ตอนที่ 24 พวกไฮยีน่าและกลุ่มอิทธิพล
“นายเป็นใคร มาจากค่ายไหน และมาทำอะไรแถวนี้” เขาถามออกไปด้วยเสียงที่เยือกเย็นยิ่งกว่าอากาศรอบข้างเสียอีก
ชายคนนั้นสั่นไปด้วยความกลัวมันพยายามร้องขอชีวิตกับเขาราวกับคนเสียสติ ไม่สนใจตอบคำถามของเขา
ไนเรลจึงเรียกสติผู้ชายคนนั้นด้วยการเหยียบไปที่ขาอย่างแรง
“อ๊าคคค!!!” ชายคนนั้นแหกปากร้องด้วยความเจ็บปวดและกอดไปที่ขาดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย
“นายเป็นใคร มาจากค่ายไหน และมาทำอะไรแถวนี้” เขาถามออกไปด้วยเสียงที่เยือกเย็นอีกครั้ง
ในครั้งนี้ดูเหมือนชายคนนั้นจะได้สติความเจ็บปวดที่ขา เขากลัวว่าปีศาจตนนี้จะหักขาเขาอีกจึงตอบคำถามทุกคำถามที่ไนเรลถามออกมา
กลุ่มของชายคนนั้นมาจากโรงงานฆ่าสัตว์นอกเมืองแห่งหนึ่ง ปกครองโดยชายผู้เคยเป็นคนฆ่าสัตว์ ที่มีพละกำลังมหาศาล เขาฆ่าทุกคนที่พยายามจะหนี หรือไม่ยอมเป็นลูกน้อง แต่ตอนนี้กลุ่มของเขายึดหมู่บ้านแห่งหนึ่งไว้ ห่างจากที่นี่ไป 80 กิโลเมตร
กลุ่มของเขาเป็นพวกที่ออกมา ดักปล้นคนที่ผ่านไปมา บางครั้งก็จะจับตัวผู้หญิงและฆ่าผู้ชายทิ้ง
เหตุผลที่กลุ่มพวกเขาไม่เข้าร่วมกับค่ายก็เพราะว่ามันไม่สามารถทำแบบที่ใจอยากได้ ต้องทำงานแรกตั๋วอาหาร เพื่ออะไรในเมื่อโลกใบนี้แค่มีความแข็งแกร่งก็สามารถครองได้ทุกสิ่ง ทั้งผู้หญิง เงินทอง ผู้คน
ไนเรลไม่ปฏิเสธความคิดนี้ แต่ดูเหมือนพวกมันจะลืมไปว่าโลกใบนี้ยังมีกฎระเบียบที่เรียกว่า ผู้แข็งแกร่งกว่าอยู่
ในที่นี้ก็คือรัฐบาล
“พวกไฮยีน่าสินะ” เขาพึมพำออกมา
หลังจากที่เค้นความจริงได้แล้ว ไนเรลจับไปที่คอของชายคนนั้นอย่างรังเกียจและหักคอทิ้งทันทีโดยไม่สนใจเสียงร้องของมันเลยแม้แต่น้อย
ไฮยีน่าเป็นการเรียกกลุ่มที่ออกปล้นกลุ่มอื่น ๆ หรือโจรที่ปล้นฆ่าคนเป็นหลัก พวกนี้ไม่ได้มีแค่กลุ่มหรือสองกลุ่มแต่มีเยอะมาก พวกมันจะยึดและปล้นไปเรื่อย ๆ
กลุ่มของชายคนนี้เริ่มมีพฤติกรรมแบบพวกไฮยีน่าแล้ว ไนเรลคิดว่าคงต้องไปแจ้งทางค่ายให้รับรู้ไว้
แต่ทางนั้นจะจัดการหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะต้องไปสนใจอีก
ไนเรลจัดการศพทั้งหมดเพื่อไม่ให้มันกลายเป็นซอมบี้ ในขณะที่แมวน้อยเดินสำรวจไปรอบ ๆ เเละร้องออกมาเป็นบ้างครั้งเหมือนกับบอกเขาว่า “เหมียววว มี้ ง่าววว (จัดการได้ดีมากทาส) ”
ตอนนี้เริ่มมีซอมบี้ที่ตามเสียงปืนมาในบริเวณนี้มากขึ้น ดังนั้นเขาคงต้องออกจากที่นี่ในคืนนี้แล้ว
ไนเรลขับรถออกมาได้สักพักรถก็น้ำมันหมดลง เขาถึงกับแปลกใจและลงไปดูปรากฏว่าถังน้ำมันโดนยิง น้ำมันไหลออกเป็นทางจนหมด
“เอาดี” เขามองไปที่ซากกิ้งก่ายักษ์และแมวน้อยสลับไปมา
แมวน้อยรีบส่ายหัวและบอก “แม้ววว มี้ เหมียววว มี้ ม้าววว… (ตัวมะลิแค่นี้ลากไม่ไหวหรอก) ”
เขาก็ไม่ได้คิดจะให้มันลากอยู่แล้วแค่ขอความคิดเห็นเฉย ๆ
สุดท้ายเขาก็หาเถาวัลย์เส้นใหญ่เท่าท่อนแขนผูกกับตัวรถและซากกิ้งก่ายักษ์ แล้วออกเเรงลากมันต่อขณะที่แมวน้อยนั่งอยู่บนหัวกิ้งก่าส่งเสียงอารมณ์ดี เชียร์ให้เขาลากไปเร็ว ๆ โดยเจ้าคาปิบารานั่งกินหญ้าที่เก็บมาอยู่ด้านข้าง
“ไม่ได้ช่วยแล้วยังขึ้นไปถ่วงน้ำหนักอีก” ไนเรลบ่นไปก็ลากไป แต่แมวน้อยก็เถียงกลับมา “ม้าวว เหมียววว มี้ ง่าววว (ตัวใหญ่แค่กำปั้นจะไปหนักอะไร?) ”
……………………………………
ที่หน้าค่ายลี้ภัย 101 เช้าวันใหม่ แสงของดวงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นมากระทบกับน้ำค้างบนใบไม้
หน้าประตูค่ายทิศเหนือยังคงมีคนทยอยเดินทางเข้ามาเพื่อเข้ารับการตรวจและเข้าไปในค่ายอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้นอยู่ ๆ ก็มีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นมา ผู้คนโดยรอบร้องด้วยความตกใจรีบหาที่หลบกันอย่างวุ่นวาย
กำลังทหารรับออกมาจากค่าย ปืนใหญ่บนกำแพงเล็กไปที่กิ้งก่ายักษ์ที่กำลังใกล้เข้ามา
เฮลิคอปเตอร์บินขึ้นไปด้านบนเพื่อสังเกตการณ์
“ยกเลิก! ยกเลิก! มันคือซากกิ้งก่ามีนักล่าลากมันมา”
เสียงทางวิทยุดังออกมาทุกคนก็คลายกังวลได้ เนื่องจากตัวของกิ้งก่าใหญ่ขนาดนั้นไม่รู้ว่าต้องยิงมันกี่นัดถึงจะตาย และหน่วยมนุษย์ชั้นสูงที่ทางกองทัพบอกก็ยังฝึกฝนกันอยู่ จึงยังไม่พร้อมที่จะปฏิบัติการได้แน่นอน
ไนเรลลากมันมาทั้งคืนและในที่สุดก็มาถึงค่าย
ไม่นานที่มาถึงทหารและเจ้าหน้าที่รัฐก็ออกมาหาเขาทันที
“หยุด!!!”
“ผมเป็นนักล่าที่ลงทะเบียนออกไปเมื่อวานนี้” ไนเรลก็บอกไปว่าเขาเป็นนักล่าที่ออกไปเมื่อวาน หลังจากที่พวกเขาเช็คเจอชื่อของไนเรล
พวกนั้นจึงให้เขาเข้าไปได้
ส่วนซากกิ้งก่าตามข้อตกลงเขาต้องแบ่งพวกมันให้ทางค่ายครึ่งหนึ่ง พวกทหารได้ใช้รถมาลากมันเข้าไป
เขาก็ไม่ได้มีข้อคัดค้านอะไร แต่แค่บอกไปว่ามันมีพิษ แต่ดูเหมือนทางรัฐบาลจะมีวิธีจัดการกับพิษ ดังนั้นเขาจึงให้ทางค่ายไปจัดการทั้งหมด ของเนื้อ 200 กิโลกรัม ส่วนที่เหลือแลกเป็นตั๋วอาหาร
เขายังคงเก็บหนังงู เขางู 1 คู่ เขี้ยวของงูยักษ์ไว้กับตนเอง โดยเขาคิดว่าจะให้เมสันจัดการ
หลังจากเขากลับออกไปภายในค่ายโดยเฉพาะบริเวณของสำนักงานนักล่าที่ทางรัฐบาลจัดขึ้น เกิดการโต้เถียงในหมู่ของนักล่าและมนุษย์ชั้นสูงจำนวนมากกว่า ‘มนุษย์ชั้นสูง 1 คนจัดการฆ่ากิ้งก่ายักษ์ ขั้น 2 ได้อย่างไร?’
แต่นั้นก็เป็นแค่การถกเถียงกันของพวกคนธรรมดา ส่วนพวกมนุษย์ชั้นสูงก็แบ่งออกเป็นสองพวกคือคนที่คิดว่าไนเรลทำได้ดีมากที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ชั้นสูงคือ ผู้ที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา ส่วนอีกพวกก็อิจฉาหรือไม่สนใจและคิดว่าเขาก็แค่โชคดีในการจัดการมันได้
สุดท้ายหลังจากผ่านไปครึ่งวันทางรัฐบาลก็ยืนยันว่ากิ้งก่ายักษ์ที่เขาฆ่านั้นมันมีร่องรอยของการต่อสู้กับสัตว์กลายพันธุ์ตัวอื่น ๆ
ดังนั้นจึงสันนิฐานว่าไนเรลได้เจอซากของมันและนำกลับมา ส่วนเอามันขึ้นรถกลับมานั้นพวกเขายังไม่รู้
ภายในสำนักงานกลางประจำค่ายลี้ภัย 101
“เขาเป็นใคร?” รัฐมนตรีพาลเมอร์ถามออกมาขณะที่จัดการกับงานเอกสารบนโต๊ะ
รัฐมนตรีพาลเมอร์ ชายวัยอายุ 41 ปี ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการกับค่ายลี้ภัย 101 แห่งนี้
เลขาสาวของเขากล่าวออกมาในทันที “เขาเป็นมนุษย์ชั้นสูงที่เข้ามาเมื่อสองวันก่อน และลงทะเบียนเป็นนักล่าออกจากค่ายไปเมื่อวานและกลับมาพร้อมกับซากของกิ้งก่ายักษ์ในตอนเช้าวันนี้”
เธออธิบายบอกประวัติของไนเรลแบบสั้น ๆ รวมถึงตระกูลและครอบครัวในนั้นซึ่งรวมถึงนิเรีย น้องสาวของเขาที่พึ่งเข้าไปในหน่วยของโล่ด้วย
“ตระกูลอาโรเดีย…อืม” รัฐมนตรีพาลเมอร์ก็ดูเหมือนจะคิดบางอย่างอยู่สักพักเขาก็กล่าวออกมา “แจ้งเรื่องของคนตระกูลอาโรเดียไปที่สำนักงานรัฐบาลกลางที่เมืองใหม่ด้วย และส่งคนไปคอยจับตาดูสองพี่น้องไว้ โดยเฉพาะเด็กสาวที่ชื่อนิเรียที่มีความสามารถระดับ S เธออันตรายเกินไป”
พาลเมอร์อ่านแฟ้มประวัติของนิเรีย นี่มันคือความสามารถของนักฆ่า เขากลัวว่าเธอจะเดินตามรอยปู่ของเธอ ถึงแม้เธอจะเป็นเด็กสาว 14 แต่เขาก็ไม่ยอมที่จะให้ทุกสิ่งที่เป็นภัยต่อประเทศหลุดรอดสายตาไปได้เด็ดขาด
“ส่วนเรื่องหนังของสัตว์กลายพันธุ์ที่เขาเอากลับมาด้วยลองไปสอบถามดูว่าเขาตกลงที่จะขายมันทั้งหมดให้กับทางค่ายไหม ถ้าเขามีข้อเสนอไม่มากก็ยอมรับไป”
หลังจากพูดจบพาลเมอร์ก็จัดการงานต่อโดยเฉพาะเรื่องของฝูงซอมบี้ที่กำลังเคลื่อนที่มาจากเมือง และทางรถไฟที่ทางรัฐบาลกลางเร่งให้เขาจัดการเคลียร์เส้นทางเพื่อใช้ในการติดต่อกับค่ายอื่น ๆ
…………………………………..
ไนเรลกลับมาที่ห้องเขาก็เห็นดามินและเจคอบที่รออยู่เพราะไนเรลไม่กลับมาทั้งคืนพวกเขาจึงเป็นห่วง แต่ก็ยังไม่ได้แจ้งนิเรียว่าไนเรลหายตัวไป เขาอธิบายให้ทั้งสองคนเข้าใจแบบง่าย ๆ
จากนั้นก็จัดการกับสภาพของตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือดของกิ้งก่าและคนที่เขาฆ่าไป 12 คนทันที
หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาก็หาที่งีบหลับ แต่ไม่นานทางสำนักงานกลางของค่าย 101 ก็ส่งคนมาหาเขา
ติ๊งต่อง! ติ๊งต่อง! ติ๊งต่อง!
เขาเปิดประตูออกไป ก็เจอกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางที่มาพร้อมกับตำรวจ 2 นาย “สวัสดีครับ ผมพีทเจ้าหน้าที่จากส่วนรัฐ”
ไนเรลมองไปที่พีทจากนั้นก็เชิญเขาเข้าไปด้านใน
“นี่คือตั๋วอาหารมูลค่า 200,000 ของคุณ ส่วนเนื้อกลายพันธุ์ในส่วนของคุณเราได้จัดเก็บมันไว้ในโกดังให้แล้ว แต่ตรงส่วนนี้คุณจะต้องเสียค่าเช่าเพื่อแช่เย็นเนื้อเหล่านั้น” พีทอธิบายและส่งลูกกุญแจมาให้มันคือกุญแจของโกดังนั้นเอง
เขาแค่พยักหน้าตอบและหยิบกุญแจมา แต่เมื่อมองไปที่พีทดูเหมือนเขาจะต้องการพูดบางอย่าง
“คุณยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่?” ไนเรลถามออกมา
พีทรีบพูดทันที “ผมได้รับคำสั่งให้มาถามคุณว่าต้องการจะขายหนังงูกลายพันธุ์หรือไม่ ทางเรายินดีรับซื้อในราคาที่คุณพอใจอย่างแน่นอน ถ้าคุณสนใจก็ติดต่อมาตามที่อยู่นี้ได้เลย” เขาส่งนามบัตรสีขาวให้กับไนเรล
หลังจากนั้นพีทก็ขอตัวกลับไป ไนเรลหยิบนามบัตรขึ้นมาดูมันเป็นของบริษัทยักษ์ใหญ่เอกชนแห่งหนึ่ง
บริษัทพาราซัส เป็นบริษัทและกลุ่มนายทุนข้ามชาติขนาดใหญ่ ควบคุมการวิจัยด้านยา พันธุ์พืชและสัตว์ อีกทั้งยังมีบริษัทลูกที่จัดการด้านอาวุธและอื่น ๆ อีก
“ดูเหมือนว่าในครั้งนี้คนของรัฐบาลบางส่วนก็ยังถูกซื้อตัวไปเช่นเคย” ไนเรลพึมพำออกมา มันไม่ได้มีแค่บริษัทเอกชนที่ต้องการเข้ามาควบคุม ตอนนี้แม้แต่พวกผู้มีอิทธิพลต่าง ๆ ก็ทำการดึงตัวและเข้ามาหาผลประโยชน์ บางกลุ่มถึงกับแอบตั้งกลุ่มและกองกำลังของตัวเองอย่างลับ ๆ เพื่อรอโอกาส
ถึงรัฐบาลรู้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะพวกเขาก็ยังต้องการ คนเหล่านี้ในการสนับสนุนในด้านทรัพยากรและกำลังคน
ตอนนี้มันกลายเป็นเกมการเมือง ระหว่างราชาและพ่อค้า ถ้าทหารราชาอ่อนแอเมื่อไหร่ พอค้าก็จะใช้เงินจัดการสังหารราชาและกลายเป็นราชาซะเอง
ในช่วงบ่ายยังคงมีคนจากกลุ่มต่าง ๆ มาหาเขาแม้แต่นักเลงที่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงหนุนหลังก็ยังมาข่มขู่เขา แต่มันก็โดนจัดการซะอยู่หมัด
ด้วยความลำคานเขาจึงออกไปข้างนอก โดยที่ดามินเจคอบ1และแมวน้อยกับเจ้าคาปิบาราตามมาด้วยพวกเขาจะไปหาที่อยู่ใหม่กัน
ที่นี่เป็นเขตที่พักของเจ้าหน้าที่ รัฐสามารถเช่าได้เท่านั้น และคนที่อยู่ที่นี่ก็เป็นครอบครัวหรือญาติของเจ้าหน้าที่รัฐ
มันต่างกันกับส่วนอื่น ๆ ของค่ายมาก ที่นี่มีตำรวจคอยดูแลอยู่ตลอด ไม่มีคนเร่ร่อนหรือขอทานเลยแม้แต่น้อย
เขาสามารถซื้อบ้านหลังนี้ได้โดยใช้ชื่อน้องสาวแต่ดูเหมือนเธอกำลังอยู่ในหน่วยฝึกเขาจึงจัดการทุกอย่างแทน
ตกเย็นเขาก็ออกไปข้างนอกคนเดียวเพื่อไปหาเมสัน
โดยเดินผ่านส่วนที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม และเขตก่อสร้าง ซึ่งตอนนี้ยังมีคนงานกะดึกทำงานกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะส่วนของกำแพงที่ยังสร้างอยู่ และโรงงานทำเหล็กรางรถไฟ
เขาผ่านเขตที่คนธรรมดาอยู่ มันดูแออัดและสกปรกเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นย่านที่คึกคักและมีสีสันที่สุดในค่ายเพราะมันมีผับบาร์ ร้านเหล้า และบ่อนการพนันที่ถูกควบคุมโดยพวกใต้ดิน
“คนพวกนี้ช่างฟุ่มเฟือย” ไนเรลมองไปที่เหล่านี้ และในตอนนั้นเองสาวขายบริการคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขา