลู่ซีมีนิสัยดื้อรั้นหัวแข็ง ดังนั้นบางเรื่องสองแม่ลูกต้องพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวจะดีกว่า
ฟางอวิ๋นลากลู่ซีไปเตรียมทำอาหารกลางวัน ลู่เฉินหยิบเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าเดินทางแล้วไปอาบน้ำ ลู่เสวี่ยอุ้มโน้ตบุ๊กเครื่องใหม่ไปเล่นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม บ้านหลังเล็กๆ อบอวลไปด้วยบรรยากาศอบอุ่นของการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
กับข้าวร้อนๆ หอมกรุ่นแต่ละจานวางอยู่บนโต๊ะ ถึงแม้จะไม่มีอาหารรสเลิศราคาแพง แต่ลู่เฉินก็ทานอย่างเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ เพราะนี่คือรสชาติของอาหารที่บ้าน ไม่ว่าที่ไหนก็หาทานไม่ได้
ตอนที่ทานใกล้อิ่มแล้ว ลู่เฉินถามว่า “พี่ครับ พี่มีใบอนุญาตที่ปรึกษาทางการเงินใช่ไหม”
ตระกูลลู่สามคนพี่น้อง ลู่ซีเป็นเด็กเรียนเก่งที่สุด ตอนที่สอบเอนทรานซ์เธอป่วยหนักจึงทำให้สอบตกไปสองวิชา ไม่อย่างนั้นจะสอบเข้ามหาวิทยาปักกิ่งหรือมหาวิทยาลัยชิงหวาก็ไม่มีปัญหาเลย
ทว่าลู่ซีก็ไม่ได้เรียนซ้ำและสอบใหม่ เธอเข้าไปเรียนคณะการเงินในมหาวิทยาลัยเจียงไห่โดยตรง ตอนที่ใกล้จบเธอยังเตรียมไปสอบปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง แต่เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของครอบครัวจึงต้องทิ้งการเรียนไป
ลู่เฉินรู้ว่าช่วงที่เธอเรียนมหาวิทยาลัยได้สอบใบรับรองวิชาชีพไม่น้อย ดังนั้นจึงลองถาม
ลู่ซีตอบว่า “มี นายอยากจะเอาไปทำอะไร”
หลังจากการโน้มน้าวและอธิบายของฟางอวิ๋น ในที่สุดเธอจึงมีท่าทีดีกับลู่เฉินมากขึ้นไม่น้อย
แต่ความอคติที่มีมาเมื่อก่อน ไม่สามารถเปลี่ยนได้ง่ายขนาดนั้น
ลู่เฉินเล่าเรื่องสัญญาใหม่ที่เพิ่งเซ็นกับ ‘จิงอวี๋ทีวี’ ให้ฟังอีกครั้ง สุดท้ายจึงพูดว่า “เดิมทีผมอยากได้ค่าเซ็นสัญญาหนึ่งล้าน แต่คุยไปคุยมาเหลือแค่หกแสนห้าหมื่น รู้สึกเสียหน้าเหมือนกันครับ”
ลู่ซีตกตะลึง “นายบอกว่าสัญญาที่คุยกัน จากหนึ่งล้านเหลือแค่หกแสนห้าหมื่นเหรอ”
ลู่เฉินพยักหน้าหัวเราะอย่างขมขื่น
เรื่องจริงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แต่เพื่อทำให้ลู่ซีหวั่นไหว เขายอมแบกรับความผิดนี้ไว้
“ทำไมนายถึงโง่ขนาดนี้!”
ลู่ซีโกรธจริงๆ “อย่างนายเนี่ย ถูกคนขายก็ยังไม่รู้ตัว!”
จากหนึ่งล้านเหลือหกแสนห้าหมื่น ห่างกันตั้งสามแสนห้าหมื่น เธอต้องลำบากนานแค่ไหนถึงจะหาเงินได้เท่านี้
ลู่เฉินจึงถือโอกาสนี้พูดว่า “ดังนั้นผมถึงอยากให้พี่มาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผม ต่อไปพี่ก็เป็นคนไปคุยเรื่องสัญญาแทน ผมเตรียมจะเปิดสตูดิโอที่ปักกิ่ง จำเป็นต้องมีคนคอยช่วยเหลือ”
เขาต้องการผู้จัดการที่น่าเชื่อถือสักคน และก็อยากจะเปิดสตูดิโอด้วยจริงๆ
ถึงแม้จะมีบริษัทมีเดียด้านบันเทิงสองสามแห่งมาหาเขา อยากให้เขาเซ็นสัญญาด้วย แต่หลังจากผ่านการพิจารณาแล้ว ลู่เฉินยอมทิ้งเส้นทางความโด่งดังตามธรรมเนียมปฏิบัติอย่างการเซ็นสัญญา ฝึกอบรม โปรโมท และสร้างกระแสแบบนั้น
เพราะมีข้อจำกัดทั้งในด้านตัวบุคคลและผลประโยชน์เป็นอย่างมาก
ความคิดของเขาก็คือการเปิดสตูดิโอ อย่างนั้นก็ต้องหาบริษัทหรือไม่ก็คนมาร่วมลงทุน เพื่อขยายผลประโยชน์ของตัวเองให้กว้างขึ้น นอกจากนี้ยังมีสิทธิในการครอบครองอิสระด้วยตัวเอง
ตอนนี้มีดาราดังมากมายที่เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง เหตุผลก็คล้ายๆ กัน
หากลู่เฉินเทียบกับพวกเขา ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีชื่อเสียง แต่เขาก็ครอบครองความมั่งคั่งของโลกแห่งหนึ่งไว้อยู่แล้ว!
เมื่อมีความทรงจำอันล้ำค่าเหล่านี้ ต่อไปก็มีแต่คนอยากจะร่วมงานกับเขา
แน่นอนว่านี่คือความคิดเบื้องต้นของลู่เฉินเท่านั้น ยังมีงานอีกหลายขั้นตอนที่ต้องทำถึงจะสำเร็จ
การจ้างลู่ซีเป็นผู้จัดการส่วนตัวก็คือก้าวแรกของเขา
แต่ลู่ซีไม่ได้ถูกโน้มน้าวง่ายขนาดนั้น “ที่ปรึกษาสายบันเทิงกับที่ปรึกษาทางการเงินไม่เหมือนกันมั้ง”
ลู่เฉินยิ้มพูดว่า “การเจรจาต่อรองราคาก็เหมือนกัน มีพี่คอยช่วยผม ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะใช้หนี้หมดภายในหนึ่งปี นอกจากนี้พี่ยังไปสอบเข้าเรียนปริญญาโทที่ปักกิ่งได้อีกด้วย เป็นผู้จัดการพาร์ทไทม์ให้ผมก็พอแล้ว”
การสอบปริญญาโทของมหาวิทยาลัยปักกิ่งอยู่ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม หากลู่ซีเตรียมตัวตอนนี้ก็ยังทัน
ลู่ซีพูดอย่างสงสัย “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายกำลังหลอกฉันล่ะ”
เธอไม่ใช่คนโง่ เพราะฟังดูแล้วเหมือนลู่เฉินจะมีเจตนาอย่างอื่น
ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่นัยน์ตาของลู่ซีก็อธิบายออกมาแล้ว เธอหวั่นไหวจริงๆ
ลู่เฉินยิ้มแต่ไม่พูด
ฟางอวิ๋นจึงช่วยพูดอีกแรง “เสี่ยวซี ลูกไปช่วยเสี่ยวเฉินเถอะ ลูกก็พูดเองว่าเขาจะเป็นนักร้องดัง วงการบันเทิงวุ่นวายขนาดนั้น มีลูกอยู่ข้างๆ คอยสอดส่องให้เสี่ยวเฉิน แม่ถึงจะวางใจ!”
ลู่เสวี่ยพยามยามกลืนกับข้าว แล้วพูดว่า “พี่ลู่เฉิน หนูสนับสนุนให้พี่เป็นดาราดังค่ะ…”
“เหมือนกับดาราดังอย่างอันซวี่ อี้หยาง หวังหย่วนฟาง!”
ฟางอวิ๋นใช้ตะเกียบเคาะศีรษะเธอ “ตั้งใจกินข้าว ผู้ใหญ่คุยกันเด็กห้ามแทรก!”
“หนูอายุสิบเจ็ดปีแล้วนะคะ เป็นผู้ใหญ่แล้ว”
ลู่เสวี่ยบ่นอุบ แต่ก็ยังก้มหน้าทานข้าวในชามอย่างเชื่อฟัง
ลู่ซีตัดสินใจในที่สุด “ก็ได้ ฉันจะลองดู”
พอได้ยินคำนี้ ลู่เฉินกับฟางอวิ๋นก็ยิ้มออกมาพร้อมกัน
ลู่ซีพูดกับลู่เฉินอีกว่า “นายอย่าเพิ่งได้ใจ พอถึงปักกิ่งแล้วฉันจะดูแลนายอย่างดี!”
รอยยิ้มดีใจของลู่เฉินเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขมขื่นทันที
แต่นี่คือการเริ่มต้นที่ดีไม่ใช่เหรอ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เขาก็สะพายเป้ที่ใส่เงินเต็มกระเป๋า เอาไปใช้หนี้พร้อมกับฟางอวิ๋น
ลู่ชิ่งเซิงติดค้างหนี้มากมาย คนพวกนี้มีทั้งญาติสนิทของเขา เพื่อน สหายร่วมรบ อดีตเพื่อนร่วมงานและหุ้นส่วนที่เคยร่วมงานกัน ถือว่ามีจำนวนไม่น้อย
ตอนที่ฟางอวิ๋นใช้หนี้คืน ขอเพียงอีกฝ่ายอยู่ในเขตเมืองปินไห่ เธอก็จะไปหาถึงที่บ้าน
ลู่เฉินเพิ่งเห็นเธอคืนเงินเป็นครั้งแรก เพราะฉะนั้นจึงสัมผัสถึงความลำบากของแม่ได้อย่างลึกซึ้ง
โชคดีที่เจ้าหนี้เหล่านี้ก็เป็นคนมีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นญาติหรือเพื่อนสนิท ไม่มีใครทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องเสียหน้า ตรงข้ามกลับทักทายและต้อนรับอย่างกระตือรือร้น มีคนไม่น้อยที่แสดงตัวว่าไม่รีบร้อน
นอกจากนี้ยังสนใจลู่เฉินมากอีกด้วย
“เสี่ยวเฉินโตขี้นเยอะแล้ว!”
“เสี่ยวเฉินหล่อมาก ทำงานที่ไหนล่ะ”
“เสี่ยวเฉินมีแฟนหรือยัง”
“เสี่ยวเฉินไม่เลวนะ…”
ตลอดการเดินทาง เงินหนึ่งล้านถูกใช้คืนหมดแล้ว ลู่เฉินยิ้มจนหน้าแข็ง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
เขาพักอยู่ที่บ้านสามวัน วันที่แปดตอนบ่ายถึงนั่งรถไฟความเร็วสูงไปที่เมืองหางโจว
เมืองปินไห่อยู่ห่างจากเมืองหางโจว 200 กว่ากิโลเมตร นั่งรถไฟความเร็วสูงสี่สิบนาทีก็ถึงที่หมาย จากนั้นเปลี่ยนสายที่สถานีหางโจวไปนั่งรถไฟใต้ดิน แล้วมาลงที่สถานีมหาวิทยาลัยเจียงไห่ สะดวกสบายเป็นอย่างมาก
ขณะมองดูประตูมหาวิทยาลัยที่คุ้นเคยเป็นที่สุด ลู่เฉินรู้สึกเสมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง
ตอนที่เพิ่งเรียนจบชั้นปีที่สาม เขาก็ยื่นหนังสือขอเข้าไปปฏิบัติงานเพื่อสังคมล่วงหน้า แล้วจึงไปหางานทำที่ปักกิ่ง
ผลสรุปคือได้เดินบนเส้นทางชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมโดยสิ้นเชิง
เวลาผ่านไปหนึ่งปี ลู่เฉินต้องทิ้งความทรงจำ ความสวยงาม ความเศร้าและคิดถึง ความประทับใจ รวมทั้งความกระตือรือร้นนับไม่ถ้วนเอาไว้ที่นี่…แล้วบอกลามหาวิทยาลัยแห่งนี้!
เวลานี้ เขารู้สึกก้าวขาไม่ออก
“น้องสาม!”
ทันใดนั้นมีคนมาจากข้างหลังของลู่เฉิน ตบไหล่ของเขาอย่างแรง
ลู่เฉินอดหันไปมองไม่ได้ แล้วจึงเห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ หนวดเครารุงรังยิ้มหยีตาให้ตัวเอง “เมื่อครู่เห็นนายอยู่ไกลๆ ใช่นายจริงๆ ด้วย!”
“พี่ใหญ่!”
ลู่เฉินดีใจและตกใจมาก “พี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไร”
ผู้ชายร่างกายกำยำคนนี้คือเกาเฮ่อเพื่อนนักเรียนของลู่เฉิน เขาเป็นคนจี้เฉิงจากมณฑลเฉิงหลู่ และยังเป็นหนึ่งในสามเพื่อนร่วมห้องในหอพักของลู่เฉิน ถูกเรียกพี่ใหญ่เรียงตามอายุ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลู่เฉินมาตลอด
เกาเฮ่อยิ้มพูดว่า “เพิ่งกลับมา ไป พวกเรากลับไปที่ห้องด้วยกัน ไม่รู้ว่าเหล่าเคกับน้องสี่มาถึงหรือยัง”
แน่นอนว่าลู่เฉินไม่มีปัญหา ทั้งสองคนหัวเราะพูดคุยพลางเดินไปทางหอพักด้วยกัน
…………………………………………………………………………