ตอนที่ 98 ผ่านเข้ารอบโดยตรง!
ถานหงนั่งหลังตรงขึ้นมา ท่าทีเปลี่ยนเป็นตั้งใจฟัง
เฉินเฟยเอ๋อร์ตาเบิกโพลง นัยน์ตาปรากฏแววประหลาดใจอยู่บางๆ
เจินเจินพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มบางที่มุมปาก ดูมีความสุขมากเหมือนได้ค้นพบสมบัติล้ำค่า
หลินจื้อเจี๋ยที่นิ่งขรึมไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
บรรดาผู้ชม 1500 คนต่างนิ่งฟังเพลงของลู่เฉินเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
แนวเพลง ‘เดินไปร้องไป’ กับเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ของเกาเฟิงเมื่อครู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื้อร้องแม้ถ่ายทอดความเศร้าโศกและถวิลหา แต่อารมณ์ของเพลงไม่ถึงกับมืดมนหมดหวัง กลับเป็นความอบอุ่นที่ลึกซึ้งอย่างเปี่ยมล้น
ลู่เฉินอนุมานเพลงนี้โดยไม่มีความเย่อหยิ่งแข็งกร้าว หรือเศร้าโศกเสียใจ เสียงร้องของเขาเป็นเสียงตามสบายอ้อยอิ่ง ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในตอนบ่ายของฤดูใบไม้ร่วง อยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยใบไม้สีแดงกระจัดกระจาย กำลังนั่งอยู่บนม้านั่ง และร้องเพลงบอกเล่าเรื่องราวความรักของตัวเองต่อผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา
“…
เดินไปร้องเพลงรักไป
ร้องไม่จบสิ้น ชั่วฟ้าดินสลาย
บนหนทางที่เดียวดาย
เต็มไปด้วยความสับสน
ยินยอมให้ใจได้ดิ้นรน
กับการรอคอยที่อารมณ์วกวน
สุดท้ายก็ยังเป็นเหมือนก่อน
ไม่อาจไขว่คว้าจุดจบที่เธอไหว้วอน
ไม่ใช่หรือ?
…”
เมื่อถึงท่อนฮุค อารมณ์ของเพลงเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน มีทั้งคำถามและคำตอบ อารมณ์เพลงค่อยๆ ร้อนแรงขึ้น!
วัดความรู้สึกด้วยใจแล้ว ความเหนือชั้นของเพลง ‘เดินไปร้องไป’ ยังด้อยกว่าเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ด้วยขาดความรู้สึกที่ทำให้คนฟังขนหัวลุก ตัวสั่น และอารมณ์พุ่งพล่าน ด้วยเหตุนี้จึงสัมผัสเข้าไปไม่ถึงใจคนฟัง ถ้าไม่ใช่เพราะชื่อเพลงตรงกับสโลแกนของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ลู่เฉินจะไม่เลือกเพลงนี้มาร้องในรอบคัดเลือกความสามารถ
แต่มันยังคงเป็นผลงานเพลงที่ดีมากเพลงหนึ่ง อย่างน้อยก็ไพเราะ ใช้แสดงความสามารถได้!
ทั้งยังทำให้คนฟังรู้สึกสบาย และเหมาะกับการช่วยปรับลดอารมณ์ที่พุ่งพล่านจากเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ลงได้
“…
ไม่อย่างนั้นก็เอาอย่างนี้เถอะ
เธอกับฉันเราจบกันเลย!
เราต่างก็กลัวความซับซ้อน
ต่างคนต่างอยู่ง่ายๆ กันไป!”
เป็นเวลาสี่นาทีเต็ม ลู่เฉินร้องเพลง ‘เดินไปร้องไป’ จนจบสมบูรณ์
ทั้งแกรนด์สตูดิโอเกิดเสียงปรบมือกึกก้องขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่เท่ากับคนก่อนหน้านี้ มีเพียงผู้ชมเพียงส่วนน้อยที่ลุกขึ้นยืน
กรรมการทั้งสี่ปรบมือพร้อมกัน แต่ไม่ถึงกับลุกขึ้นยืน
เสียงปรบมือเบาลงอย่างรวดเร็ว เฉินเฟยเอ๋อร์รีบชิงพูดก่อนว่า “ลู่เฉิน ฉันชอบเพลงของคุณมาก คุณเป็นนักร้องนักแต่งเพลงที่มีพรสวรรค์ ดังนั้นฉันจึงยินดีมากที่จะให้คุณผ่านด้วยคะแนนเต็ม!”
เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง
ลู่เฉินโค้งตัวคำนับ “ขอบคุณอาจารย์เฉินครับ!”
ราชินีเพลงรักหวานแหววคนนี้ทั้งสวยทั้งเสียงเพราะ อีกอย่างเธอชอบเพลงนี้จริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง จึงให้การประเมินลู่เฉินดีเป็นพิเศษ และให้ผ่านด้วยคะแนนเต็ม
เพียงแต่ลู่เฉินรู้สึกเองว่าประโยคเมื่อครู่ดูจะแปลกไปหน่อย
เจินเจินกล่าวบ้าง “ในแวดวงเพลงสมัยใหม่ในยุคนี้ คนที่สามารถทำผลงานเพลงแบบนี้ได้มีไม่มากแล้ว โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวยิ่งน้อย คุณทำให้ฉันมองเห็นขุมพลังของความคิดสร้างสรรค์ ฉันหวังว่าคุณจะพยายามต่อไป และทำผลงานเพลงที่ดีกว่านี้โดดเด่นกว่านี้ออกมา!”
“ฉันเหมือนกับเฟยเอ๋อร์ ให้คุณผ่านด้วยคะแนนเต็ม!”
“ขอบคุณอาจารย์เจินเจินครับ!”
ตอนนี้เอง ถานหงกระแอมออกมา ถามว่า “คุณยังมีเพลงอื่นอีกไหม”
ลู่เฉินพยักหน้า “มีครับ”
ถานหงตาวาว ถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นช่วยร้องอีกเพลงได้ไหม”
เป็นผู้เข้าแข่งขันรอบคัดเลือกความสามารถเหมือนกัน บางคนขึ้นเวทีร้องยังไม่ถึงครึ่งเพลงก็ถูกกดไฟแดงไล่ลงมา บางคนร้องจบเพลงและได้อยู่บนเวทีต่อเพื่อพูดคุยเสวนากับกรรมการ
ด้วยความสามารถทั้งสิ้น!
ถานหงเป็นนักแต่งเพลงดีเด่นคนหนึ่งมาแต่ไหนแต่ไร ท่าทีที่เขามีต่อผลงานเพลงแต่งเองนั้นตั้งใจมาก เพราะเหตุนี้จึงสนใจในความสามารถที่แท้จริงของลู่เฉิน ไม่เหมือนกับเฉินเฟยเอ๋อร์ที่ให้ลู่เฉินผ่านเข้ารอบเพราะหน้าตาดีและร้องเพลงเพราะ
ในวงการนี้ ถานหงมีชื่อเสียงในด้านที่ชอบสนับสนุนผลักดันคนรุ่นใหม่
เขาให้โอกาสลู่เฉินได้แสดงอีกครั้ง
ลู่เฉินลังเลเล็กน้อย
เฉินเฟยเอ๋อร์รีบพูดแทรกว่า “พี่ถาน ให้เขาเอาผลงานเพลงที่เหลือไปประกวดในรอบถัดไปบ้างไม่ได้เหรอคะ”
ท่าทางลังเลของลู่เฉินทำให้เธอเข้าใจผิด คิดว่าลู่เฉินไม่มีเพลงอื่นที่ดีกว่าเพลง ‘เดินไปร้องไป’ แล้ว
อย่ามองว่านี่เป็นเรื่องเล็ก ต้องรู้ว่าการแข่งขันรอบคัดเลือกความสามารถมีคนดูอยู่ทั้งประเทศ การแสดงของลู่เฉินเมื่อครู่เหนือชั้นมากแล้ว ถ้าเพลงอื่นที่นำออกมาด้อยกว่าหรือร้องไม่เข้าตากรรมการอาจจะเสียคะแนนได้
เฉินเฟยเอ๋อร์ความคิดละเอียดอ่อน รู้สึกดีกับลู่เฉินมาก ดังนั้นจึงเตือนขึ้นมา
ถานหงคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ตอบว่า “อืม เอาไว้ร้องในการแข่งขันรอบต่อไปดีกว่า”
เขาได้เห็นคนเก่งก็ตื่นเต้นดีใจ ชอบใจในความสามารถของลู่เฉิน จึงลืมไปชั่วขณะว่านี้เป็นการประกวดคัดเลือก
หากให้ลู่เฉินร้องอีกเพลง นั่นถือเป็นการผิดกฎ
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงคือ คำตอบของลู่เฉินที่ว่า “อาจารย์ถาน อาจารย์เฉินครับ ความจริงแล้วผมยังมีผลงานแต่งเองอีกเพลง ที่ผู้เข้าประกวดหมายเลข 0029 เพิ่งร้องไป”
ผู้เข้าประกวดหมายเลข 0029?
กรรมการทั้งสี่กับผู้ชมอีกพันกว่าคนในที่นั้นต่างตะลึงงัน…ผลงานเพลงอะไร?
เจินเจินเร็วที่สุด เธอถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “คุณหมายถึงเพลงในฤดูใบไม้ผลิ คุณเป็นคนเขียนเพลง?”
ด้วยเป็นบรรณาธิการนิตยสาร ‘ป็อปมิวสิค’ คำถามของเธอดูไม่มีมารยาท แต่ทุกคนเข้าใจความทึ่งของเธอได้ ทุกคนต่างรู้สึกคาดไม่ถึง!
เพลงเปิดตัวของวงเฮสิเทชั่นอัลบั้มแรก เพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ที่โด่งดังทั้งในและนอกวงการ เพิ่งถูกเกาเฟิงนำมาใช้ร้องและได้รับคำชมเชยอย่างล้นหลาม ทั้งยังเป็นเพลงที่ลึกซึ้งกินใจ ไม่นึกว่าจะออกมาจากปลายปากกาของลู่เฉินผู้อายุน้อยเช่นนี้?
หลายคนไม่มีทางเชื่อ ทั้งสตูดิโอเกิดเสียงวิจารณ์ขึ้นมาทันที!
ถานหงและเฉินเฟยเอ๋อร์มองหน้ากันไปมา
ทั้งสองคิดว่าลู่เฉินพูดโกหก ดังนั้นเป็นรายการแข่งขันคัดเลือกของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง รายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ไม่เพียงแต่ฉายในประเทศ แต่ยังเผยแพร่ไปทั่วทั้งเอเชีย ย่อมส่งผลกระทบมหาศาล
หากเขาพูดโกหก เช่นนั้นคำโกหกจะถูกจับได้อย่างง่ายดาย แล้วเขาจะยังมีหน้าอยู่ในวงการนี้ต่อไปได้อีกเหรอ
ลู่เฉินไม่เหมือนคนที่จะทำลายอนาคตตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดต้องเป็นเรื่องจริงแน่
แม้ว่าคาดไม่ถึง แต่ความจริงเป็นเช่นนี้
หลินจื้อเจี๋ยโพล่งออกมา “ผมคิดออกแล้ว เพลงในฤดูใบไม้ผลิของวงเฮสิเทชั่นมีชื่อลู่เฉินเป็นผู้แต่งเนื้อร้อง พวกเขายังมีอีกสองเพลงคือ ‘ฉันอยากมีบ้าน’ กับ ’เหตุผลที่มั่นคง’ เป็นเพลงของคุณทั้งนั้นเลย!”
หลินจื้อเจี๋ยเป็นผู้อำนวยเพลงของเฟยสือเรคคอร์ด เขาจับตามองทั้งทิศทางเพลงใหม่และนักร้องหน้าใหม่มาตลอด จึงนึกขึ้นได้ในทันที
ลู่เฉินยิ้มบางๆ “ผมกับวงเฮสิเทชั่น เคยร้องเพลงอยู่ด้วยกันในบาร์เดย์ลิลลี่ย่านทะเลสาบโฮ่วไห่ครับ”
เขาประกาศโฆษณาให้กับบาร์เดย์ลิลลี่ไปในตัว ถือว่าตอบแทนบุญคุณที่เฉินเจี้ยนหาวช่วยแนะนำให้เขา
เฉินเฟยเอ๋อร์รำพึงออกมา “เก่งมากเลย…”
เพลงทั้งสามของวงเฮสิเทชั่นเธอได้ฟังหมดแล้ว เพลงที่ชอบที่สุดคือเพลง ‘ฉันอยากมีบ้าน’
คิดไม่ถึงเลยว่าลู่เฉินจะเป็นคนเขียนมันขึ้นมา
เวทีการแข่งขัน ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ เปิดตัว ยังได้เจอกับขุมทรัพย์มหาสมบัติคนนี้เข้า!
ถานหงออกแรงพยักหน้า
หลินจื้อเจี๋ยฝืนยิ้มพลางส่ายหัว เขาพูดต่อว่า “ลู่เฉิน ผมต้องขอโทษคุณจริงๆ!”
“เพราะเมื่อครู่ผมคิดว่าคุณเป็นพวกชอบเรียกร้องความสนใจ ตอนนี้ผมมองคุณผิดไปแล้ว ดังนั้นเพื่อเป็นการชดเชยความผิด ผมตัดสินใจว่า…”
เขายังพูดไม่ทันจบ มือขวาก็ยกขึ้นสูง เอื้อมไปที่ปุ่มสีทองอันใหญ่ที่อยู่ตรงกลางของแท่นที่นั่งกรรมการ แล้วกดหนักๆ ลงไป!
ตี๊ด~
เสียงแสบแก้วหูดังไปทั่วทั้งแกรนด์สตูดิโอ ตามด้วยเสียง ‘ปัง ปัง ปัง’ ที่น่าอึดอัด และแล้วริบบิ้นสายรุ้งเป็นสายก็ร่วงลงมาจากเพดานสูง ทำให้ทั้งเวทีมีบรรยากาศของความปีติยินดีในพริบตา
บนหน้าจอขนาดยักษ์ปรากฏตัวอักษรสีทองเป็นคำว่า ‘ยินดีด้วย คุณเข้าสู่รอบ 32 ผู้มากความสามารถ’
ผ่านเข้ารอบโดยตรง!
ลู่เฉินไม่ต้องเข้าประกวดการซ้ำอีกรอบแล้ว เขาถูกรับเข้าสู่รอบ 32 คนโดยตรง!
……………………………………………………………………………..