ตอนที่ 60 ระหว่างทาง
ไนเรลเดินออกมาไม่นานก็มีพนักงานสาวของสมาพันธ์นักล่าเดินมาแจ้งกับเขาว่า มีคนจากทางรัฐบาลมาขอเข้าพบ
แต่เมื่อไปพบกับพวกเขาที่ห้องรับแขกและก็พบว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่คนของรัฐบาลแต่มีคนจากพาราซัสมาด้วย ชายคนนั้นก็คือผู้จัดการของ สํานักงานย่อยประจําเมืองย่อย 101 นั้นเอง
สิ่งที่พวกเขาต้องการจะพูดก็คือการมาขอโทษถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับไนเรลในการลอบสังหารที่ผ่านมา
แต่ในความหมายแฝงนั้นพวกเขาคงจะมายืนยันสภาพของไนเรลว่าเขาบาดเจ็บใกล้ตายหรือเป็นอย่างไรบ้าง
ส่วนผู้จัดการพาราซัสที่มาก็มาเพื่อแก้ข่าวลือที่ว่าแผนการทั้งหมดเป็นสิ่งที่พาราซัสสั่งการมา ซึ่งผู้จัดการก็เข้ามาพร้อมกับกระเช้าที่สวยงามและรอยยิ้มที่ดูจริงใจ
“ผมคือผู้จัดการของสํานักงานย่อยของพาราซัส หวังว่าคุณจะไม่หลงเชื่อข่าวลือที่เกิดขึ้น และผมหวังว่าในอนาคตพวกเราจะได้ร่วมธุรกิจด้วยกัน”
ไนเรลมองไปรอยยิ้มเหมือนงูพิษของผู้จัดการคนนี้อย่างสะอิดสะเอีอน แต่เขาก็ยิ้มและจับมือกลับไปเพื่อเป็นมารยาทพร้อมทั้งกล่าวออกมาอย่างจริงใจว่า “แน่นอนเดี๋ยวผมจะแวะไปหา”
ทันทีที่ผู้จัดการได้ยินคําพูดของไนเรลตัวของเขาก็ขนลุกขึ้นมาในทันทีอย่างไม่มีสาเหตุ
และจากคําพูดนี้เองภายในค่ำคืนนี้ที่พักของผู้จัดการก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง และการฆ่าฟัน ผู้จัดการสํานักงานย่อย บริษัทพาราซัสอยู่ในภาพที่ร้องขอชีวิตแต่ก็ถูกฆ่าตายอยู่ดี
ในเช้าวันต่อมา ก็มีข่าวการตายของคนระดับสูงของสํานักงาน ย่อยพาราซัส ประจําเมืองย่อย 101 โดยลักษณะการตายนั้นเป็นรูปแบบฆ่าของนักฆ่าเงา มันแทบจะเรียกได้ว่านักฆ่าเงาไปกวาดล้างคนของสํานักงานย่อยของบริษัทพาราซัสของเมืองย่อย 101 ไปจนหมดเลยก็ว่าได้
นั่นทําให้ทันทีที่สํานักงานใหญ่ของบริษัทพาราซัสโกรธแค้นเป็นอย่างมากและตั้งค่าหัวนักฆ่าเงามากถึง 10 ล้านเหรียญไทกีล่าและผลคริสตัลวิวัฒนาการอีก 2 ผล
แต่แน่นอนก็มีหลายคนที่สมน้ำหน้าและรอซ้ำเติมพวกเขา โดยเฉพาะรัฐบาลเมื่อย่อย 101 ที่ถือโอกาศนี้จัดการถอนรากถอนโคลนสํานักงานย่อยพาราซัสออกไปในทันที
โดยกล่าวหาว่าผู้จัดการของสํานักงานย่อยแห่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักฆ่าเงาในการว่าจ้างรอบสังหารไนเรลดังนั้นจึงได้จับกลุ่มคนของสํานักงานย่อยแห่งนี้ทั้งหมด
แต่นั้นยิ่งทําให้สํานักงานหลักของพาราซัสโกรธพวกเขาไปอีกแต่ก็ทําอะไรไม่ได้ เพราะทุกคนในสํานักงานย่อยตายไปหมดแล้วคนตายไม่สามารถพูดอะไรได้ หลักฐานที่ไม่รู้ว่ารัฐบาลไปขุดมาจากไหนก็ทําให้บริษัทพาราซัสถูกตรวจสอบและเพ่งเล็กจากรัฐบาลกลางของไทกีล่าในทันที
พาราซัสได้แต่ทําตัวสงบสะเงียมมากขึ้นมากขึ้นเพื่อหลีกเรียงในหลาย ๆ เรื่องที่รัฐบาลไทกีร่ากดดันมา
ซึ่งตัวการที่รับรู้เรื่องทั้งหมดนี้อย่างไนเรลก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้เขากําลังจะออกเดินทางไปที่คฤหาสน์ตระกูลอาโรเดียแล้ว โดยมีเอวาที่ตอนนี้เลื่อนระดับเป็นสีน้ำตาลแล้ว และนิเรียที่เธอก็เลือนมาเป็นระดับสีน้าตาลใกล้จะเลือนเป็นระดับ สีเขียว
เหตุที่นิเรียเลื่อนระดับได้ไว้นั้นก็ไม่น่าแปลกเพราะตามจริงแล้วศักยภาพของเธอนั้นก็ไม่ได้น้อยไปกว่านักฆ่าเงาถ้าไม่ติดที่ตอนแรกเริ่มขาดแคลนแก่นพลังงาน
แต่หลังจากที่เธอได้รับการสนับแก่นพลังงานจากไนเรลพลังของเธอก็ก้าวหน้าเร็วขึ้นมาก ซึ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ทําให้ไนเรลวางใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของเธอมากขึ้น
“พี่ชาย พี่จะไม่รอให้พ่อกับแม่เดินทางมาที่นี่ก่อนหรือ” นีเรียถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“พี่ออกไปไม่นานอาจจะแค่ 1 เดือน อีกอย่างพี่กลัวว่าเบาะแสของปู่จะหายไปก่อน ถ้าพ่อกับแม่มาถึงแล้วก็ให้พักที่สมาพันธ์นักล่าก็ได้”
“อืมเอาแบบนั้นก็ได้” นเรียพูดออกมาด้วยปากที่มัยอย่างเสียดาย เธอคิดว่าจะได้เห็นใบหน้าของพี่ชายที่รู้ว่าพ่อแม่รู้เรื่องที่พี่ชายของเธอทําอะไรกับเอวาไว้ มันคงจะสุดยอดน่าดู เธอถึงกับเตรียมที่จะแอบอัดวิดีโอไว้แล้วด้วย
นอกจากนี้เธอก็จะให้พ่อกับแม่ช่วยกันผู้หญิงหน้าอกส้มโอแบบเอวาออกห่างจากไนเรล เพราะทั้งสองยังไม่เป็นอะไรกันก็ทําเรื่องแบบนั้นแล้ว เธอเตรียมใช้เหตุผลที่ว่าเดี๋ยวไนเรลจะทําผู้หญิงท้องก่อนแต่ง? เอวาได้แต่คิดในใจด้วยความหึงหวงพี่ชายของตนเอง
ไนเรลที่ตอนนี้หันไปร่ำลาคนอื่น ๆ โดยไม่รู้ถึงความคิดของน้องสาวตัวน้อยเลยแม้แต่น้อย
เขาบอกกับแมวน้อยและธีโอเป็น 2 คนสุดท้าย ไม่สิเป็น 2 ตัวสุดท้ายว่าให้ปกป้องทุกคนด้วย ซึ่งแมวน้อยก็รับปากจะปกป้องต้นคริสตัลวิวัฒนาการอย่างเต็มที่ เพราะผลของต้นคริสตัลวิวัฒนาการนั้นก็เป็นเหมือนกับมันครึ่งหนึ่งอยู่แล้วไนเรลไม่ต้องเป็นห่วง
มันรับปากพร้อมกับมองไปที่ผลคริสตัลวิวัฒนาการจํานวนมากอย่างตาเป็นมัน
ไนเรลได้ยินดังนั้นก็วางใจ แต่ที่เขาวางใจจริง ๆ คงเป็นฮีโอ เจ้าคาปิบาร่าผู้น่ากลัวนี้
หลังจากนั้นเขาก็ไปหาคนสุดท้ายจริง ๆ นั้นก็คือเอวาเขาไม่ได้พูดอะไรมากแค่บอกว่าดูแลตัวเองดี ๆ แค่นั้น
สําหรับไนเรลนั้น เขายังไม่รู้ว่าจะเรียกเอวาว่าคนรักได้อย่างเต็มปากหรือไม่ เพราะเขายังคงฝังใจกับเรื่องในอดีต ผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อสเตล่า คนที่เขาทั้งรักและเกลียด เธอผู้ที่เป็นตัวการในการฆ่าทุกคนที่เขารัก รวมถึงลูกสาวของพวกเขาด้วย
ไนเรลใช้ความสามารถของ [ปีกแห่งความตาย B] บินขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันที มองไปที่ด้านล่างที่เห็นผู้คนกําลังสร้างกําแพงที่ดูมันคงและติดตั้งปืนใหญ่จํานวนมาก รวมถึงปืนใหญ่พลังงาน E1 จํานวนหลายกระบอก ทั้งได้รับมาจากเมืองหลักในรอบหลัง ๆ พร้อมกับมีสัตว์กลายพันธุ์ที่ดุร้ายโจมตีตามจุดต่าง ๆ ของเมืองบ้างเป็นบางครั้งบางคราว
ด้านนอกมีซอมบี้ที่ถูกนักล่าไล่ล่านอกเมืองย่อย 101 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นซอมบี้ที่หลงฝูงหรือถูกทิ้งไว้
ห่างออกไปมีสัตว์กลายพันธุ์หลายตัวที่รุมโจมตีฆ่านักล่าในขณะที่นักล่าก็ฆ่าพวกมันเช่นกัน
ที่ผ่านมาถึงในเมืองจะสงบสุขจากการปกป้องของกองทัพ แต่ทันทีที่ออกมานอกเมืองมันก็มีการฆ่าฟันอยู่ทั่วทุกหนแห่งไม่ต่างจากดินแดนป่าเถื่อนเลยแม้แต่น้อย และโดยเฉพาะที่ที่เขากําลังไปนั้นที่ซึ่งอยู่นอกเหนือจากอิทธิพลของรัฐบาลกลางของไทกีล่าด้วย แล้วมันยิ่งโหดร้ายเข้าไปอีกอย่างแน่นอน
ไนเรลมองไปที่เมืองย่อย 101 ที่กลายเป็นจุดเล็กลง ขณะที่เขาบินออกห่างไปเรื่อย ๆ
ไนเรลไม่ได้บินสูงมากนักโดยจะอยู่ที่ความสูงแค่ 1500 เมตรจากพื้นดินเท่านั้น เพื่อให้พ้นระยะของยอดไม้บางส่วน และอยู่ต่ำกว่าสัตว์นักล่าบนท้องฟ้าที่เป็นอันตรายอย่างมาก
ถึงเขาจะเป็นระดับ สีเขียวแต่ก็ต้องระวังตัวเป็นอย่างมาก เพราะเหนือเมฆขึ้นไปนั้นถึงจะเรียกว่าราชาที่แท้จริง
สิ่งมีชีวิตที่ก้าวข้ามระดับชีวิต ไปแล้วนั้นจะน่ากลัวเป็นอย่างมากถึงขนาดที่สามารถฆ่าเขาไปง่าย ๆ เลย
ส่วนระดับชีวิตที่ว่านั้นก็คือ ระดับสีน้ำเงินหรือขั้น 5 นี่คือระดับต่ำสุดที่มีสิทธิ์ในการบินอยู่เหนือกว่าเมฆอย่างแท้จริง
ในการจะกล้าวผ่านจากระดับสีเขียวไปเป็นสีน้ำเงินนั้นจะต้องมีพลังงานในเซลล์มากกว่า 10,000 หน่วย
ซึ่งไนเรลก็ยังไม่ได้รีบยกระดับขึ้นไปอีกเขาอยากจะให้เซลล์ของตัวเองคงระดับสีเขียวไปก่อนเพื่อไม่ให้มันเกิดปัญญาหาขึ้นในอนาคต ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าเมล็ดพันธุ์วิวัฒนาการจะจัดการในเรื่องนี้ได้หรือไม่กันแน่แต่เขาก็ไม่ต้องการจะเสียง
อีกอย่างพลังของเขาก็ถือว่าพัฒนาการเร็วมากแล้ว เพราะในชีวิตที่แล้วของเขาระดับสูงสุดก็เป็นแค่สีน้ำเงินเท่านั้น
ไนเรลบินด้วยความเร็วสูงมากกว่า 3 วันแล้ว ในทุกวันตอนเย็นเขาก็ลงไปพักข้างล่างตามต้นไม้ และล่าสัตว์กลายพันธุ์ในบางครั้ง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีสัตว์กลายพันธุ์ระดับ 3 โจมตีเขาซึ่งมันก็ลงไปอยู่ในกระเพาะของไนเรลอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งมันยังให้แก่นพลังงานมาอีก 1 ชิ้น แต่เขาก็ไม่ได้ความสามารถใหม่มา
ส่วนสัตว์กลายพันธุ์ที่กินไม่หมดไนเรลก็เก็บมันไว้ในเงา แต่ว่าเขาก็สร้างพื้นที่เงาให้มีขนาดได้แค่ 100 เมตรเท่านั้นนี่คือขีดจํากัดในการคงพื้นที่ให้เสถียรที่สุดแล้วในระดับพลังของเขาตอนนี้
“จากระยะที่บินมาอีกไม่กี่กิโลเมตรก็คงพ้นระยะของสัญญาอินเทอร์เน็ตและเข้าสู่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทกีล่าที่ติดกับประเทศจีนาส ที่นี่มีสงครามเมืองและการแย่งชิงพื้นที่ปกครองของมนุษย์ชั้นสูงอยู่บ่อยครั้งสินะ ถ้าจําไม่ผิดแถวนี้มีเมืองแลกเปลี่ยนที่เรียกว่า โคลอสเซียม อยู่ลงไปแวะพักที่นั่นแล้วกัน” ไนเรลนึกถึงข้อมูลในชีวิตที่แล้วจากนั้นเขาก็ส่งข้อความระบุตําแหน่งของตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายให้สมาพันธ์นักล่ารับรู้ก่อนที่จะมุ่งหน้าต่อ
หลังจากบินมาจนถึงเย็นไนเรลก็เตรียมจะลงที่แถวปายักษ์และใช้ความสามารถ [ราชานักวิ่ง C] ไปที่โคลอสเซียมแทน เพราะเขาไม่ต้องการที่จะเป็นจุดเด่น
แต่ก่อนนั้นอยู่ ๆ เขาก็เห็นกลุ่มของคนที่กําลังจําโดนซอมบี้โจมตีอยู่แถวทุ่งหญ้าโล่งกว้าง
ไนเรลสังเกตดูมีในฝูงมีซอมบี้อยู่ไม่เกิน 1 พันตัว ในฝูงยังมีซอมบี้สติปัญญา 2 อยู่ด้วย เมื่อเขาเห็นแบบนั้นก็ตาเป็นประกายเลียริมฝีปากในทันที
ที่ด้านล่าง กลุ่มของนักล่าที่พยายามช่วยกันแบกหมูป่ากลายพันธุ์ขั้น 3 ที่หนักประมาณ 600 กิโลกกรัม หนีฝูงซอมบี้เพื่อไม่ให้ซอมบี้พวกนี้กัดโดนเนื้อของของหมูได้ไม่อย่างนั้นเนื้อนี่ก็จะติดเชื้อจนกินไม่ได้
สําหรับพวกเขาแล้วเนื้อของสัตว์กลายพันธุ์ขั้นที่สามตัวนี้สามารถเลี้ยงคนของพวกเขาให้อยู่รอดได้อีกหลายวัน
และที่สําคัญมันยังสามารถนําไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของต่าง ๆ ได้จํานวนมาก
“คนที่มีแรงอยู่ก็ช่วยกันแบกหมูนี้ไป ส่วนสัตว์กลายพันธุ์ตัวอื่น ๆ ทิ้งไปเป็นเหยื่อล่อซอมบี้”
“ไปถึงที่รถบรรทุกได้พวกเราก็น่าจะหนีออกจากฝูงซอมบี้ได้อย่างแน่นอน”
คนประมาณ 10 กว่าคนช่วยกันแบกหมูปาและอีกหลายคนที่ทําหน้าที่คุ้มกันจัดการกับซอมบี้
หนึ่งในนั้นก็มีมนุษย์ชั้นสูง สีน้ำตาล ที่มีความสามารถสนับสนุนความเร็ว ใช้ดาบซามูไรตัดคอซอมบี้ตายเป็นจํานวนมาก พร้อมกับพุ่งเข้าหาซอบบี้ไททันขั้น 3 ในทันที
“โอ้วๆๆๆ”
“ท่านโรฮานลงมือแล้ว”
“ท่านโรฮานฆ่ามัน จัดการซอมบี้ทั้งหมดเลย”
คนทั้งหมดนั้นก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ เพราะดูเหมือนว่าคนที่ส่งไปตามกําลังหนุนจะมาแล้ว
โรฮานจัดการฟันซอมบี้ไททันขั้น 3 พร้อมกับที่มนุษย์ชั้นสูงระดับสีเทา อีก 4 คนได้เข้ามาช่วย นั้นทําให้สถาณะการของพวกเขาดีขึ้นมาก
ในตอนนั้นเองที่เสียงกรีดร้องของซอมบี้ปีกขั้น 2 ก็ดังขึ้นพร้อมกับที่ร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า
พร้อมกับสิ่งมีชีวิตบินได้ที่จู่โจมไปที่ซอมบี้สติปัญญาอย่างไม่ทันตั้งตัว เหมือนกับเหยี่ยวที่ตะครุบหนูพาซอมบี้สติปัญญาขั้น 2 ขึ้นสู่ท้องฟ้าและหายไปทางในยอดไม้หลังจากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของซอมบี้สติปัญญาตามา
ทุกคนได้แต่มองไปด้วยความงุนงงว่านั้นมันคือตัวอะไร ใช่สัตว์กลายพันธุ์หรือไม่
ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ไม่มีเวลามางุนงงสงสัยมานัก เพราะซอมบี้สติปัญญาจะโดนกําจัดไปแล้วแต่ก็ยังมีซอมบี้ธรรมดาและซอมบี้กลายพันธุ์ตัวอื่น ๆ อยู่
พวกเขารีบพากันเปิดทางและพาร่างของหมูป่าขั้น 3 กลับไปที่รถและเตรียมขับออกไปทัน
แต่ในนั้นตอนนั้นอีกเจ้าสิ่งที่ฆ่าซอมบี้สติปัญญาก็บินลงมาหยุดขวางทางพวกเขาไว้
และในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าสิ่งที่ฆ่าซอมบี้สติปัญญาไม่ใช่สัตว์หรืออะไร แต่มันคือ มนุษย์ชั้นสูงที่ใส่หน้ากากทองคําพร้อมกับผ้าคลุมสีดํามิดชิด