เหมิงเหล่ยนั้นได้รับชื่อเสียงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากหลังจากที่ได้รับชัยชนะในศึกแรกมา ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี พร้อมเงินค่าตัวอีก 1000 เหรียญทองซึ่งทําให้เขาอารมณ์ดีขึ้นไปอีก
1000เหรียญทอง เท่ากับ 100 แต้มค่าสถานะ แถมเขาเองยังเก็บของได้เยอะอีกด้วย ตอนนี้ค่าวิญญาณของเขาพุ่งขึ้นไปแตะหลัก 2000 เรียบร้อยแล้ว เหมิงเหล่ยเลยใช้เงินอีกนิดหน่อยเพื่อ เพิ่มค่าความสามารถของตัวเองให้กลายเป็นระดับ 5
เจ้าของเหมิงเหล่ย
เผ่าพันธุ์มนุษย์ (มีสายเลือดมังกรไฟ)
ความมั่งคั่ง 22614 เหรียญทอง
ค่าร่างกาย นักรบระดับ 5 (2729/5000)
ค่าวิญญาณ จอมเวทระดับ 5 (2014/5000)
พลังเวท จอมเวทระดับ 5 (2316/5000)
เวทมนตร์ เยอะมาก
วิชาออร่าสงคราม วิชามังกรไฟ
ทักษะการต่อสู้เพิ่มมากขึ้นด้วย
ตอนนี้เขาเป็นทั้ง จอมเวทและนักรบระดับ 5 จะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ฝึกฝนวิชาทั้งสายบู๊และสายบันก็ยังได้
เหมิงเหล่ยนั้นพึงพอใจกับผลการฟาร์มของตัวเองมาก ในแดนสวรรค์แห่งนี้ การเป็นคนที่ฝึกทั้งร่างกายและเวทมนตร์นั้นไม่ใช่เรื่องต้องห้าม มีครึ่งมังกรหลายๆคนก็ทําแบบนั้น ฝึกฝนร่างกายของตัวเองไปพร้อมๆกับเรียนรู้พลังเวทด้วย
เหมิงเหลยไม่รู้ว่ามันจะเกิดผลเสียอะไรไหมในอนาคตที่เขากลายเป็นระดับสูง แต่สําหรับเขาแล้ว เขาเองก็ไม่ได้อยากล้มเลิกการฝึกฝนซักอย่าง เพราะในการต่อสู้ การที่ได้เปรียบทั้ง 2 อย่างนั้น ยังไงมันก็ดีกว่า
กว่าจะกลับถึงวิทยาลัยได้ก็ล่อไปเกือบ ตี 1 แล้ว
เหมิงเหล่ยจัดการอาบน้ําทําความสะอาดห้องให้เรียบร้อย ก่อนจะเริ่มตั้งจิตสมาธิตอนกลางคืนตามปรกติเงียบๆอยู่คนเดียว
เช้าวันต่อมา เหมิงเหลยเลิกทําจิตสมาธิเสร็จก็ไปกินข้าวหาอะไรเติมกําลัง จากนั้นเขาก็เริ่มไปฝึกวิชามังกรเพลิงตามที่วางแผนไว้
หลังจากผ่าน 3 วันแห่งการฝึกฝน เหมิงเหลยรู้สึกว่าวิชาออร่า สงครามมังกรไฟในร่างกายขอเขานั้นมันมีพลังมากขึ้น ความเร็วในการไหลของลมปราณก็สูงขึ้น ทุกๆครั้งที่ออร่ามังกรไฟเสร็จสิ้นการไหลเวียน สายเลือดมังกรไฟก็จะบริสุทธิ์มากขึ้นไปอีกด้วย
เมื่อไรก็ตามที่สายเลือดมังกรไฟในตัวของเขา ไม่อาจชําระล้างได้ผ่านออร่างมังกรไฟแล้ว นั่นหมายความว่าเขาได้สําเร็จวิชานี้แล้ว และเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะเข้าสู่สถานะบริสุทธิ์เต็มตัว
และวันนั้นจะเป็นวันที่เขาสามารถแปลงร่างเป็นมังกรไฟได้
“ได้ยินว่าเจ้าไม่ได้ไปเรียนมา 3 วันแล้วอย่างงั้นเหรอ”
ตอนที่เหมิงเหล่ยกําลังนั่งขัดสมาธิเตรียมตัวฝึกวิชามังกรไฟอยู่นั้นเอง เพื่อนร่วมห้องแอบบี้ของเขาเดินลงมาจากบันไดแล้วมองเหมิงเหล่ยอย่างเย็นชา
“ใช่”
เหมิงเหล่ยไม่ได้ปฏิเสธ
“แล้วก็ดูเหมือนว่าวันนี้เจ้าก็จะไม่ไปอีกแล้วซินะ” แอบบร่ถาม
“ใช่ แล้วต่อไปฉันก็คงไม่ไปด้วย” เหมิงเหล่ยยิ้มแล้วพูด “การเรียนพวกนั้นมันไม่จําเป็นกับฉันแล้ว เข้าเรียนไปก็เสียเวลาเปล่า ฉันเอาเวลามาฝึกเองดีกว่า”
แอบบี้ขมวดคิ้วตอนได้ยินแบบนั้น คําพูดของเหมิงเหล่ยมันดูหยิ่งผยองมากๆ วิทยาลัยเวทมนตร์มังกรไฟนั้นเป็นวิทยาลัยเวทมนตร์อันดับ 3 ของจักรวรรดิ อาจารย์แต่ละคนที่สอนก็เก่งๆทั้งนั้น
แล้ว เหมิงเหล่ย ที่เป็นแค่จอมเวทระดับ3 กล้าพูดออกมาแบบนั้นได้ยังไงกัน
“ที”
ช่างหยิ่งผยองจริงๆ
ถึงแม้ว่าเขาจะหงุดหงิดแต่แอบบี้ก็เมินเฉยต่อไป เขาไม่พูดอะไรต่อแล้วออกจากหอพักไป
“ไอ้หมอนั้น มันแปลกๆแหะ” เหมิงเหล่ยสายหัว และในตอนนั้นเองที่เครื่องมือสื่อสารเวทมนตร์ของเขาดังขึ้นมา
บนโลกนี้มีเครื่องมือเวทมนตร์มากมาย และเครื่องมือเวทมนตร์สื่อสาร(หรือโทรศัพท์) นั้นก็เป็นหนึ่งในนั้น มันทําหน้าที่คล้ายคลึงกับโทรศัพท์บนโลก แต่ดูต่างออกไปมาก
โทรศัพท์เวทมนตร์นั้นไม่ใช่ว่าทําอะไรได้หลากหลายเหมือนโทรศัพท์จริงๆ ติดตั้งแอปหรือใช้โปรแกรมอะไรไม่ได้เลย การใช้งานของมันเพียงอย่างเดียวคือการสื่อสารแค่นั้น
เหมิงเหล่ยเปิดโทรศัพท์ออกมา แล้วแสงสว่างก็รวมตัวกันจนเป็นใบหน้าของคน คนๆนั้นคือไกด์ของคลาส และรุ่นพี่ของเขา เจนนี้ เลน
“รุ่นพี่ ว่ายังไงครับ”
เหมิงเหล่ยงงเล็กน้อย เจนนี้นั้นใกล้จะเรียนจบปีนี้แล้ว และก็กําลังยุ่งสุดๆ ปรกตินางไม่น่าจะโทรหาใครถ้าไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่จริงๆ
“เหมิงเหล่ย นี้เจ้าไม่ได้เข้าเรียนมา 3 วันแล้วอย่างงั้นเหรอ” รุ่นพี่เจนนี้ถามด้วยสีหน้าจริงจังมาก
“ใช่ครับทําไมเหรอครับ มีอะไรรึเปล่า” เหมิงเหล่ยงงไปพักนึง ฟังจากเสียงของพี่เจนนี้เหมือนกับว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นยังไงอย่างงั้น
“นี้เจ้ากําลังโดดเรียนอยู่นะรู้ตัวไหม” รุ่นพี่เจนนี้เริ่มการเทศนา “พึ่งสอบเสร็จมาได้ไม่กี่วัน แต่ก็เริ่มโดดเรียนซะแล้ว ข้าไม่อยากจะคิดเลยว่าเจ้าจะไปทําอะไรได้ในอนาคตน่ะ”
“เดี๋ยวก่อนนะครับ ไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนั้นเลยนี่ครับ ข้าจําได้ว่าทางวิทยาลัยไม่ได้มีกฏว่าต้องเข้าเรียนวิชาเวทมนตร์นี่ครับ ที่ข้าต้องทําก็แค่สอบให้ผ่านถูกต้องไหมครับ” เหมิงเหล่ยเริ่มงุนงงกว่าเดิม
“เจ้าก็พูดถูก ทางวิทยาลัยไม่ได้มีกฏอะไรแบบนั้น แต่กฏที่ว่านั้นมีไว้สําหรับนักเรียนปีโตนะ ถ้าเจ้าเป็นรุ่นพี่ปีโตที่เรียนเรื่องทฤษฎีเวทมนตร์กับพื้นฐานเวทมนตร์จนหมดแล้ว ก็ไม่จําเป็นต้องเข้าเรียนจริง” รุ่นพี่เจนนี้พูดต่อ “แต่นี่เจ้ายังเป็นเด็กปี 1 อยู่เลยนะ ยังระดับพื้นฐานอยู่เลย เจ้าจะโดดเรียนติดกัน 3 วันแบบนี้ไม่ได้ นี่เจ้ารู้เปล่าว่าหัวหน้าอาจารย์เดิร์ครู้เรื่องนี้แล้วนะ แล้วเข้าก็โกรธมากแล้วก็เรียกตัวเจ้าไปที่ห้องทํางานของเขาด้วย”
“จําเป็นต้องไปจริงๆเหรอครับ”
เหมิงเหล่ยนั้นตอนนี้ตารางแน่นมาก เขาสามารถเพิ่มค่าความสามารถ หลายร้อยแต้มได้ต่อวัน แล้วเขาจะเอาเวลาที่ไหนไปหาอาจารย์กัน
“ข้ามีหน้าที่แค่ส่งมอบข้อความของอาจารย์เท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าอยากจะไปรึเปล่า” รุ่นพี่เจนนี้ดูจะไม่พอใจกับนิสัยของเหมิงเหล่ยอย่างแรง “แต่ข้าก็อยากจะเตือนเจ้าไว้ด้วย ว่าหัวหน้าอาจารย์เดิร์คเองเป็นหัวหน้าอาจารย์ของระดับชั้นปี 1 เจ้าควรจะเคารพเขาด้วยการหาเวลาไป ถ้าเจ้ารู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควรก็ไปซะเถอะ” แล้วหลังจากนั้นนางก็วางสายไปทันที
“อ้า
ซวยชิบหายเลย”
เหมิงเหล่ยกรอกตา
ใช่แล้ว ยังไงเขาก็ต้องไป หัวหน้าอาจารย์เดิร์คนอร์เวย์ไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงขนาดนั้น ถ้าเขาไม่โผล่หะวไปละก็ เหมิงเหล่ยคงได้ตายอนาถแน่ๆ เขาไม่มีทางเลือก และเขาเองก็ไม่อยากเป็นเป้าสายตาของหัวหน้าอาจารย์ขนาดนั้น
หลังจากออกจากหอพักแล้ว เหมิงเหล่ยก็เดินทางไปที่ตึกเรียน แต่ในตอนนั้นเองที่มีครึ่งมมังกรตัวสูง เกล็ดสีเขียวมาหยุดเขาไว้ เขาคนนั้นคือแลนซ์ ครึ่งมังกรที่โดนเหมิงเหล่ยซัดหน้าหงายไปตอนวันสอบเข้า
“โย่ ว่าไงละไอ้เด็กอัจฉริยะหน้าใหม่เหมิงเหล่ย จะไปไหนอย่างงั้นเหรอ” แลนซ์มองเหมิงเหล่ยด้วยสีหน้าประหลาดๆ
เหมิงเหลยมองแล้วพูดสวนทันที “รอบที่แล้วยังไม่เข็ดหรือยังไง”
“เจ้ามนุษย์ต่ําต่อย กล้าดียังไงมาทําตัวหยิ่งผยอง ครั้งที่แล้วข้าไม่ทันได้ระวังตัว เจ้าเลยชนะไป เจ้าคิดว่าข้ากลัวงั้นเหรอ” แลนซ์โกรธจัด “ข้าจะบอกอะไรให้นะ ตอนนี้ข้าเพิ่มระดับของตัวเอง 2 ขั้นรวดจนตอนนี้กลายไปเป็นนักรบระดับ 5 แล้ว ถ้าเจ้าเก่งจริงก็มาเจอกับข้าในสนามซิ จะได้รู้ว่าการโดนกระทืบมันเป็นยังไง”
“นักรบระดับ 5 เหรอ”
เหมิงเหล่ยยักคิ้ว แล้วพูดด้วยความตกใจ “ถ้าข้าจําไม่ผิด เมื่อ 3 เดือนก่อนเจ้ายังเป็นระดับ 3 อยู่เลยนี่ แล้วนี่เจ้าเลื่อนมาเป็นระดับ 5 ใน 3 เดือนเนี่ยนะ”
“ข้านะ เป็นอัจฉริยะ 1 ในทศวรรษยังไงละ จะเอาข้าไปเปรียบเทียบกับมนุษย์กระจอกไม่ได้หรอก”
แลนซ์กอดอกแล้วพูด “ว่ายังไงละเจ้ามนุษย์หน้าโง่ เจ้ากล้ามาประลองกับข้าในสนามไหมละ หากเจ้าไม่กล้า ก็จงหลีกทางให้ข้าซะ แล้วก็ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
“เหอะๆ คิดว่าข้าไม่กล้าเหรอ”เหมิงเหล่ยยิ้ม “ข้าพร้อมใส่เดี่ยวกับเจ้าในสนามอยู่แล้วเแต่ข้าแค่เกรงว่าจะต่อยให้เจ็บมือฟรีเนี่ยซิ จะไม่มีอะไรมาเดิมพันกันหน่อยเลยรึไงนะ เจ้าคงเข้าใจใช่ไหม”
“เจ้าอยากได้ของเดิมพันซินะ หึม ก็ได้ ส่วนของข้า ข้าต้องการแค่ประกาศให้คนทั้งวิทยาลัยรู้ว่า อัจฉริยะหน้าโง่อย่างเจ้าหน่ะมันกระจอก เทียบกับพวกเราครึ่งมังกรไม่ได้”
“โอเค ได้” เหมิงเหล่ยยิ้ม ” แล้วเจ้าจะให้ข้าเท่าไรละ”
“10000 เหรียญทอง ถ้าเจ้าเอาชนะข้าได้ เจ้าเอาไปเลย 1 หมื่นเหรียญทอง แต่ถ้าเจ้าแพ้ หืมมม ข้าไม่เอาเงินจากเจ้าหรอก ข้าแค่ได้สะใจต่อหน้าทุกคนก็พอแล้ว”
“เอ๋” เหมิงเหล่ยขมวดคิ้ว
“เงินต้อยต่ําของเจ้าน่ะมันไม่มีความหมายกับข้าหรอก” แลนซ์พูดดั่งคนมีชัย “ข้าแค่อยากจะประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ถึงพรสวรรค์ของเจ้าจะดีแค่ไหน แต่เจ้าก็ยังเป็นได้แค่ไอ้สวะ”
“ข้าโอเคกับเงื่อนไขนะ แต่ 1หมื่นมันน้อยไปวะ” เหมิงเหล่ยยิ้ม “1แสนไปเลย ถ้าเจ้ายินดีจ่ายค่า 1 แสนถ้าข้าชนะก็ได้เลย”
“1แสนอย่างงั้นเหรอ นี่เจ้าจะปล้นกันรึไง” แลนซ์หัวเสีย “50000 ได้เท่านี้ละ”
“หืม อยากจะลากข้าไปตบกลางสี่แยกแต่กลับมีเงินไม่ถึงแบบนี้ จะไปทําอะไรได้”เหมิงเหล่ยหัวเราะ “ก็ได้ 50000เหรียญทองก็เอาวะ”