บทที่ 41 นักรบระดับ 5 และ แผนใหม่
นานมาแล้วที่แอบนี้ไม่ได้คุยกับเหมิงเหล่ย
เขานั้นได้ยินชื่อเสียงของเหมิงเหล่ยมานาน ก่อนที่เขาจะเข้าสมัครที่วิทยาลัยซะอีก เขารู้ว่าเหมิงเหล่ยเป็นมนุษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในหมู่นักเรียนใหม่
แล้วพอทั้งคู่กลายมาเป็นเพื่อนร่วมหกัน ทุกๆอย่างที่เหมิงเหล่ยทํา แอบบี้ก็จะรู้ทั้งหมดเหมือนกัน หลังจากสังเกตการณ์มาตลอด 3 เดือน แอบบี้กลายเป็นอีกคนนึงที่รู้เรื่องของเหมิงเหล่ยดีมาก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าเหมิงเหล่ยจะเก็บซ่อนความลับที่ใหญ่ขนาดนี้ได้
“เจ้าเป็นมนุษย์ไม่ใช่เหรอ แล้วทําไมเจ้าถึงจุติสายเลือดมังกรได้ละ?” แอบบี้มองหน้าเหมิงเหล่ยตาเขม่น ดวงตาของเขาซ่อนความอยากรู้อยากเห็นเต็มพิกัด “ หรือว่าเจ้าจะเป็นครึ่งมังกรมาโดยตลอดกัน”
“เจ้าถามข้าเหรอ แล้วข้าจะไปถามใครละ” เหมิงเหล่ยผายมือแล้วพูดเสริม “ข้าแค่มาดูการประลองราชันต์นักสู้แล้วจู่ๆไฟก็ลุกท่วมตัวข้า เอาจริงๆนะ ข้าเองยังไม่รู้เลยว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่”
แอบนี้ไม่ได้ติดใจอะไร “ดูเหมือนว่าในตัวเจ้าเองมีสายเลือดมังกรซ่อนอยู่ซินะ”
ถึงแม้ว่าจะมีครึ่งมังกรจํานวนมากที่จุติสายเลือดมังกรตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่พึ่งจะจุติสายเลือดแบบเดียวกับเหมิงเหล่ย ทําให้การที่เหมิงเหล่ยไฟลุกท่วมตัวตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเท่าไร
“คิดว่า…นะ”
เหมิงเหล่ยตอนนี้ไม่รู้จะอธิบายตัวตนของเขายังไงดี เขาจะบอกความจริงไปเลยก็ไม่ได้ เอาจริงๆถึงเขาบอกไปก็ยากที่จะเชื่อได้อยู่ดี ใครมันจะไปเชื่อเรื่องที่จู่ๆก็ไปเก็บสายเลือด ขัตติยะมังกรไฟมาได้จากสนามประลองมาได้กันละ
แค่คิดก็ตลกแล้ว
“ถ้างั้นก็ยินดีด้วย” แอบบี้พูด จากนั้นเขาก็ไม่สนใจเหมิงเหล่ยอีก เขาเข้าไปทําธุระของตัวเองในห้องน้ำ ส่วนเหมิงเหล่ยก็เดินตรงไปที่กระจกเพื่อดูหน้าตาของตัวเองในตอนนี้
หน้าตาของเขาดูประหลาด มีเลือดไหลท่วมตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาเลยเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างเนื้อตัวให้สะอาด แล้วมองตัวเองชัดๆอีกที
เอาจริงๆเขาก็ดูดีอยู่เหมือนกัน แต่คําถามก็คือ
“นี้ฉันต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ตลอดไปเลยเหรอ?”
เหมิงเหล่ยถอนหายใจ ถึงแม้ว่าสายเลือดมังกรไฟจะมอบพลังมหาศาลให้กับเขา แต่เขาไม่ได้อารมณ์ดีเลยแม้แต่น้อยหลังจากที่ผ่านความเจ็บปวดปางตายตอนที่เขากลายร่างกลายเป็นสัตว์ประหลาด
ถ้าให้เลือกได้ เขาขอเป็นร่างมนุษย์ปรกติดีกว่า
เหมิงเหล่ยถามขึ้นมา “แอบบี้ พอจะเป็นไปได้ไหมที่ข้าจะกลับคืนร่างก่อนหน้านี้ของตัวเองน่ะ”
“ทําไมเจ้าถึงต้องอยากกลับไปเป็นร่างเดิมละ” แอบบี้ถามด้วยน้ำเสียงสงสัยจริงๆ “ในอาณาจักรมังกรไฟ คนที่มีสายเลือดมังกรยังไงก็เป็นที่นับหน้าถือตา มีสถานะทางสังคมและเป็นที่ยําเกรงมากกว่ามนุษย์หลายขุมเลยนะ ยิ่งกว่านั้นเจ้ายังจุติสายเลือดของสายเลือดมังกรไฟด้วย ดีซะยิ่งกว่าดีอีก แล้วทําไมเจ้าถึงต้องกลับไปเป็นร่างมนุษย์ด้วยละ”
“ก็มันดูแปลกๆน่ะซิ ข้าชอบร่างก่อนหน้านี้มากกว่านะ” เหมิงเหล่ยส่ายหัวแล้วถาม “บอกข้ามาเถอะว่ามันมีวิธีการที่จะเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นแบบเดิมไหม”
“ข้าละไม่เข้าใจความคิดของเจ้าเลยจริงๆ”แอบบี้ตอบแล้วส่ายหัว ก่อนจะพูดต่อ “สาหรับครึ่งมังกรแล้วการที่จะจุติสายเลือดมังกรนั้นมันทําให้มีพลังแข็งแกร่งขึ้นก็จริงแต่มันก็ไม่ได้เป็นร่างที่เสถียรหรอก เจ้าไม่สามารถคงร่างมังกรได้นานๆหรอก เดี๋ยวเจ้าก็กลับร่างเดิมของเจ้าตอนที่พลังงานในร่างกายของเจ้าหมดเองแหละ”
“อย่างนี้นี้เอง”
เหมิงเหล่ยเข้าใจกระจ่าง ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ หลังจากผ่านไปแค่ประมาณ 5 นาที เหมิงเหล่ยก็เริ่มรู้สึกตัวแห้งเหมือนอะไรบางอย่างขาดหายไปจากร่างกาย จากนั้นเกล็ดมังกรของเขาก็หายไป หางและเขาของมังกรเองก็หายตามไปด้วยทั้งตัวของเหมิงเหล่ยกลับมาเนียนเกลี้ยงเกลา ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าให้ใส่
“กลับมาแล้ว 555555 กลับมาแล้วจริงๆด้วย พอเห็นแบบนี้แล้วหน้าฉันดูดีขึ้นมาเลยเว้ยเห้ย”
(เหมิงเหล่ยเวลาคิดจะใช้ภาษาเดิม เลยเรียกตัวเองว่าฉัน ส่วนเวลาพูดจะทําตัวให้เข้ากับโลกนี้ เลยใช้ข้ากับเจ้า)
ในตอนนั้นเองที่แอบบี้เดินออกมาที่จุดล้างมือแล้วเห็นสภาพเปลือยเปล่าของเหมิงเหล่ย ดวงตาของเขาเบิกกว้างตาโตขึ้นมาทันที
อะไรวะเนี่ย ทําไมมันใหญ่จังวะ”
“แอบบี้ เออ เจ้าช่วยไปหาเสื้อผ้ามาให้ทีได้ไหม”
เหมิงเหล่ยกลับมาที่สนามประลองทองคํา หลังจากที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วออกมาจากห้องน้ำ ตอนนี้กําลังอยู่ในช่วงงานฉลองราชันต์นักสู้
ศึกราชันต์นักสู้จบลงแล้ว
ผลของการประลองคือ ราชันต์นักสู้ 3 สมัยซ้อน เทพายักษ์ นิโคลัสป้องกันตําแหน่งของตัวเองไว้ได้สําเร็จอีกครั้งในฐานะที่เป็นผู้ชนะ เขาเลยได้รับเสียงเชียร์อย่างหนาแน่น
ในทางกลับกัน โอเด็นฟริทซ์ที่เป็นฝ่ายแพ้ก็เดินออกจากสนามประลองไปอย่างเงียบๆ และตลอดช่วงปีหลังจากนี้เขาก็ต้องอยู่ในฐานะผู้แพ้ต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน ธรรมดาของชีวิตที่คนมักจะจดจําผู้ชนะเสมอ ในขณะที่ผู้แพ้ก็จะถูกลืมไปตามกาลเวลา ความเป็นจริงมักจะโหดร้ายเสม
“ผู้ชนะเป็นราชา ในขณะที่คนแพ้ก็เป็นได้แค่ขยะข้างทาง”
เหมิงเหล่ยนั้นไม่ได้รีบร้อยออกจากที่นี่ เขากลับมาไล่ตามเก็บผลึกที่ดรอปออกจากผู้คนต่อหลังจากที่ได้พลังของสยเลือดมังกรไฟมาแล้วทําให้ทั้งค่าร่างกายและค่าเวทมนตร์ของเขาพุ่งสูงไปถึงระดับ 5 แล้ว
ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าค่าวิญญาณของเขายังคงตามหลังทิ้งห่าง ยังคงเป็นระดับ 4 อยู่
สนามประลองนั้นยังคงพลุกพล่านไปด้วยคน ซึ่งส่วนมากยังคงตื่นเต้นกับการประลองที่ผ่านมาอยู่ จึงทําให้เขาเก็บผลึกวิญญาณได้มากทดแทนกับที่เขาหายไปก่อนหน้านี้
กว่าเขาจะกลับมาถึงที่วิทยาลัย เวลาก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว
หลังจากที่เขาอาบน้ำแต่งตัว เหมิงเหล่ยไม่ได้ทําจิตสมาธิในคืนนี้ แต่เขากลับมานังศึกษาวิชาออร่ามังกรไฟแทน เขาตั้งใจจะฝึกวิชาออร่าสงครามให้แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ทําได้
เหมือนอย่างคําโบราณที่คนเคยว่าไว้ “ถ้าสู้มันไม่ได้ก็จงเป็นหนึ่งเดียวกับมันซะ”
ในเมื่อตอนนี้เขามีสายเลือดมังกรอยู่ในตัวแล้ว ถ้าเขาไม่ฝึกวิชาออร่ามังกรไฟ มันก็จะเสียของน่าดูเลย
หลังจากผ่านไป 1 ชั่วโมง เขาก็เริ่มพอที่จะเข้าใจวิชามากยิ่งขึ้น เหมิงเหล่ยคิดว่าจะลองฝึกใช้ออร่าสงครามดู เขาใช้วิธีการตามวิชาที่ได้มา ควบคุมการไหลเวียนของพลังปราณในร่างกายอย่างช้าๆเหมือนหอยทากคลาน
ปราณในร่างกายของเขาค่อยๆเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า แต่เหมิงเหล่ยนั้นกลับแอบรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
การที่เขาเริ่มใช้วิชาออร่ามังกรไฟได้และเริ่มไหลเวียนปราณในร่างตัวเองได้ นั้นหมายความว่าเขาได้เข้าสู่กระบวนการฝึกวิชาปราณมังกรอย่างแท้จริงแล้ว
ซึ่งมันเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆที่ดีมาก
ขอแค่ฉันฝึกวิชามังกรไฟได้ งั้นก็มั่นใจได้แล้วว่าจะสามารถฝึกออร่าสงครามนี้ให้ชํานาญได้
เอาละ ทีนี้มาลองตั้งเป้าหมายเล็กๆดูก่อนละกัน เอาเป็นนักรบระดับ 9 ดีไหมนะ
เหมิงเหล่ยฝึกวิชามันไฟทั้งคืน หลังจากที่ลองฝึกมา ออร่าสงครามมังกรไฟของเขาก็เริ่มไหลเวียนได้เร็วขึ้นเยอะ ค่าร่างกายของเขาเองก็เพิ่มขึ้นจากเดิมมากถึง 40 แต้มเช่นกัน
ซึ่ง 40 แต้มที่ว่านั้นมันถือว่าได้มาเยอะมากๆ
การที่ได้ 40 แต้มต่อคืนนั้นหมายความว่าเราสามารถทําค่าร่างกายได้ 1200แต้มต่อเดือนได้เลยนะ!
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ขอเวลาแค่ 2 เดือนเขาก็จะกลายเป็นนักรบระดับ 6 ได้แล้วซึ่งระดับ 6 นั้นมันก็ไม่ได้กระจอกเลย
แต่ฉันก็คงฝึกวิชามังกรไฟไม่ได้ตลอดซินะ ยังไงฉันก็ต้องกลับไปทําจิตสมาธิตอนกลางคืนเพื่อเพิ่มพลังเวทกับพลังวิญญาณอยู่ดี
เอาไงดีนะ หรือว่าจะไปฝึกตอนกลางวันดี
ไม่ได้ซิ ทําแบบนั้นไม่ได้ ตอนกลางวันมันเป็นช่วงเวลาของการเดินเก็บผลึกนะ
แล้วถ้าเป็นช่วงเช้าละ
เอาละ ช่วงเข้าละกัน
ตอนนี้ฉันน่าจะพอรู้พื้นฐานของการใช้เวทมนตร์แล้ว ที่เหลือที่ฉันต้องทําก็แค่พัฒนาพลังวิญญาณกับพลังเวทของตัวเอง หลังจากนั้นค่อยไปเรียนรู้เวทมนตร์ระดับสูงต่อ
ตอนนี้ฉันก็ไม่จําเป็นที่จะต้องคลาสแล้วก็ได้นี่เนอะ
ตัดสินใจละ ฝึกวิชามังกรไฟตอนเช้า
เดินเล่นเก็บของตอนเที่ยง
ทําจิตสมาธิตอนกลางคืน
ตารางการฝึกฝนแบบ 24 ชั่วโมงครบเซ็ต
แถมเขายังต้องไปที่สนามเพลิงด้วย แน่นอนเพราะว่ายังไง ตอนนี้เหมิงเหล่ยก็กลายเป็นนักสู้แล้ว เขาต้องเข้าประลองอย่างน้อย 10 ครั้งต่อเดือนด้วย เอาจริงแค่เข้าไปเก็บผลึกก็ได้ค่าความสามาถกลับมามหาศาลแล้ว
ใน3 วันหลังจากนั้น เหมิงเหล่ยทําตามแผนของตัวเองอย่างเคร่งครัด เขาทําการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ซิ มันน่าจะเรียกว่า ฝึกฝนทุกอย่างด้วยตัวเองซะมากกว่า
การที่เขาขาดเรียนวิชาเวทมนตร์ในตอนเช้าไปมัน ทําให้เกิดความสงสัยในใจของอาจารย์โฮลาที่โอ้ ที่เป็นอาจารย์สอนวิชาเวทสายฟ้าเป็นอย่างยิ่ง เหมิงเหล่ยนั้นไม่เคยขาดเรียนหรือโดดเรียนเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วทําไมจู่ๆถึงหายไป 3 วันรวดเลยละ
นักเรียนคนอื่นก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยตอนที่อาจารย์ถามสุดท้าย ก็ไม่มีทางเลือกอื่น อาจารย์โฮลาที่โอ้จึงส่งรายงานโดยตรงไปหาหัวหน้าอาจารย์ของเหมิงเหล่ยถึงเรื่องนี้
นักเรียนของวิทยาลัยนั้นปกติจะมีอิสระทางการเรียนมาก ๆ การหยุดไม่มาหรือโดดเป็นเรื่องปรกติ จะเข้าหรือไม่เข้าเรียนก็ได้ ถ้าเป็นนักเรียนคนอื่นอาจารย์โฮลาที่โอ้ คงไม่ทําแบบนี้แน่ ๆ แต่เหมิงเหล่ยนั้นเป็นคนละกรณี
เขาคาดหวังในตัวของเหมิงเหล่ยไว้สูง และเขาเองก็ไม่อยากให้เหมิงเหล่ยพลาดบทเรียนในวิชาของเขา
“อะไรนะ เจ้าหนูนั้นไม่ได้มาเข้าเรียน 3 วันแล้วงั้นเรอะ?”