บทที่ 145.1 โปรมแกรมดูงานเจ้อเจีย(1)
ผู้แปล loop
ณ เวลาอาหารกลางวัน.
ดงซูบินเพิ่งจะก้าวออกจากห้องทำงานของเขาไปที่โรงอาหารเมื่อเขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับโครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของจังหวัดที่ถูกส่งมาให้เดือนกุมภาพันธ์ คราวนี้สำนักของพวกเขาจะไปที่จังหวัดเจ้อเจียงและมีเพียง 10 แห่งเท่านั้นที่ได้รับคำเชิญ อันที่จริงโปรแกรมการแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องไร้สาระมากๆ จริงๆแล้วมันเป็นข้อแก้ตัวที่จะไปเที่ยววันหยุด สำนักงานสาขาเขตตะวันตกจะจัดโปรแกรมนี้เป็นประจำทุกปี เนื่องจากสำนักงานความมั่นคงของรัฐเป็นหน่วยงานเฉพาะพวกเขาไม่สามารถไปต่างประเทศได้เหมือนกับหน่วยงานอื่นของรัฐ พวกเขาสามารถเลือกที่จะไปดูงานที่จังหวัดอื่นเท่านั้น
“ พี่จ้วง” ดงซูบินเรียกหา ฉางจ้วง “ ปีที่แล้วกำหนดการถูกกำหนดอย่างไรบ้าง? สำนักงานกิจการทั่วไปของเราจะเข้าร่วมหรือไม่”
ฉางจ้วงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า “ เราไม่เคยเข้าร่วมมาก่อนเลยค่ะ คนที่ได้ไปส่วนใหญ่คือหัวหน้าที่มีส่วนร่วมสำคัญในสาขาหรือ……” เสียงของฉางจ้วงก็นุ่มนวลขึ้น “ ……ไม่ก็ใครที่พอจะมีเส้นสายใหญ่โต เอ่อ……หัวหน้าซูบินบางทีหัวหน้าอาจได้ไปในปีนี้” มีใครอีกไหมในสาขาที่มีผลงานมากกว่าดงซูบินในปีนี้ เส้นสายหรอ? หัวหน้าซูบินสนิทสนมกับผู้นำทั้งหมด อันดับ? ซูบินหัวหน้าก็เป็นรองหัวหน้าส่วน นั่นเป็นเหตุผลที่ฉางจ้วง รู้สึกว่าดงซูบินมีคุณสมบัติที่จะได้รับเลือก
ดงซูบินก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อเขาคิดถึงการโต้เถียงกับหยานเหล่ยเขาก็เริ่มไม่มั่นใจแล้ว
หลังอาหารกลางวัน.
ดงซูบิน ไปที่สำนักงานรองสำนักเสี่ยวหยาน “ หัวหน้าเสี่ยว ขออนุญาตผมมาที่นี้เพื่อรับการลงโทษ”
เสี่ยวหยานผู้ซึ่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง “ ความผิดอะไร? นายจะไปทำอะไรผิดได้”
ดงซูบินรู้สึกได้ว่าเสี่ยวหยานกำลังโกรธ เขาล้างคอและตอบกลับ “ หัวหน้าเสี่ยวครับมันเป็นอย่างนี้ เลขานุการหยาง เดินทางมาที่สำนักงานกิจการทั่วไปเมื่อเช้านี้และสั่งให้ข้าราชการใหม่ทำงาน เขาไม่ได้พูดว่าเมื่อเขาต้องการงานที่จะต้องทำให้เสร็จและเพียงแค่ให้เอกสารกับวังซินให้เธอพิมพ์เท่านั้น แต่หลังจาก 5 นาทีเขากลับมาและเห็นว่างานไม่เสร็จ เขาเริ่มโวยวายในฝ่ายธุรการและทำให้ลูกน้องของผมร้องไห้ คำที่เขาใช้นั้นทำให้ หัวหน้าและผมดูเป็นคนร้ายกาจ ผมไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเจ้าหน้าที่ของแผนกกิจการทั่วไปจึงต้องได้รับการลงโทษทางวินัย”
เสี่ยวหลานเงยหน้าขึ้นมองเขา “ สิ่งนี้เรียกว่าการยอมรับความผิดของนายหรือ”
“ ความผิด……ผมก็เป็นฝ่ายผิดด้วย ผมยอมรับว่าผมไม่ควรรีบและปะทะคารมกับเขา “
เสี่ยวหยานวางปากกาของเธอแล้วมองที่ดงซูบิน:“ ตะกี้ฉันได้ยินว่า นายปะทะคารมกับเลขาธิการหยานหรอ? คุณไม่เข้าใจความหมายของการข้ารายการชั้นผู้น้อยหรือยังไง? แต่นายเพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งและตอนนี้นายก็สร้างปัญหาอีกครั้ง เมื่อไหร่นายจะเปลี่ยนนิสียที่ไม่เหมาะสมเช่นนร่ อา?”
ดงซูบินยิ้มอย่างน่าอายและช่วยเสี่ยวหยานเทน้ำหนึ่งแก้ว “ ครับ อืม หัวหน้าพูดถูก”
เสี่ยวหยาน เคาะโต๊ะของเธอ “ เป็นเรื่องยากหรอที่จะสนิทสนมกับเลขาธิการหยานเอาไว้? แม้ว่านายจะไม่มีความสุขกับเขา แต่นายก็หลีกเลี่ยงการเผชิญกับหมอนั้นไม่ได้อยู่ดี” เป็นเพราะเขาคือดงซูบิน ถ้าไม่เช่นนั้นเสี่ยวหยาง ก็จะไม่พูดอะไรมากมายเช่นนี้เป็นแน่
ดงซูบินรู้สึกว่าเขาถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ “ หัวหน้าเสี่ยว ผมไม่ได้หาข้อแก้ตัว ความจริงก็คือผมต้องการที่จะเข้ากันได้ดีกับเลขานุการหยาน แต่เช้านี้เมื่อผมกำลังนั้งทำงาน เขาเข้ามาและทำตัวเหมือนเขาเป็นหัวหน้าของผมสั่งให้ผมทำสิ่งต่าง ๆ ผมไม่สามารถหาคำอธิบายทัศนคติของเขาได้ ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร? ผมต้องยอมแพ้และอดทนกับเขา แต่เขาไปที่สำนักงานของผมและเริ่มตะโกนใส่ลูกน้องของผม เขาเองนั้นแหละที่สั่งการไม่ชัดเจนเอง ผมจะให้เขาทำสิ่งที่เขาต้องการในสำนักงานของผมได้อย่างไร เขาเป็นคนที่ไม่ไว้หน้าผมและต้องการจะโยนความผิดหลายอย่างให้กับผมอีกด้วย!”
เสี่ยวหยาน จ้องไปที่ดงซูบิน “ นายเต็มไปด้วยเหตุผล!”
ดงซูบินซึ่งได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจาก เสี่ยวหยานและตัวของเสี่ยวหยานพยายามอย่างหนักที่จะดึงดงซูบินให้มารับตำแหน่งนี้ อีกทั้งดงซูบินก็พยายามทำงานอย่างหนักหน่วง เขาทำให้แผนกกิจการทั่วไปภูมิใจเสี่ยวหยาง ไว้วางใจ ดงซูบินอย่างเต็มที่ หยางเหล่ยเอง เขาเพิ่งย้ายมาสาขาและไม่มีผลงานอะไรเลย เขาปะทะกับซูบินหลายครั้ง ไม่สำคัญว่าใครถูกหรือผิดเสี่ยวหยาง มีความประทับใจอย่างมากกับหยางเหล่ย และซูบินเองก็ยังเด็กและยังไม่บรรลุนิติภาวะ เขาหุนหันพลันแล่น แต่ซูบินก็มีความสามารถ เขาสามารถแก้ปัญหาให้กับหัวหน้าได้ หยางเหล่ยเองเขาไม่มีความสามารถและทุกคนมีอคติกับเขา เสี่ยวหยาน รู้สึกว่าหยางเหล่ยนั้นทำมากเกินไปในเหตุการณ์นี้ เขาไม่เหมาะที่จะเป็นเลขานุการของหัวหน้า เขาจะทำให้หัวหน้าคนอื่นขุ่นเคือง และจะทำให้ชีวิตของเขาอยู่ยาก ไม่มีใครอยากจะทำงานกับหยางเหล่ย
แต่เสี่ยวหยานยังคงต้องการที่จะสอนบทเรียนให้กับดงซูบิน “ หยุดพูดเกี่ยวกับคนอื่น ทำไมทุกคนสามารถเข้ากันได้ดีกับเลขานุการหยาง ยกเว้นนาย ปัญหาก็อยู่ในตัวนายเช่นกัน!”
“ ……ใช่ครับ หัวหน้าพูดถูก”
ในระหว่างการพบปะคณะกรรมการสาขาของสาขา เสี่ยวหยานได้ไปที่ด้านข้างของเซงอังเกานี่เป็นผลงานของดงซูบินด้วย ในช่วงเหตุการณ์การประดิษฐ์ตัวอักษรดงซูบินทำให้เสี่ยวหยาน และ เซงอังเกา สนิทสนมกันมากขึ้น นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเสี่ยวหยาน ไม่ต้องการเห็นดงซูบินหลุดไม่ถูกกับหยานเหล่ยเพราะดงซูบินเป็นผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ของเธอและหยานเหล่ย เป็นมือขวาของหัวหน้าสำนักงานอย่างเซงอังเกา หากการทั้งคู่ปะทะคารมกันรุนแรงมากยิ่งขึ้นก็จะทำให้หัวหน้าของทั้งสองฝ่ายขายหน้าได้เช่นกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนเช้านั้นยากเกินไปที่หัวหน้าอย่างเธอจะยอมรับ มันไม่เหมาะสมสำหรับพวกเขาที่จะตบโต๊ะและทะเลาะกันต่อหน้าลูกน้อง
“ ครั้งหน้าก็คิดให้มากๆ อย่าหัวแข็งให้มานัก นายจะเสียใจถ้านายถูกลงโทษเพราะเหตุการณ์ในเช้านี้” เสี่ยวหยานเอื้อมมือไปจิบชาที่ดงซูบิน “ลองทบทวนการกระทำของนายดู”
ดงซูบินเองก็รู้สึกไม่สบายใจ “ ผมต้องทำให้หัวหน้าเซงประทับใจให้ได้ในตัวผมครับ”
เสี่ยวหยานตอบว่า:“ ในที่สุดนายก็คิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ในตอนนี้? ก่อนหน้านี้นายคิดอะไรอยู่ เลขานุการของหัวหน้าเซงได้ปะทะกับนายสองครั้งแล้ว นายบอกฉันว่าเขาจะมีความประทับใจที่ดีกับนายใช่ไหม?”
ในเวลาเดียวกัน.
หยานเหล่ยอยู่ในสำนักงานของเซงอังเกา
“ หัวหน้าเซงสำนักงานกิจการทั่วไปไม่ให้ความร่วมมือกับผมมันมากเกินไปแล้ว หากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไปมันจะยากสำหรับผมที่จะทำงานต่อไปนะครับ”
เซงอังเกามองดูหยางเหล่ย:“ เกิดอะไรขึ้น” เซงอังเกาเพิ่งย้ายมาใหม่และครองตำแหน่งสูงสุดในสาขา นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้รับข่าวเร็วเท่าเสี่ยวหยาน
หยานเหล่ย รู้ว่า เซงอังเกาไม่ชอบฟังเรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้ทั้งหมด แต่เขาโกรธมากในตอนนี้ “ มันเป็นหัวหน้าซูบิน ใช่. ผมต้องยอมรับว่าเขามีความสามารถและมีผลงานที่โดดเด่น แต่เขาไม่เคารพคุณและไม่สนใจผม ก่อนหน้านี้ผมได้ขอให้พนักงานที่สำนักงานกิจการทั่วไปพิมพ์เอกสาร แต่พวกเขาพิมพ์ช้ามากและไม่สามารถพิมพ์เอกสารอย่างง่ายได้ในครึ่งวัน ผมโกรธมากและดุพนักงานคนนั้น ทันใดนั้นดงซูบินก็ออกมาจากห้องทำงานของเขาและเริ่มโต้เถียงกับผม เขาบอกว่านี่เป็นวิธีที่พวกเขาทำงานและผมไม่มีสิทธิ์ที่จะด่าว่าคนของเขา เขาไม่มีเหตุผล!”
เซงอังเกาขมวดคิ้ว
หยานเหล่ยยังคงพูดต่อไป “ หัวหน้าเซง หัวหน้าเห็นผมอารมณ์เสียครั้งล่าสุดมื่อไหร่กัน? แต่ดงซูบินนั้นทำมากเกินไป เขาไม่ได้ให้ความเคารพผู้อื่นเพียงเพราะเขาทำงานได้ดี!”
“ นายกำลังพูดความจริงเหรอ?”
“ใช่. หลายคนเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น”
นี่เป็นหน้าที่ของเลขานุการ เลขานุการอาจไม่สามารถทำงานของเขาหรือเธอได้ดี แต่เมื่อมันมาถึงการสร้างปัญหาให้กับคนอื่นมันจะเป็นเค้กชิ้นหนึ่งสำหรับพวกเขา
เซงอังเกาเองก็เป็นผู้นำที่ดี แต่ไม่ว่าเขาจะเก่งแค่ไหนเขาก็ยังมีอคติอยู่ หยานเหล่ยยังไม่ได้บอกความจริงกับเขาและเซงอังเกา รู้สึกว่าดงซูบินทำมากเกินไป เพราะหยานเหล่ย ทำงานให้กับเซงอังเกามาหลายปีแล้วและเขาไม่เคยเห็นหยางเหล่ยเป็นแบบนี้ มาก่อนเลย เขาคิดว่าซูบินต้องพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้หยางเหล่ยโกรธแน่ๆ
‘ซูบินคนนี้ยังเด็กเกินไป!’
เซงอังเกาส่ายหัว เขาไม่ได้คิดว่ามันมากเกินไปเพราะเขายังชอบความสามารถของดงซูบิน ถ้าไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สนับสนุนข้อเสนอของเสี่ยวหยาน เพื่อเลื่อนตำแหน่งให้กับดงซูบินให้เป็นรองหัวหน้าส่วน เหตุการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความประทับใจของเซงอังเกา ต่อดงซูบินมากนัก เพราะทุกคนมีข้อบกพร่อง หนุ่มสาวมักจะหุนหันพลันแล่น? เพียงแค่ให้เขาถูกลงโทษและเขาจะเปลี่ยนเป็นทำตัวดีขึ้นเซงอังเกาก็รู้ว่าดงซูบินเพิ่งเริ่มทำงานและนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเขาอาจไร้ประสบการณ์ เขาไม่ได้พิจารณาผลกระทบของการกระทำของเขา เซงอังเกาคิดอยู่พักหนึ่งแล้วคิดในใจ
……
ดงซูบินเป็นห่วงว่าเขาจะทิ้งความประทับใจที่ไม่ดีไว้กับ เซงอังเกาหลังจากออกจากห้องทำงานของ เสี่ยวหยานเขาไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าเซง
ก๊อกก๊อก. ดงซูบินเคาะประตู
“เข้ามา.”
ดงซูบินเข้ามาในสำนักงานพร้อมกับหน้าตาที่เศร้าสร้อย “ หัวหน้าเซงครับ ผมมาที่นี่เพื่อยอมรับความผิดของผม”
หยานเหล่ยก็อยู่ในสำนักงาน เขากำลังเรียงเอกสารให้สำหรับเซงอังเกา เมื่อเขาเห็นดงซูบินเขาก็เยาะเย้ย
เซงอังเกาไม่ได้ขอให้ ดงซูบินนั่งลงและไม่สนใจเขา เขาดูที่ดงซูบินและทำงานต่อไป
เมื่อดงซูบินมาที่สำนักงานของเสี่ยวหยาน เธอก็เขียนอะไรบางอย่างเช่นกัน นั่นเป็นเพราะเธอปฏิบัติต่อดงซูบินในฐานะคนของเธอเอง แต่เซงอังเกาตั้งใจทำสิ่งที่ยากกว่าสำหรับดงซูบิน ในตอนนี้ดงซูฐินโกรธและมองไปที่หยางเหล่ยมันไม่ยากที่จะคาดเดา หมอนั้นต้องบ่นกับหัวหน้าเซง และเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเล่าเรื่องนั้น ถ้าไม่ใช่หัวหน้าเซงจะไม่ปฏิบัติต่อคนที่เคยช่วยเขาเช่นนี้อย่างแน่นอน!
หยานเหล่ย! นี่ไม่ใช่จุดจบระหว่างเรา!
ดงซูบิน ทำได้แค่ยืนรอแล้ว
ประมาณ 5 ถึง 6 นาทีต่อมา เซงอังเกาเงยหน้าขึ้น “ ซูบิน มันคืออะไร?”
หยานเหล่ยยืนเคียงข้างมองที่ดงซูบิน