ตอนที่ 10 มุ่งหน้าสู่ซานติเกีย
บรรยากาศในห้องตอนนี้มันดูน่าอึดอัดมาก ไม่มีใครกล้าขยับแม้แต่น้อยด้วยความกลัวว่าตนเองจะเป็นคนที่ก่อให้เกิดสัญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้น
ไนเรลยังคงเล็งปืนไปที่หัวของผู้กองอีธานและถามเขา “ยังอยากได้อยู่ไหม?”
ผู้กองอีธานไม่ตอบแต่ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากตอบ แต่เป็นเพราะเขาไม่กล้าพูดออกมา ถ้าเขาบอกว่าต้องการอยู่ก็ไม่รู้ว่าไนเรลจะยิงเขาทิ้งทันทีเลยหรือไม่ แต่ถ้าเขาบอกไม่ไปศักดิ์ศรีการเป็นผู้กองและผู้นำทีมของเขาก็หมดลงอย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรคนแบบเขาก็ยังรักชีวิตมากกว่าอยู่
เขากำลังจะอ้าปากพูดก็มีเสียงดังมาจากบันไดชั้นที่สอง เป็นเสียงของชายวัยกลางคนที่กล่าวออกมา
“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว!” เขาเดินลงมาพร้อมกับเด็กสาวอายุ 10 ขวบ มัดผมเปียสองข้าง
ผู้กองอีธานเห็นแบบนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนทักทายทันที ด้วยความเคารพ ราวกับว่าไม่มีปืนจ่อหัวเขาอยู่ “ท่านประธานซา”
ประธานซามองไปที่ไนเรลที่ยังคงไม่ลดปืนลง เขานั่งลงและเด็กหญิงก็นั่งลงที่ด้านข้างเขา
และเขาก็หันไปกล่าวกับผู้กองอีธาน “ผู้กองพาคนของคุณออกไปก่อนเดี๋ยวผมจะคุยกับเขาเอง”
“แต่…” ผู้กองอีธานพยายามพูดห้ามไม่ให้พวกเขาอยู่คุยกัน 2 คนเพราะไม่รู้ว่าถ้าไอ้เด็กนี่เกิดบ้าอะไรประธานซาขึ้นมา ชีวิตเขาจบแน่
แต่เขาก็ต้องกลืนคำพูดนั้นไปเพราะสายตาที่มองมาของประธานซา
ผู้กองอีธานถอนหายใจและหันไปสั่งจ่าลุคและลูกน้องให้ออกจากห้อง ไนเรลเองก็สั่งให้ดามินและดาลิธออกไปแต่เขาให้นิเรียนั่งข้าง ๆ แทน
ส่วนคารอนและไมน่าที่ยืนงงอยู่ไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งสองจึงเดินออกมา
“เอาละ ฉันจะแนะนำตัวเองก่อนก็แล้วกันตามมารยาทชนชั้นสูง ฉันคือประธานซา”
“ผมรู้ว่าคุณเป็นใคร ผมไนเรล อาโรเดีย และด้านข้างน้องสาวของผม นิเรีย อาโรเดีย” ไนเรลเก็บปืนเข้าซองข้างเอวและกล่าวด้วยความเคารพ
ถ้าจะพูดถึงประธานซาก็ต้องเป็นราชายักษ์ซามูเอล มนุษย์ชั้นสูงผู้มีความสามารถด้านกลายร่าง [การขยายร่าง s]
ร่างกายเขาสามารถขยายใหญ่ได้ราวกับยักษ์ ทั้งน้ำหนักและมวลของร่างกายจะมากขึ้นอีกทั้งยังมีพละกำลังที่มหาศาลมาก
ราชายักษ์ซามูเอล ผู้เป็นหนึ่งในเสาหลักของค่ายลี้ภัยที่เขาบอกกับแม็ค และก็เป็นอีกเหตุผลที่ค่ายแห่งนี้ ภายหลังจะถูกเรียกว่าค่ายของยักษ์ ซึ่งมาจากการที่ราชายักษ์ซามูเอลค่อยปกป้องค่ายแห่งนี้
ซึ่งนอกจากที่เขามีพลังที่แข็งแกร่งแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือเขารวยมาก
เขาไม่คิดเลยว่าคนพวกนี้คุ้มกันจะเป็นประธานซา
“เจ้ามาจากตระกูลอาโรเดียสินะ”
ไนเรลพยักหน้าตอบถึงอย่างไร เรื่องที่ตระกูลของเขาเป็นตัวตลกในหมู่ชนชั้นสูง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ประธานซาจะเคยได้ยินผ่านมาบ้าง
แต่เขาก็ไม่ได้โกรธปู่ของเขาที่ทำแบบนั้น จนเป็นเหตุให้ตระกูลตกอับ
“ตระกูลอาโรเดียโชคดีที่มีพวกเจ้าสองพี่น้อง อีกไม่นานความรุ่งโรจน์ก็จะกลับมา สงครามและการล่มสลายจะสร้างราชาขึ้นมา…” ดูเหมือนประธานซาจะรำลึกอดีตอยู่
หลังจากนั้นเขาก็กล่าวออกมา “ข้าจะขอพักที่นี่สักคืนเจ้าคงไม่ว่าสินะ”
“ผมไม่มีปัญหา” เมื่อไนเรลกล่าวประธานซาก็ยิ้มออกมาแต่เมื่อได้ฟังคำพูดต่อมาของไนเรลปากเขาก็กระตุกเล็กน้อย
“แต่ขอระเบิดมือ 4 ลูกกับปืนสไนเปอร์ 1 กระบอกและกระสุนอีก 100 นัดเป็นการแลกเปลี่ยน”
“ข้าไม่มีไม่มีปืนพวกนั้นหรอก” ประธานซากล่าว
“แต่พวกทหารด้านนอกมี”
ประธานซาเงียบไปเล็กน้อย ไนเรลเองก็ไม่รอช้ารีบพูดบางอย่างออกมา “ไม่ต้องห่วงผมรู้ว่าปืนมันสำคัญและการแลกที่พักแค่ 1 คืนมันไม่คุ้มค่าแต่ผมมีข้อมูลอีกอย่างใช้ในการแลกเปลี่ยนได้”
“หืม ข้อมูลอะไร?” ประธานซาสงสัยข่าวอะไรที่ไนเรลคิดว่ามันคุ้มค่า
ไนเรลยิ้มและกระซิบให้แค่ในห้องนี้ได้ยินเท่านั้น เพราะเขารู้ว่าผู้กองอีธานและจ่าลุคจะต้องแอบฟังอยู่ เพื่อคอยช่วยเหลือประธานซาถ้ามีอะไรเกิดขึ้น
ประธานซาที่ได้ฟังก็ถึงกับตกใจ และรีบถามไนเรล “เรื่องจริง!”
“จริงทุกคำพูด” ไนเรลตอบอย่างมั่นใจ
“ข้าจะลองเชื่อดู” ประธานซากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม และเขาก็หันไปเรียกผู้กองอีธานให้เอาของที่ไนเรลต้องการมาให้
ผู้กองอีธานรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขากะว่าจะปล้นของไนเรลเพราะอาวุธและกระสุนถูกใช้ไปเกือบจะหมดแล้วตอนเข้าไปช่วยประธานซาออกมาจากในเมือง
ถึงแบบนั้นเขาก็ยังทำตามที่ประธานซาบอกเพราะประธานซาสัญญาว่าจะตอบแทนคืนที่หลัง แต่เขาก็ยังมองมาที่ไนเรลด้วยความปฏิปักษ์
และแล้วพอ 6 โมงเย็นก็มีสัญญาณฉุกเฉินประกาศซ้ำถึงค่ายลี้ภัยที่ห่าง 100 กิโลเมตรเพื่อรวบรวมคน
“ประกาศจากทางรัฐบาลเรามีค่ายลี้ภัยที่ปลอดภัย มีอาหารและน้ำให้ เส้นทางคือ 100 กิโลเมตรมุ่งลงใต้ ถนนหลวง 105”
“ประกาศจากทางรัฐบาลเรามีค่ายลี้ภัยที่ปลอดภัย มีอาหารและน้ำให้ เส้นทางคือ 100 กิโลเมตรมุ่งลงใต้ ถนนหลวง 105”
ประกาศแบบนี้ถูกประกาศซ้ำออกมาไนเรลสามาารถได้ยินอย่างชัดเจนจากวิทยุของทหาร
นิเรียที่ใช้โทรศัพท์ของเธอรับสัญญาณประกาศฉุกเฉินนี้เช่นกัน เมื่อฟังไปสักพักนิเรียก็ปิดมันลง
ขณะที่ไมน่าและคารอนยืนอยู่ ไนเรลก็กล่าวออกไป “ใครเป็นคนให้พวกเขาเข้ามา”
ทั้งสองคนเงียบไม่ตอบอะไร
แต่สักพัก อยู่ ๆ ไมน่าเธอชี้ไปที่ไนเรลและพูดขึ้นมา “นายมันเห็นแก่ตัว”
จากนั้นก็ชี้ไปที่นิเรียและด่าเธออย่างแรง “เธอด้วย เธอฆ่าซินน่า ทั้งสองคนฆ่าซินน่า พวกนายด้วยคารอนและดามิน ส่วนเธอก็ด้วยดาลิธ”
ไมน่าซุดลงนั่งกับพื้นร้องไห้ทั้งน้ำตาราวกับคนเสียสติ “ทั้งที่ซินน่าเป็นเพื่อนเเละเรียกเธอว่าลูกพี่มาตลอด ฮือ ๆ ฮื้อ ๆ ฉัน…ฉันจะไปหาพ่อกับแม่”
ดูเหมือนว่าไมน่าจะรู้ว่าพ่อแม่ของเธออยู่ที่ไหน ส่วนนิเรียที่ได้ยินไมน่าพูดกับเธอแบบนั้นก็ถึงกับมือสั่นทันที
ไนเรลลุกขึ้นยืนจากนั้นก็เดินไปหาไมน่า เขามองไปที่เธอจากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยความเย็นชา “พรุ่งนี้เธอไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
จากนั้นเขาก็เดินออกไปทันที
เขารู้ว่าคนให้ทหารพวกนี้เข้ามาในบ้านคงจะเป็นไมน่า ขณะที่คารอนก็คงจะพยายามห้ามแล้วแต่ก็ถูกต่อยโดยพวกนั้น
คารอนเป็นแค่เด็ก 14 จะไปสู้อะไรพวกนั้นได้
หลังจากไนเรลเดินออกไปแล้วตอนนี้ทุกคนไม่มีใครพูดอะไร นิเรียเดินออกมาเช่นกันเหลือทิ้งไว้แค่ พวกเพื่อนเธอทั้งสี่คน
และค่ำคืนนี้ก็ผ่านไปทั้งแบบนี้
ไนเรลและนิเรียขึ้นไปนั่งกันอยู่ที่หลังคาของบ้าน เขาไม่ได้พูดอะไรจนกระทั้งนิเรียปรับอารมณ์ของตัวเอง
นิเรียหันไปถามไนเรล “พี่ชาย ที่พี่พูดกับคนที่ชื่อประธานซา…”
“อืม มันมีน้ำมันเถื่อนที่พวกนอกกฏหมายได้ซ่อนไว้อยู่”
สิ่งที่เขาบอกกับประธานซานั้นคือน้ำมันจำนวนมหาศาลอยู่แถวป่านอกเมืองไปไปประมาน 50 กิโลเมตรจากทางค่ายของยักษ์ ภายหลังมันจะระเบิดอย่างรุนแรง จนเกิดเป็นไฟป่าขนาดใหญ่
ในอีกไม่นานเชื้อเพลิง พลังงาน อาหารจะมีค่าเป็นอย่างมากแต่เขาก็ไม่เสียดาย ยังไงเขาก็ไม่สามารถเอามันมาได้อยู่แล้ว สู้เอามันมาบอกกับประธานซาดีกว่า
ไนเรลและนิเรียมองไปที่ทหารกำลังตั้งเต็นท์และก่อกองไฟทำอาหารกันอยู่หน้าบ้าน
ตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มตก แสงมันเริ่มน้อยลงทุกทีไฟรอบบ้านก็สว่างขึ้นมา
“ไปนอนกันเถอะ เดี่ยวไฟก็ดับแล้ว” ไนเรลและนิเรียกลับเข้าไปนอนและก็เป็นแบบที่ไนเรลกล่าวทั้งไฟและน้ำถูกตัดไปในคืนนี้
……………………………………………………………………
เช้าวันต่อมากองทหารก็เตรียมตัวที่จะออกไปแต่เช้า เพื่อไปให้ถึงค่ายของยักษ์ทางตอนใต้ให้ได้ก่อนเย็น
ไนเรลก็มายืนส่งประธานซาด้วยเช่นกัน
ประธานซาชวนให้ไนเรลไปพร้อมกันกับพวกเขาแต่ไนเรลไม่ไปเพราะ เขามีบางอย่างที่ต้องทำก่อน
อีกอย่างไม่มีใครรับประกันได้ว่ามันจะปลอดภัย เพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้ประธานซาจะวิวัฒนาการ และกลายเป็นคนชั้นสูงในเหตุการครั้งนี้
ดาลิธที่อยู่ด้านข้างก็พยายามห้ามไมน่าแต่เธอก็ไม่ฟัง คารอนที่ยืนเงียบ ๆ ก็ตัดสินใจจะไปเป็นเพื่อนไมน่า
ไนเรลไม่ได้มองไปที่ไมน่าเลยแม้แต่น้อยและก่อนที่ประธานซาจะไปเขาก็ได้ให้นามบัติของตัวเองไว้กับไนเรล และขอบคุณเรื่องที่ไนเรลบอกเขาเกี่ยวกับน้ำมันเถื่อนพวกนั้น
และนี่คือสิ่งที่เขาหวังไว้จริง ๆ นั้นก็คือการสานสัมพันธ์กับประธานซา
หลังจากที่มองขบวนรถฮัมวีเคลื่อนตัวออกไป ไนเรลก็สั่งให้ทุกคนเตรียมเก็บข้าวของ เพราะเขาจะออกจากที่บ้านหลังนี้และไปที่เมืองซานติเกีย เพื่อไปช่วยปู่ของเขาที่ถูกขังอยู่ในเมือง
ตอนนี้เกิดเรื่องมาได้ 4 วันภายในเมืองนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก มันอาจจะมีซอมบี้ที่วิวัฒนาการเป็นขั้น 2 แล้วก็ได้
พวกเข้าเก็บเอาอาหารกระป๋องและน้ำขึ้นรถออฟโรด อาหารที่ขนไปนั้นน่าจะเพียงพอให้ทุกคนกินกันได้ 1 เดือนเลยทีเดียว
ตอนนี้ในกลุ่มเหลือแค่ ไนเรล นิเรีย ดามินและดาลิธ 4 คนเท่านั้น พวกเขามองไปที่บ้านหลังนี้และมองไปที่นอกรั้วแบบกังวล
การที่พวกเขาออกจากบ้านที่ปลอดภัยไปยังที่อันตรายนั้น มันทำให้พวกเขากลัว
แต่พวกเขาก็ต้องตามไนเรลไปเพราะถ้าที่นี่ไม่มีไนเรลแล้วเด็กแบบพวกเขาก็คงจะต้องตายในไม่กี่วันแน่
“ไปกันเถอะ!” เขาขึ้นรถทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลาทั้งสามคนก็ขึ้นไปบนรถ
รถขับออกมาจากบ้านพวกเขามองไปรอบ ๆ ที่นี่ยังคงมีคนที่รอดชีวิตอยู่หลายคน
บางคนก็กำลังเก็บของและออกเดินทางไปที่ค่ายลี้ภัย ในระหว่างทางนั้น พวกเขาก็เห็นคนที่พยายามวิ่งหนีซอมบี้ บางคนก็กำลังจะโดนรุมโดยซอมบี้
เมื่อรถออฟโรดมาถึงถนนใหญ่ ที่เต็มไปด้วยศพซอมบี้และปอกกระสุนปืนของพวกทหาร อยู่ ๆ ก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเดินมาขวางหน้ารถเขาไว้และพยายามร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยหนูด้วย ๆ ช่วยหนูด้วย ๆ” ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ มันดูเหมือนกับมีชีวิตที่กำลังกินเนื้อและผิวหนังของเธออย่างช้า ๆ ทั้งชุดของเธอเต็มไปด้วยเมือกเหนียว ๆ
ดาลิธที่เห็นแบบเด็กสาวคนนั้นก็กำลังจะลงไปช่วยเธอแต่ ไนเรลก็ห้ามไว้ก่อน “ถ้าไม่อยากตายก็อย่าลงไป”
นิเรียที่ตอนนี้ใช้ความสามารถของเธอ [ดวงตาเทพ S] มองไปที่ตะไคล่น้ำนั้นอย่างกลัวและถามไนเรลขึ้นมา “มันคืออะไรคะพี่ชาย?”
“มันคือตะไคร่พิษที่จะเติบโตโดยการกินเซลล์ของสิ่งมีชีวิต”
เมื่อกล่าวเสร็จก็ขับรถอ้อมเด็กคนนั้นไป เด็กสาวเห็นว่าคนบนรถไม่ยอมช่วยเธอ เธอจึงพยายามวิ่งตามรถแต่ก็ไม่ทัน
จนเธอหมดแรงล้มลงกลางถนน ร่างกายของเธอค่อย ๆ ถูกตะไคร่พิษกินอย่างช้า ๆ และเธอพยายามนึกถึงเรื่องเมื่อเช้าด้วยความหิวเธอจึงกินน้ำที่อยู่ในแม่น้ำไปมันมีตะไคร่สีเขียว ๆ ลอยอยู่ และเมื่อเธอดื่มน้ำพอผ่านไปสักพักก็กลายเป็นแบบนี้
น้ำตาเธอค่อย ๆ ไหลออกมา
“แม่คะ…” เธอพูดออกมาด้วยแรงเฮือกสุดท้ายจากนั้นหลับไปชั่วนิรันดร์
แต่แล้วในอีกหลายวันต่อจากนี้ร่างกายของเธอก็จะมีดอกไม้และพืชอีกหลายชนิดจะงอกและแผ่ขยายจากร่างของเธอ พืชพวกนี้จะเติบใหญ่รากจะทำรายพื้นผิวถนนที่มนุษย์สร้างขึ้น
สัตว์กินพืชกลายพันธุ์ต่าง ๆ ก็จะกินพืชเหล่านี้เกิดเป็นวงจรชีวิตขึ้นมา
ทุกชีวิตมีหน้าที่และวัฏจักรที่ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติของผืนดินและสายน้ำ