บทที่ 46 ความเข้าใจผิดอันเนื่องมาจากขนมปังอบไอน้ำ
ซูเถาไม่ได้บอกหยานจิ้งว่าฮั่วหยานนั้นเป็นออทิสติค เพราะมันอาจจะคำให้หยานจิ้งเป็นกังวลและเผลอทำอะไรที่ทำให้อาการของฮั่วหยานนั้นแย่ลง
หากเด็กที่มีอาการป่วยทางจิตไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม มันจะทำให้อาการแย่ลงไปอีก อาการของฮั่วหยานยังไม่ถือว่าหนักมากเนื่องจากเธอยังไม่ได้ปิดใจของตัวเองโดยสมบูรณ์ ยังสามารถรักษาให้หายได้เร็วหากได้รับการรักษาและดูแลอย่างเหมาะสม
ซูเถาเลือกร้านอาหารตะวันตกที่ตกแต่งอย่างสวยงาม เขาเข้าไปนั่งโต๊ะตรงมุมที่ว่างอยู่ ในขณะที่หยานจิ้งนั่งข้างซูเถา “ชั้นไม่คิดเลยว่าเธอติดนายขนาดนี้”
“เด็กผู้หญิงสมัยนี้ฉลาดจะตาย เป็นเรื่องธรรมดาที่จะติดใจคนรูปหล่ออย่างชั้น” ซูเถายิ้ม
บริกรมาที่โต๊ะพร้อมกับถือเมนูมาด้วยอย่างรวดเร็ว หยานจิ้งมองไปยังซูเถาก่อนจะยิ้ม “ลูกอยากกินอะไรล่ะ ?”
ฮั่วหยานเงยหน้ามองหยานจิ้งก่อนที่เธอจะก้มหัวกลับไปกอดตุ๊กตาหมี
เมื่อเห็นท่าทางผิดหวังของหยานจิ้ง ซูเถาเอาเมนูมาก่อนจะพูด “ชั้นรู้ว่าเด็กๆน่าจะชอบสเต็ก สปาเก็ตตี้ โดนัท ซุปฟักทอง กับปีกไก่ ฟังดูดีใช่มั้ยล่ะ งั้นเราสั่งพวกนี้ก็แล้วกัน”
หยานจิ้งมองไปยังซูเถาพลางคิดว่าเขาสั่งอาหารมากไปหน่อย ถึงแม้ว่าจะเอาเด็กมาอ้าง แต่เขาก็สั่งแทบจะทุกอย่างในเมนู
เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ซูเถาได้ยื่นจานสเต็กไปให้หยานจิ้งก่อนจะยิ้ม “กินเองนะ ชั้นไม่ป้อนเธอหรอก !”
พอเห็นซูเถาค่อยๆป้อนอาหารให้ฮั่วหยานอย่างระมัดระวัง หยานจิ้งยิ้ม “ชั้นไม่คิดมาก่อนเลยว่านายจะมีความเป็นซุปเปอร์พ่อบ้านได้ขนาดนี้ !”
ตอนแรกฮั่วหยานปฏิเสธ แต่หลังจากความพยายามอย่างหนักของซูเถา ในที่สุดเธอก็ยอมกิน ซูเถาโล่งใจเพราะเขาสู้สึกว่าได้ค่อยๆเปิดประตูหัวใจของฮั่วหยานทีละน้อยก่อนจะมองไปที่หยานจิ้ง “ชั้นยังมีความสามารถอีกเยอะที่เธอยังไม่รู้ ไม่ใช่แค่การเป็นซุปเปอร์พ่อบ้านเท่านั้น เป็นซุปเปอร์คนรักชั้นก็ทำได้ !”
หยานจิ้งจ้องซูเถา เธอรู้ว่าเขาต้องการจะตอบโต้เธอที่แกล้งแหย่เขามาตลอด หยานจิ้งกัดฟัน เพราะเธอนั้นไม่ค่อยจะชอบใจนักที่มีใครบางคนจับจุดอ่อนของเธอได้
ลูกสาวที่เธอเคยสูญเสียไปครั้งหนึ่งกลับกลายมาเป็นจุดอ่อนของเธอซะนี่
หยานจิ้งรู้สึกโล่งใจมากขึ้นเมื่อเธอเห็นฮั่วหยานกินสเต็กไปได้สองส่วนแล้ว เพราะว่าฮั่วหยานนั้นไม่ยอมกินอะไรเลยตั้งแต่เธอพากลับมา ในตอนที่เธอออกจากร้านอาหาร ฮั่วหยานเรอออกมาสองครั้ง ทำให้ซูเถาหัวเราะ “ดูเหมือนเธอจะอิ่มแล้วสินะ คุ้มกับเงินที่แม่เธอเสียไปใช่ไหมล่ะ”
ฮั่วหยานยิ้มแย้มพลางเดินจูงมือซูเถา ซูเถารู้สึกเย็นๆที่มือ และเมื่อเขาเห็นว่าหยานจิ้งดูจะหดหู่ เขาจึงได้ยื่นของตัวเองไปจับมือเธอเอาไว้
หยานจิ้งเบิกตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถามเบาๆ “นายทำอะไรเนี่ย ?”
ซูเถาหันมาตอบกลับ “พวกเราเนี่ยเหมือนครอบครัวกันเลยนะ !”
มีเด็กยืนจูงมืออยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่
หยานจิ้งพึมพำ “พวกเราไม่ใช่ครอบครัวอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่มีทาง !”
ซูเถายิ้มก่อนจะพูดเบาๆ “เพื่อฮั่วหยานน่ะ ตามน้ำหน่อยจะเป็นไรไป”
หยานจิ้งตัวแข็งทื่อ ก่อนที่เธอจะให้ซูเถานั้นจับมือได้ เธอรู้สึกว่ามีเหงื่อออกที่มือจนทำให้รู้สึกแฉะ อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของฮั่วหยาน เธอจึงรู้สึกสงบมากขึ้น บางทีนี่อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการให้ฮั่วหยานยอมรับเธอ
ในตอนที่พวกเขาผ่านสวนสนุก ซูเถาส่งสัญญาณให้หยานจิ้งด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเข้าไปเล่นกันที่สวนสนุกซักหน่อยมั้ย ?”
“ชั้นกลัวความสูง !” หยานจิ้งพูดออกมาเมื่อเธอเห็นชิงช้าสวรรค์
ซูเถาไม่สนใจคำพูดของหยานจิ้ง ก่อนจะมองไปยังฮั่วหยาน “หยานหยาน เราเข้าไปเล่นในสวนสนุกกันดีมั้ย ?”
ฮั่วหยานไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ
ซูเถาค่อยๆปล่อยมือของหยานจิ้ง “ทิ้งแม่เธอไว้นี่ก็แล้วกัน เราไปกันเถอะ”
เมื่อเห็นซูเถาเดินไปที่ช่องขายตั๋ว หยานจิ้งถอนหายใจ เธอทำได้เพียงอดทนไว้แล้วเดินตามเขาไป
ซูเถารู้ว่าหยานจิ้งนั้นอดเป็นห่วงฮั่วหยานไม่ได้ เขาจึงได้ซื้อตั๋วชิงช้าสวรรค์มา 3 ใบ พอพวกเขาเข้าไปนั่งที่กระเช้าชิงช้า ซูเถารู้สึกประหลาดใจเมื่อหยานจิ้งทำสีหน้าแปลกๆ “นี่เธอกลัวความสูงจริงๆงั้นเหรอ ?”
“อย่ามาพูดกับชั้น !” หยานจิ้งนั่งตัวตรงหน้านิ่ง เธอไม่กล้ามองลงไปข้างล่างเลยแม้แต่นิดเดียว
ซูเถาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้หญิงที่แข็งแกร่งอย่างหยานจิ้งจะมีด้านที่อ่อนแอกับเขาด้วย ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของเธอ สำหรับเธอนั้นฮั่วหยานสำคัญที่สุด เธอสามารถเสี่ยงชีวิตเพื่อลูกของเธอได้
เมื่อพวกเขาลงมาจากชิงช้าสวรรค์ ในที่สุดหยานจิ้งก็ทนไม่ไหวก่อนจะวิ่งไปที่มุมแล้วเริ่มอาเจียนออกมา พอฮั่วหยานเห็นหยานจิ้งอาเจียน ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความสับสน
“กลับไปเล่นกันต่อมั้ย ?”
หยานจิ้งหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาจากกระเป๋าก่อนจะใช้มันเช็ดปากและฝืนยิ้ม “ชั้นไม่เป็นไร ชั้นบอกได้เลยว่าเธอรู้สึกสนุก ชั้นจะตามพวกนายไปด้วย”
ซูเถาแอบยกนิ้วโป้งให้หยานจิ้งก่อนจะพูดขึ้น “งั้นเราไปเล่นรถบั้มกันเถอะ !”
หยานจิ้งรู้สึกโล่งใจที่ซูเถาไม่ได้พาไปเล่นเครื่องเล่นแปลกๆ ถ้าเขาบังคับให้เธอไปนั่งเรือไวกิ้ง เธออาจจะเป็นลมไปเลยก็ได้
หลังจากเที่ยวเล่นอยู่ราวชั่วโมง ซูเถาก็ได้พาฮั่วหยานออกมาโดยที่ไม่เต็มใจนัก เขาแบกฮั่วหยานมานั่งบนไหล่ก่อนจะยิ้ม “ที่นี่ใกล้จะปิดแล้ว ใว้คราวหน้าเรามากันอีกมั้ย ?”
ฮั่วหยานพยักหน้ามองไปยังซูเถาด้วยความรู้สึกเชื่อใจที่อธิบายไม่ได้
หยานจิ้งมองดูพวกเขาทั้งสองจากด้านข้าง ซูเถานั้นเข้าถึงคนได้เก่งมาก เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ได้ใจของฮั่วหยานไปแล้ว
หลังจากส่งซูเถากลับไปที่ตำหนักแล้ว หยานจิ้งได้ลงจากรถมาด้วย “ขอบใจมากที่มากับชั้นและฮั่วหยานในวันนี้”
“มันเป็นงานของชั้นนี่ ยังไงซะ ชั้นก็ได้เงินเธอมาแล้วด้วย” ซูเถายักไหล่
หยานจิ้งถอนหายใจ “ถูกของนาย เรายังต้องทำธุรกิจกันอีก ไว้ถึงเวลาจำเป็น ชั้นจะจ่ายให้อีกเพื่อให้นายออกมา”
ซูเถาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน , เราจะทำกันแบบนั้นแหละ แต่เห็นว่าฮั่วหยานเป็นเพื่อนชั้น ไว้คราวหน้าชั้นลดราคาให้ 15%”
หยานจิ้งหัวเราะออกมา “นายบอกชั้นมาตามตรงเลย ฮั่วหยานต่างจากเด็กคนอื่นมั้ย ?”
หลังจากเปลี่ยนหัวข้อ ท่าทีของซูเถาก็เปลี่ยนไป “เธฮจะต้องดีขึ้น เชื่อชั้นสิ”
“ก็ได้ ชั้นเชื่อนาย” หยานจิ้งตอบกลับโดยไม่ลังเล แต่หลังจากพูดจบ เธอรู้สึกสับสนในใจ นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอเลือกที่จะไม่เชื่อใจคนอื่นเลย…
เมื่อเห็นหยานจิ้งกลับเข้ามาในรถ ฮั่วหยานก้มหัวก่อนที่จะกลับไปในโลกของเธออีกครั้ง
หยานจิ้งถอนหานใจ ไม่ว่ายังไงซูเถาก็เป็นหมอ ตั้งแต่ที่เขารักษาเธอได้ เขาก็ต้องมีทางที่จะรักษาฮั่วหยานได้เหมือนกัน
เมื่อกลับเข้ามาที่ตำหนัก ซูเถาได้ไปอาบน้ำ ก่อนที่มือถือเขาจะดังขึ้น หลังจากเช็ดตัวแห้งแล้วจึงรับโทรศัพท์
“วันนี้นายหายไปไหนมา ? ชั้นมาหานายเมื่อตอนกลางวัน แต่พวกลูกศิษย์นายบอกว่านายออกไปกับผู้หญิง” เวร่าดูจะไม่ค่อยชอบใจซักเท่าไหร่
“ทำไมทำเสียงแบบนั้นล่ะ อิจฉาเหรอ ?” ซูเถายิ้ม
เวร่าทำเสียงหึ “ชั้นถามนายอยู่ ตอบมาเดี๋ยวนี้ !”
ซูเถาถอนหายใจกับความดุของเวร่า ก่อนเขาจะตอบกลับ “ชั้นไปคุยเรื่องความร่วมมือทางธุรกิจกับหยานจิ้งมานิดหน่อย”
“ความร่วมมือทางธุรกิจอะไรน่ะ ?” เวร่าขมวดคิ้วก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“เธอต้องการลุงทุนกับครีมเสริมความงามที่ชั้นคิดค้นขึ้นมาน่ะ” ซูเถายิ้ม
“ครีมเสริมความงาม ?” เวร่าพูดต่ออย่างรวดเร็ว “ไม่มีทาง นายต้องลงทุนร่วมกับชั้น !”
ซูเถาไอเล็กน้อยเนื่องจากเขารู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย “เธอรู้จักด้วยเหรอ ? นี่เธอก็แอบจับตาดูชั้นเหมือนหยานจิ้งด้วยหรือไงเนี่ย ?”
เวร่าตอบกลับ “จะบ้าหรือไง ชั้นแค่คิดว่าจะช่วยนายได้ยังไงเท่านั้น และเลขาหลี่ก็มักจะไปที่ตำหนักเพื่อซื้อยาบ่อยๆ เขาซื้อครีมเสริมความงามมาแล้วแนะนำให้ชั้นฟังว่าครีมนี่มันยอดเยี่ยมมาก”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูเถารู้สึกเป็นปลื้ม ทั้งหยานจิ้งและเวร่าต่างก็ต้องการจะลงทุนกับครีมเสริมความงาม แต่ทั้งคู่ต่างก็มีแรงจูงใจที่แตกต่างกัน หยานจิ้งมองในมุมมองของธุรกิจ ส่วนเวร่านั้น…ต้องการที่จะตอบแทนเขา
“ไว้เรามาคุยเรื่องนี้กันอีกก็แล้วกัน !” ซูเถายิ้ม
หลังจากที่วางโทรศัพท์ ภาพของเวร่าก็ปรากฎขึ้นในหัวของเขาโดยไม่รู้ตัว เวร่าเปลี่ยนจากคนไข้มาเป็นเพื่อนของเขา และตอนนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ค่อนข้างซับซ้อนทีเดียว
หลังจากที่เขาพาเหล่าลูกศิษย์ฝึกฝนคลื่นพลังชีพจรในเช้าวันถัดมา ซูเถาได้รับข้อความจากตี้ชีหยวนซึ่งเขาต้องการให้ซูเถามาที่โรงพยาบาลภายใน 1 ชั่วโมงเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันครั้งแรกของทีมพิเศษ
ในขณะที่ซูเถากำลังยุ่ง เขารีบยัดขนมปังอบไอน้ำ 2 อันเข้ากระเป๋าก่อนจะรีบไปที่โรงพยาบาลเจียงหัวด้วยแท็กซี่
เมื่อเขามาถึง เขาก็พบว่าลู่ชีเหมี่ยวรออยู่ก่อนแล้ว นี่คงเป็นครั้งที่สองแล้วที่พวกเขาถูกเรียกออกมา
ตี้ชีหยวนกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน “รถที่จะมารับพวกคุณทั้งสองกำลังจะมาในไม่ช้า ผู้ป่วยคนนี้ค่อนข้างจะพิเศษหน่อย เขาเป็นญาติของผู้ประกอบการ หลี่เย่เต๋อ ชั้นหวังว่าพวกนายคงจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาผู้ป่วยนะ”
มีรถออดี้สีดำขับเข้ามาหลังจากที่เขาพูดจบ พวกเขาทั้งสองขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังของรถ ลู่ชีเหมี่ยวยังคงมีท่าทีเย็นชา แต่เมื่อมองเธอจากด้านข้าง เธอช่างดูยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงถูกเรียกว่ามาดอนนาของโรงพยาบาลเจียงหัว
เธอใส่ชุดกระโปรงถักสีขาวซึ่งพอดีกับรูปร่างอันยอดเยี่ยมของเธอ มันทำให้หน้าอกของเธอดูโดดเด่นขึ้นมา ไหนจะถุงน่องสีดำอีก แถมทั้งริมฝีปากที่ทรงเสน่ห์ อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมจางลอยออกมาจากตัวเธออีกด้วย
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉากเหตุการณ์ที่ลู่ชีเหมี่ยวถูกพ่อสามีลวนลามผุดขึ้นมาในหัว ทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“ชั้นขอขอบคุณอีกครั้ง” หลังจากนั่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดลู่ชีเหมียวก็เปิดปากพูดขึ้นทำลายบรรยากาศแห่งความเงียบลง
ซูเถายักไหล่ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นไอ้คนพรรค์นั้นมันก็สมควรโดนแล้ว ลวนลามได้กระทั่งลูกสะใภ้ของตัวเอง เขานี่มันยิ่งกว่าสัตว์ป่าซะอีก”
ได้ยินดังนั้น หน้าของลู่ชีเหมียวก็แดงขึ้น ตั้งแต่ที่พวกเขาพูดถึงเรื่องต่างๆ เธอพยายามอย่างมากในการหลีกเลี่ยงการถูกลวนลามจากเฉียวเต้อเหา แต่เธอไม่คิดเลยว่าซูเถาจะเห็นเรื่องนี้ด้วยตาตัวเอง
เธอหมายถึงเรื่องที่ซูเถารักษาเจียวเจียว
เมื่อซูเถาเห็นใบหน้าที่ดูจะไม่ค่อยพอใจของลู่ชีเหมี่ยว เขารู้ในทันทีว่าคงจะเผลอพูดอะไรผิดไป เขาจึงพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย เขาได้หยิบขนมปัง 2 อันออกมาจากกระเป๋าของเขาก่อนจะยิ้ม “คุณหิวมั้ย เอาขนมนี่รองท้องหน่อยเป็นไง”
“ของที่มาจากพวกลามกน่ะ ชั้นไม่เอา” หน้าของลู่ชีเหมี่ยวเปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนที่เธอจะเบือนหน้าหนี
ซูเถางง ทันใดนั้นเขาก็รู้ตัวว่าได้เผลอพูดอะไรผิดๆออกไปอีกแล้ว ด้วยความลึกซึ้งของวัฒนธรรมจีน มันจึงมีอีกความหมายหนึ่งในคำพูดที่เขาได้พูดออกไป ซึ่งทำให้ลู่ชีเหมี่ยวนั้นเข้าใจเจตนาเขาผิดไป
(คาดว่าน่าจะเกี่ยวกับขนมปังที่ซูเถาหยิบออกมา แต่คุณเธอดันไปเข้าใจผิดคิดว่าซูเถาคงคิดเรื่องทะลึ่งตึงตังกับเธอโดยอาจจะเกี่ยวกับขนมปังนั่นก็ได้ ** ผู้แปล)