บทที่ 8 ล่อลวงผู้ชักใย
ดวงตาของไคหยานสั่นไหวเมื่อเธอเห็นซูเถาออกมา เขาเดินออกมาตบไหล่ของเธอและเลยไปจับมือกับผู้อาวุโสสู “ขอบคุณที่รอชั้นนะ , ทุกคน”
ผู้อาวุโสสูกล่าวตอบ “ดีแล้ว ดีแล้ว”
ซูเถารู้สึกอบอุ่น ในที่สุดเขาก็รู้ว่าคุณปู่ของเขานั้นปกป้องตำหนักเอาไว้เพื่ออะไร ปู่ของเขาต้องการให้เขาปกป้อนย่านถถนนเก่านี่
ร้านตัดกระดาษของผู้อาวุโสสูนั้นอยู่มาหลายรุ่นแล้ว ได้รับรางวัลการันตีระดับนานาชาติด้วย ถึงแม้ว่าด้วยสภาพของตลาด ทำให้เขามีรายรับเพียงสองถึงสามพันต่อเดือน แต่เขาก็ยังทำมันต่อไปเพื่อสืบทอดตามบรรพบุรุษ
ทุกๆร้านที่นี่จะมีความพิเศษในตัวเองอยู่ ร้านขายของเก่า ร้านตัดกระดาษ ตำหนักยา ทุกๆที่มีความเป็นวัฒนธรรมจีนอยู่ ซึ่งทำให้มันมีค่ามากกว่าเงิน
หลังจากพาซูเถาออกมา ตู๋ผินได้ทำงานของเขาสำเร็จ สำหรับในกรณีเรื่องของซูเถากับหงเชงกรุ๊ปนั้นเขาไม่ควรที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่ง เขาจับมือกับซูเถาพลางยิ้ม “หมอซู ถ้าเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต คุณมาหาผมได้เลยนะ”
ตู๋ผินทำให้ซูเถาประทับใจ “ผู้ช่วยตู๋ คุณก็มาหาผมได้ทุกเมื่อเลยนะ”
ตู๋ผินยิ้มตอบ “ทุกคนย่อมมีปํญหาเล็กๆน้อยกันทั้งนั้นแหละ ในตอนนั้นผมก็ต้องรบกวนคุณด้วยนะ”
เขารู้ว่าทักษะการรักษาของซูเถานั้นยอดเยี่ยมมาก การที่รู้จักคนมากขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
“บอส ซูเถาอออกมาได้แล้ว เราจะไปทักทายเขาไหม ?” เลขาฯหลี่ถามในขณะที่มองดูซูเถาจับมือทักทายกับคนอื่นๆอยู่
เวร่าส่ายหัว “ไม่จำเป็นหรอก , ยังไงพรุ่งนี้เราก็ต้องเจอกันอีกที่โรงพยาบาล”
ถึงจะอย่างงั้น แต่ซูเถาได้เดินมาเคาะที่กระจกรถของเธอ เขาขอที่จะไปนั่งในรถของเธอ เวร่ายิ้ม “นายจะพาชั้นไปเลี้ยงข้าวได้หรือยังล่ะ ?”
ซูเถายักไหล่ก่อนที่จะมองไปยังที่ต้นคออันขาวสวยของเธอ คอของเธอช่างงดงามจริงๆ เขาคิดในใจ มันจะรู้สึกวิเศษขนาดไหนถ้าเขาได้ไซร้คอของหล่อน ก่อนที่จะเตลิดไปมากกว่านี้ เขายิ้มตอบ “ชั้นยังมีเรื่องที่ต้องทำน่ะ ไว้คราวหน้าได้มั้ย ?”
เวร่ายิ้ม “งั้นเหรอ มันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อยนะ”
“ชั้นเลี้ยงเธอสองมื้อเลยเป็นไง ?” เขาทำท่าชูสองนิ้ว
เวร่าพยักหน้าด้วยความพอใจก่อนที่จะดีดนิ้ว “ตกลง”
ซูเถาเดินออกมารจากรถของเวร่าก่อนที่ไคหยานจะมุ่งมาทางเขา เธอใช้ศอกสะกิดถามซูเถา “เธอเป็นใครน่ะ ?”
“เหมือนเธอนั่นแหละ , คนไข้ชั้นเอง” เขาตอบ
ไคหยานมองสำรวจไปที่ซูเถาตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย เธอเพิ่งสังเกตว่าซูเถาใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกับเมื่อวาน “นายมีแต่เสื้อผ้าแบบนี้งั้นเหรอ ?”
ซูเถายิ้ม “พอดีชั้นมีนิสัยที่ชอบซื้อเสื้อผ้าที่ชอบเอาไว้สองชุดน่ะ”
อย่างไรก็ตาม ไคหยานดูเหมือนจะไม่ค่อยปลื้มกับเซ้นส์แฟชั่นของซูเถาเท่าไหร่
“ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ขับไล่โชคร้ายกันเถอะ”
พวกคนที่เกี่ยวข้องกับโบราณวัตถุนั้นค่อนข้างที่จะเชื่อเรื่องโชคลางมาก สถานีตำรวจนั้นเป็นสถานที่ๆอับโชค ดังนั้น หลังจากออกมาจากสถานี วิธีการที่ดีที่สุดในการขับไล่โชคร้ายก็คือการเปลี่ยนเสื้อผ้า นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมไคหยานถึงได้แนะนำให้ซูเถาเปลี่ยนเสื้อผ้า
ซูเถาถูกไคหยานพามาที่ห้าง เขาโดนเธอจับแปลงโฉมทั้งตัว
เสื้อผ้านั้นทำให้ดูเป็นสุภาพบุรุษ เมื่อซูเถาใส่สูท มันทำให้เขาดูดีขึ้น เหมาะกับเขามาก
สูทสีดำตัดกับเชิ้ตสีม่วงนั้นดูเข้าคู่กันอย่างที่สุด ซูเถาดูดีมีเสน่ห์ขึ้นอย่างมากด้วยชุดพวกนี้ ประกอบกับการที่เขามีหน้าตาดี ทำให้ทั้งไคหยานและพนักงานสาวนั้นตะลึงในภาพลักษณ์ของเขา
ซูเถายิ้มอย่างเขินอาย “ใส่ชุดนี่แล้วเดินยากชะมัด”
ไคหยานจับซูเถาหมุนรอบเพื่อสำรวจตัวเขาก่อนที่เธอจะหยิบบัตรเครดิตออกมาด้วยสีหน้าพึงพอใจ “ค่าชุดนี่ชั้นจะจ่ายให้เอง ต่อไปเราไปดูรองเท้ากัน”
ซูเถารีบปฏิเสธ “ชั้นจะให้เธอจ่ายได้ยังไงกัน !”
ไคหยานเหล่ตามองด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะตอบ “งั้นหักเอาจากค่ารักษาในอนาคตละกัน”
ซูเถายอมแพ้ ไม่ว่าจะยังไง อาการป่วยของไคหยานไม่ใช่โรคที่จะหายได้ในสองสามวัน ในอนาคตเขาอาจจะต้องเก็บค่ารักษาเธออีก ดังนั้นมันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่ให้เธอทำแบบนั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นพัฒนาขึ้นและซับซ้อนเข้าไปอีก ใช้คำว่า ‘สนิท’ กันน่าจะดูเหมาะสมกว่า
พนักงานขายสาวได้หยิบรองเท้าหนังสีดำซึ่งเขารู้สึกไม่ค่อยจะใส่สบายเท่าไหร่ให้เขา แต่เขาก็ไม่กล้าบอกเนื่องจากเขาอาย อีกทั้งรองเท้าหนังสีดำนั้นก็ดูจะดีกว่าที่เขาใส่อยู่เป็นประจำ
หลังจากที่ไคหยานกับซูเถาออกไป พนักงานก็ได้คุยซุบซิบกัน “ผู้ชายคนนั้นดูดีจัง”
“ก็ถ้าเค้าไม่ดูแลตัวเองก็คงไม่หล่อแบบนั้นหรอก” พนักงานอีกคนตอบ
พนักงานคนแรกตอบกลับ “ชั้นจะทำงานเก็บเงินเยอะๆ ซักวันนึงชั้นจะได้หาผู้ชายให้ตัวเองบ้าง”
“บอส เนี่ย , นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ครั้งนี้คุณทำให้ผมเจอปัญหาใหญ่ไม่พอ ผมยังโดนหัวหน้าเหยาว่าอีก คุณออยากให้ผมโดนไล่ออกหรือไง ?”
หัวหน้าโรงพักเฉินพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจผ่านทางโทรศัพท์
เนี่ย เว่ยถิงกล่าวขอโทษ “เกี่ยวกับเรื่องนั้นผมต้องขอโทษด้วย คุณหัวหน้าสถานีเฉง ผมต้องขอโทษจากใจจริง แล้วเดี๋ยวผมจะติดต่อกลับไปอีกที”
“ไม่จำเป็น !” เฉงลอง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “นายไม่มีทางรื้อถอนย่านถนนเก่าได้หรอก ตราบใดที่เลขาฯเทศบาลยังจับตาดูเรื่องนี้อยู่ ถ้านายยังยืนยันที่จะรื้อถอนก็เหมือนนายเอาตัวเองเข้าไปเล่นกับไฟนั่นแหละ ชั้นช่วยนายไม่ได้หรอกนะ !”
หลังจากได้ยินประโยคนั้น สายตาของเว่ยถิงก็เปลี่ยนไปเป็นสายตาที่ดูเด็ดเดี่ยว “ชั้นได้เดิมพันทั้งหมดไว้กับเรื่องนี้ ถ้าชั้นรื้อถอนถนนเส้นนั้นไม่ได้ ชั้นก็จะล้มละลายสิวะ!”
เฉงหลงอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปยังปลายสายโทรศัพท์ “ผมเตือนคุณแล้ว เชิญจัดการเรื่องนี้เองเถอะ”
สายตาของเว่ยถิงเต็มไปด้วยความเดือดดาลเมื่อเฉงหลงวางสาย , ไอ้หมอนี่มันใช้ไม่ได้เลย พอเห็นว่าท่าไม่ดี มันก็รีบตีตัวออกห่างทันที
ในขณะเดียวกัน เขาก็แปลกใจที่ซูเถานั้นยากที่จะจัดการ ไม่ใช่เพราะแค่ว่าเขาเป็นคนหนุ่ม แต่เขาทำยังไงถึงให้เลขาฯเทศบาลเมืองคอยหนุนหลังได้
เว้ยถิงทุบโต๊ะด้วยความโมโห แต่เพราะออกแรงมากไป ใบหน้าของเขาเลยมีสีแดงสีขาวสลับกัน
เขานึกในใจ ‘ดูเหมือนชั้นจะต้องเรียกซูเถามาคุยเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวซักหน่อยแล้ว’
ที่จริงเขาไม่ได้ต้องการที่จะพบกับซูเถา แต่เขาได้สัญญากับซูกวงเฉิงไว้ว่าจะไม่ทำลายตำหนักและย่านถนนเก่า
แต่ทว่าสถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้ต้องการแค่ตรงย่านถนนเก่า เขายังต้องการพื้นที่อีก 80 ยูนิตนับจากบริเวรศูนย์กลางของย่านถนนเก่าเพื่อโครงการของเขาด้วย ในส่วนออื่นๆนั้นใกล้จะรื้อถอนเสร็จสมบูรณ์แล้ว เพียงแต่เขาติดหนี้ซูกวงเฉิงอยู่ เขาจึงยังไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับตำหนัก
ในตอนแรก เขาคิดจะรวมตำหนักเข้ากับแผนการของเขาด้วย แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้รับออนุมัติจากรัฐบาล และหุ้นส่วนของเขาก็ไม่เห็นด้วย
ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือก ถ้าเขาไม่ดำเนินการรื้อถอนตำหนัก หุ้นส่วนของเขาก็จะยกเลิกสัญญาซึ่งถ้ามันเกิดขึ้น โครงการทั้งหมดจะถูกยกเลิกและเขาจะสูญเงินนับร้อยล้าน ซึ่งเว่ยถถิงไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียเช่นนั้น
ได้มีรถหรูคันสีดำมาจออดที่หน้าประตูของตำหนัก คนขับรถได้ลงมาเปิดประตู มีชายวัยกลางคนซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีพีช กางเกงสีดำเดินลงมาพร้อมกับไม้เท้าในมือโดยมีเหล่าบอดี้การ์ดคอยตามประกบอยู่
“ชั้นคือประธานของหงเชงกรุ๊ป เนี่ย เว่ยถิง” เขามองไปยังซูเถา
ในตอนนั้นซูเถาได้ถอดชุดสูทออกเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้มันจะทำให้เขาดูดี แต่มันก็ร้อนเกินไปสำหรับเขา เมื่อเขาได้เห็นหน้าของแขกผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิด เขาส่ายหัว “ที่นี่ไม่ต้อนรับคนอย่างนายหรอก”
บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ข้างหลังเว่ยถิงก้าวออกมา พวกเขาไม่พอใจกิริยาเมื่อครู่ของซูเถา เว่ยถิงหัวเราะเยาะในขณะที่เขาก้าวถอยหลัง
นี่เป็นวิธีการที่เว่ยถิงใช้เสมอเพื่อแสดงให้เห็นถึงการข่มขู่อีกฝ่าย
บอดี้การ์ดชุดดำกระโจนเข้าใส่ซูเถาโดยในมือถือมีดพรานทหารอยู่
ซูเถาขมวดคิ้วสงสัย เมื่อเทียบกับโมดง บอดี้การ์ดคนนี้น่าจะเก่งกว่า เขามีรัศมีของนักฆ่าปล่อยออกมา หมอนี่จะต้องผ่านสนามรบและเห็นคนตายมานับครั้งไม่ถ้วนแน่ๆ
มีบอดี้การ์ดสองคนอยู่ห่างออกไปราวๆสามถึงสี่เมตร ถ้าเขาปล่อยให้บอดี้การ์ดพวกนี้เข้าประชิดตัวได้ มันก้ยากที่จะรับมือได้ ดังนั้ เขาจึงค่อยๆสะบัดนิ้ว
บอดี้การ์ดคนนึงลงไปนอนกลิ้งบนพื้นอย่างรวดเร็ว มีเข็มเงินหนึ่งเล่มปักอยู่บนประตูไม้
เว่ยถิงซึ่งดูอยู่พูดออกมา “เสี่ยว เหลง ถอยออกมา เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน !”
เป็นที่น่าแปลกใจที่หลานของซูกวงเฉิงดูเหมือนจะมีวิชาการต่อสู้ด้วย
ใบหน้าของเสี่ยว หลงนั้นดูซีดเซียวพลางกับที่เขาได้พยุงแขนซ้ายขึ้นมา เข็มได้เจาะทะลุแขนของเขาไปและเขาไม่รู้สึกอะไรที่แขนซ้ายอีกเลย ดังนั้นใครๆก็รู้ว่าซูเถานั้นแข็งแกร่งเพียงใด
ซูเถาได้ยั้งมือเอาไว้ หากเขาเล็งไปที่หว่างคิ้วละก็ บอดี้การ์ดคนนี้คงได้เป็นศพตัวเย็นไปแล้ว
เว่าถิงเคาะไม้เท้าของเขาที่พื้นสองครั้ง สุภาพบุรุษชาวตะวันตกนั้นมันจะพกไม้เท้าไปด้วยเพื่อแสดงถึงฐานะและท่าทางของเขา ซึ่งมันก็ได้กลายเป็นสัญลักาณ์ขอองสุถภาพบุรุษชาวตะวันตกไป อย่างไรก็ตาม สมัยนี้มีไม่มากนักที่พกไม้เท้าติดตัวเวาลไปไหนมาไหน
“นานมาแล้วที่ชั้นไม่ได้มาเยือนตำหนักแห่งนี้ ชั้นได้สัญญากับหมอซูเอาไว้ในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ชั้นจะไม่รื้อถอนตำหนักแห่งนี้ แต่ว่าน่าเสียดาย ที่เขาจากไปอย่างกระทันหันเช่นนี้”
ซูเถาส่ายหัว “ชั้นเกรงว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ นายสัญญากับปู่ของชั้นเอาไว้ว่าจะไม่ยุ่งกับย่านถนนเก่า ไม่ได้ตกลงกันแบบที่นายพูดเมื่อกี้ซักหน่อย”
เว่ยถิงอึ้งเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้ม “ถ้าไม่ใช่เพราะปู่ของนายรักษาอาการป่วยของชั้น ที่นี่คงกลายเป็นชอปปิ้งมอลล์ไปนานแล้ว แต่หลักจากที่ปู่ของนายเสียไป มันก็เป็นที่น่าเสียดายที่ตำหนักของนายนั้นดันตั้งอยู่บริเวณทำเลทองซะได้”
ซูเถาตอบกลับ “ประธาน เนี่ย นายเดินอยู่ในเส้นทางโลกใต้ดินและความกตัญญูก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ปู่ของชั้นไม่เพียงแต่จะรักษานายเท่านั้น ตอนนี้นายยังจะพยายามทำลายสิ่งสำคัญของเขาอีก มันไม่มากไปหน่อยเหรอ ?”
มันมีความต่างกันอยู่ระหว่างการรักษาอาการป่วยกับการช่วยชีวิต
เว่ยถิงโบกมือ “เจ้าหนุ่ม , ชั้นได้ให้บางคนคอยตรวจสอบสถานการณ์ของตำหนัก ตั้งแต่ที่นายเข้ารับช่วงต่อก็แทบจะไม่ได้ทำธุรกิจอีกเลย และชั้นก็ได้คอยเฝ้าสังเกตและติดตามอยู่ ถ้านายอยากจะรื้อถอนที่นี่ ชั้นจ่ายให้นายแสนนึงต่อตารางเมตรเลย ไม่ต้องห่วงอนาคตของนายหรอก นี่เป็นวิธีแสดงความเคารพของชั้นต่อหมออซูด้วยละนะ”
ซูเถาส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่ว่านายจะจ่ายเท่าไหร่ชั้นก็ไม่รื้ออถอนที่นี่หรอก ไม่ใช่แค่ตำหนัก แต่ชั้นจะปกป้องย่านถนนเก่านี่ด้วย”
เว่ยถิงถอนหายใจ “ชั้นประทับใจในความตั้งใจของนายนะ แต่เราอยู่ในโลกความเป็นจริง นี่นายคิดว่าจะหยุดชั้นได้ด้วยตัวคนเดียวงั้นเหรอ ?”
“ในอดีตปู่ชั้นหยุดนายได้ ชั้นก็จะลองหยุดนายดูเหมือนกัน” ซูเถาตอบ
ซูเถายังคงดื้อรั้น , เว่ยถิงส่ายหัว “การเจรจาต่อรองจบลงแล้ว ! ถ้างั้นเราต้องใช้วิธีของเรา”
“ไอ้พวกเสแสร้ง งั้นก็เข้ามาเลย” ซูเถาท้าทาย
“แกปฏิเสธความหวังดีของชั้น , งั้นชั้นจะสอนบทเรียนให้แกเอง” สายตาของเว่ยถิงนั้นแสดงให้เห็นถึงความเกรี้ยวกราดของเขาอย่างมาก
เขาค่อยๆยกมือขึ้นก่อนที่ไม้เท้าในมือเขาจะแตกออก ก่อนที่เขาจะเห็นว่ามีตะปูพุ่งเข้ามาที่กล่องยาของเขาและสมุนไพรของเขานั้นได้กระจัดกระจายออกไปทุกทาง