พายุเริ่มก่อตัว
ป้อมปราการแสงดาว สถานที่พักกิลชั่วคราวของเผ่าศักสิทธิ์ :
หลังจากกองกำลังสิงโตเงินทำการกวาดล้างทั้งป้อมปราการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ป้อมปราการที่เคยถูกปกครองโดยเหล่ามอนสเตอร์ก็ไม่เหลือมอนสเตอร์อีกต่อไปแล้ว และมันก็ได้ถูกแทนที่เข้ามาด้วยผู้เล่นจำนวนมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นเหล่านี้ก็ยังมีอาวุธและอุปกรณ์ชั้นยอดครบครันด้วย ซึ่งพวกเขานั้นก็จัดอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญของเผ่าศักสิทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย
ในขณะนี้ผู้เล่นที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้กำลังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นมากๆ ขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนนของป้อมปราการแสงดาวซึ่งกลายเป็นจุดสนใจของมหาอำนาจและผู้เล่นมากมาย
ในฐานะป้อมปราการที่ตั้งอยู่ในหุบเขาดาว ซึ่งเป็นดินแดนต้องห้ามเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย หน้าที่ของป้อมปราการแสงดาวจึงจัดว่ายิ่งใหญ่มาก เพราะไม่เพียงแต่มันจะช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางได้อย่างมาก แต่มันยังสามารถใช้เป็นที่หลบภัยของผู้เล่นเพื่อพักผ่อนและฟื้นฟูได้อีกด้วย ในขณะเดียวกัน มันก็จะกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของหุบเขาดาว
ท้ายที่สุด หุบเขาดาวนั้นมีขนาดใหญ่มากๆ ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นยังไม่มีสถานที่ให้พักผ่อนเลยในแผนที่โดยรอบ นอกจากนี้หุบเขาดาวยังอุดมไปด้วยทรัพยากรพิเศษจำนวนมหาศาล ซึ่งหากผู้เล่นออกล่าที่นี่นอกจากพวกเขาจะเก็บเลเวลได้อย่างรวดเร็วแล้ว พวกเขายังจะมีการเก็บเกี่ยวที่ดีมากด้วย ดังนั้นในฐานะศูนย์กลางการค้าแห่งเดียวที่มีอยู่ในหุบเขาดาวตอนนี้ ป้อมปราการแสงดาวนั้นก็มีอนาคตที่มีค่ามากอย่างไม่อาจประเมินได้เลย
แถมในฐานะป้อมปราการที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มานาในบริเวณรอบป้อมปราการแสงดาวนั้นมันก็มีความหนาแน่นมากๆ และมันไม่มีป้อมปราการใดในโลกภายนอกที่มีลักษณะคล้ายกันแบบนี้เลย ซึ่งในทวีปด้านตะวันตกที่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนมานานั้น ป้อมปราการแสงดาวจึงจัดเป็นพื้นที่ฝึกที่หาได้ยากมากจริงๆ
ซือเฟิงนั้นสามารถมองเห็นถึงความตื่นเต้นของเหล่าสมาชิกเผ่าศักสิทธิ์ได้อย่างชัดเจนเลย
หลังจากผู้เล่นเข้ายึดป้อมปราการโบราณได้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะสามารถรวบรวมมานาจำนวนมากภายในป้อมปราการมาใช้ประโยชน์ได้ แต่มานาพวกนี้ยังควบคุมได้
ง่ายมากๆ ซึ่งแม้แต่ผู้เล่นที่ยังควบคุมมานาได้ไม่ดีนักก็จะสามารถมาฝึกที่นี่และพัฒนาไปอย่างรวดเร็วได้เลย
สำหรับผู้เล่นในทวีปด้านตะวันตกที่ให้ความสำคัญในการควบคุมมานาก่อนร่างกายของตัวเอง ป้อมปราการแสงดาวจึงนับเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบในการฝึกเลย
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม รองผู้บัญชาการและคนอื่นๆรอคุณอยู่ในห้องรับรองแล้ว โปรดตามฉันมา”
ไม่นานหลังจากที่ซือเฟิงมาถึงตรงหน้าทางเข้าสถานที่พักกิลชั่วคราวของเผ่าศักสิทธิ์ ชายวัยกลางคน ซึ่งเป็นการ์เดี้ยนไนท์ เลเวลหนึ่งร้อยหกก็ได้เดินเข้ามาหาเขา ชายวัยกลางคนผู้นี้ให้ความรู้สึกที่ดีและดูอ่อนน้อมถ่อมตนมากๆ อย่างไรก็ตามออร่าที่เขาแผ่ออกมานั้นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าแกรนลอร์ดในเลเวลเดียวกันเลยแม้แต่น้อย และในแง่ของความแข็งแกร่งโดยรวม เขาน่าจะแข็งแกร่งกว่าคริมสันวิชของกองกำลังสิงโตเงินด้วยซ้ำ
“ฉันต้องรบกวนคุณหน่อยแล้ว …” ซือเฟิงตอบก่อนจะถอนหายใจออกมา พลางยิ้มอย่างขมขื่น
ในสภาสิบแปดปีกปัจจุบัน หยานเทียนซิงและซือเฟิงนั้นเป็นแค่สองคนที่เข้าสู่ขอบเขตโดเมนได้
อย่างไรก็ตามเพียงหนึ่งวัน หลังจากที่เข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้ เผ่าศักสิทธิ์ก็ได้เปิดเผยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนออกมาให้เขาเห็นอีกคนแล้ว
ซือเฟิงนั้นอดไม่ได้ที่จะต้องยอมรับว่ามหาอำนาจต่างๆนั้นน่าทึ่งจริงๆ และสภาสิบแปดปีกก็น่าจะต้องใช้เวลานานมากกว่าจะตามทัน
หลังจากได้ยินคำตอบของซือเฟิง ชายวัยกลางคนก็พาซือเฟิงเข้าไปที่สถานที่พักกิลชั่วคราวของเผ่าศักสิทธิ์
เมื่อเข้าไปถึงในกิลฮอล ซือเฟิงก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง
ในขณะนี้นั้นกิลฮอลนั้นได้รับการซ่อมแซมและปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ซึ่งภายในอาคารนี้นั้นไม่เพียงแต่จะดูสวยงามมากเท่านั้น แต่พื้นของอาคารยังถูกปูด้วยกระเบื้องที่ทำจากแร่มานาด้วย ซึ่งแม้แต่กิลฮอลในสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกก็ยังไม่สามารถเทียบกับที่นี่ได้ในแง่ขอความหรูหราฟุ่มเฟือย
แร่มานานั้นนับเป็นแร่หายากชนิดหนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่ได้มีค่ามากเท่ากับคริสตัลเวทย์มนต์ แต่มันก็มีมานาอยู่จำนวนมาก และไอเทมที่ถูกสร้างด้วยแร่มานานั้นก็จะทำการคายมานาออกมาจำนวนเล็กน้อยซึ่งจะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมานาในบริเวณใกล้เคียงได้ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามเนื่องจากต้นทุนนั้นมันไม่ค่อยจะคุ้มกับผลตอบแทนเท่าไหร่นัก มันจึงมีมหาอำนาจแต่ไม่กี่กลุ่มที่เต็มใจจะใช้แร่มานาปูพื้นแบบนี้
ในขณะเดียวกันนี่เป็นเพียงสถานที่พักกิลชั่วคราวของเผ่าศักสิทธิ์ แต่กิลกับใช้แร่มานาปูพื้น สิ่งนี้มันจึงจัดว่าฟุ่มเฟือยมากเกินไปจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองจากจุดนี้ก็จะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเผ่าศักสิทธิ์ให้ความสำคัญมากแค่ไหนกับสถานที่พักกิลชั่วคราวแห่งนี้
อย่างไรก็ตามหากสถานที่พักกิลชั่วคราวเปลี่ยนเจ้าของ แร่มานาที่ใช้นี่ก็ไม่สามารถจะนำออกไปได้ หากสภาสิบแปดปีกตัดสินใจเปลี่ยนพันธมิตรอย่างกระทันหัน การกระทำของเผ่าศักสิทธิ์จะไม่ต่างจากเสียเปล่าทั้งหมดเลย อย่างไรก็ตามแม้จะรู้แบบนี้ เผ่าศักสิทธิ์ก็ยังคงเต็มใจจะทำ
ชั่วครู่ต่อมาภายใต้การนำของชายวัยกลางคน ซือเฟิงก็ได้มาถึงห้องรับรองที่ชั้นบนสุด
ขณะนี้นั้นมีสามคนนั่งอยู่ในห้องรับรอง แม๊คอาฟรี่ และคริมสันวิชนั้นซือเฟิงคุ้นเคยอยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็มีเบอเซิกเกอร์สาวสวยที่ผมสีบลอนด์และดวงตาสีแดงเข้มนั่งอยู่ด้วยอีกคน โดยเบอเซิกเกอร์ผู้นี้สวมเกราะเบาสีเทาเงิน และมีดาบใหญ่ที่แผ่มานาจำนวนมากออกมาสะพายอยู่ด้านหลัง
แม้ว่าเบอเซิกเกอร์หญิงนี้จะนั่งอยู่เงียบๆภายในห้อง แต่มันก็เหมือนกับว่าเธอได้เคยขโมยสีทั้งหมดในห้องไป และนอกเหนือจากเธอแล้วนั้น ทั่วทั้งห้องก็ดูเหมือนจะมีสีเดียว
เทพธิดาตาเวทย์มนต์ ? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ? ซือเฟิงนั้นตกตะลึงเมื่อเห็นเบอเซิกเกอร์หญิงคนนี้ ซึ่งนี่เป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้มากกว่าแม๊คอาฟรี่และคริมสันวิชด้วยซ้ำ
เธอเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญขั้นหกขอบเขตพระเจ้าเพียงแค่ไม่กี่คนในชีวิตที่ผ่านมาของเขา และเธอก็ยังเป็นผู้ครอบครอง Eternal Sin ซึ่งเป็นอาวุธระดับตำนานด้วย ในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงนั้น เธอได้รับการจัดอันดับความแข็งแกร่งอยู่ในระดับที่สูงมาก แม้แต่ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญขั้นหกด้วยกัน นอกจากนี้เธอยังสามารถพัฒนากิลที่เธอสร้างเองให้ไปได้ไกลจนกลายเป็นกิลชั้นยอด และกลายเป็นดั่งตำนานของ God domain ด้วย
ในขณะเดียวกันเพราะอาชีพลับของเธออย่าง ฮันเตอร์ตาเวทย์มนต์ มันจึงทำให้เธอได้รับฉายาว่าเทพธิดาตาเวทย์มนต์
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้เทพธิดาตาเวทย์มนต์นี้สวมใส่ตราสัญลักษณ์กิลของเผ่าศักสิทธิ์อยู่ ซึ่งสถานการณ์นี้มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่ซือเฟิงรู้
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คุณสองคนรู้จักกันมาก่อนงั้นหรอ ?” แม๊คอาฟรี่ถามอย่างสงสัย เมื่อเขาเห็นการแสดงออกที่เปลี่ยนไปจากท่าทีของซือเฟิง
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว ซือเฟิงก็ส่ายหัวและอธิบายว่า “ไม่เราไม่คุ้นเคยกัน เพียงแต่ว่าเธอดูคล้ายกับคนที่ฉันรู้จักมาก”
เมื่อได้ยินคำตอบของซือเฟิง แม๊คอาฟรี่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้อีกต่อไป และเขากล่าวต่อว่า “ในกรณีนี้งั้นฉันขอแนะนำคุณก่อน คนๆนี้คือฟิธาเลีย ผู้บัญชาการกองกำลังดีไวน์ไฮม์ของเผ่าศักสิทธิ์ นอกจากนี้เธอยังจะเป็นผู้รับผิดชอบกองกำลังทั้งหมดของเผ่าศักสิทธิ์ที่เข้าประจำการในป้อมปราการแสงดาวนับจากนี้”
“สวัสดี ฉันคือหัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีก แบล๊คเฟรม” ซือเฟิงกล่าวแนะนำตัวเอง ขณะที่จ้องมองไปยังฟิธาเลีย
“สวัสดีเช่นกัน หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ฉันได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณมามากมายจากคริมสันวิชก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามหลังจากได้มาพบคุณด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่าคุณจะแข็งแกร่งกว่าที่ฉันได้ยินมาเสียอีก คุณนั้นไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากโดเมนลวงตาของฉันเลย ดูเหมือนว่าคุณจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของคุณไปพอสมควรแล้ว …” ฟิธาเลียกล่าวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ขณะที่เธอมองไปยังซือเฟิง
หลังจากได้รับอาชีพลับอย่างฮันเตอร์ตาเวทย์มา เธอก็ได้รับโดเมนที่เติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติมา และยิ่งเธอมีขั้นสูงเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามไปเท่านั้น และหลังจากที่เธอมาถึงขั้นสามแล้ว แม้แต่คริมสันวิชที่มีร่างมานาระดับทอง ขั้นสูงสุดก็ยังจะต้องเจอกับผลกระทบของโดเมนของเธอ ซึ่งในโดเมนลวงตาของเธอนั้น ไม่เพียงแต่ความสามารถในการควบคุมร่างมานาจะลดลงอย่างมาก แต่ผู้เล่นยังจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมมานารอบตัวด้วย
ณ จุดนี้มีเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญที่ปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาของตัวเองได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นจึงจะสามารถต้านทานผลของโดเมนลวงตาของเธอได้
“คุณได้เริ่มปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้แล้วงั้นหรอ ?” คริมสันวิชโพล่งออกมา เมื่อเธอได้ยินคำพูดของฟิธาเลีย
เธอนั้นค้นคว้าวิธีที่จะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้นั้น เธอยังไม่ค้นพบข้อมูลที่เป็นรูปธรรมเลย เธอนั้นไม่คิดมาก่อนเลยว่าซือเฟิงจะเริ่มปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาได้แล้ว
“ก็ในระดับหนึ่ง ฉันยังห่างไกลจากการปลดล๊อคศักยภาพให้ได้อย่างสมบูรณ์” ซือเฟิงยอมรับตามความเป็นจริง
“เป็นอย่างนี้นี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมการโจมตีของคุณก่อนหน้านี้มันทรงพลังมาก” คริมสันวิชเริ่มเข้าใจอะไรหลายๆอย่างได้ เมื่อเธอได้ยินคำตอบของซือเฟิง
ก่อนหน้านี้เธอนั้นรู้สึกว่าทั้งสกิลและเวทย์ที่ซือเฟิงใช้นั้นมันทรงพลังอย่างน่ากลัว พวกมันดูไม่เหมือนสกิลและเวทย์ขั้นสามที่ผู้เล่นในปัจจุบันที่ผู้เล่นขั้นสามใช้ และเมื่อมองย้อนกลับไปถึงเหตุผลทั้งหมด เมื่อได้รู้ว่าซือเฟิงปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาไปบางส่วนแล้ว มันจึงนับเป็นเหตุผลที่พอรับได้
ซึ่งตอนนี้มันก็ทำให้เธอมีความรู้สึกว่าเธอน่าจะตามซือเฟิงได้ทัน
แม้ว่าเธอจะยังไม่ได้ปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานา แต่เธอก็มีโอกาสอยู่บ้าง และเธอก็มั่นใจว่าเธอน่าจะสามารถเริ่มปลดล๊อคได้ในอีกไม่กี่วัน ซึ่งในเวลานั้นเธอจะไม่แพ้ซือเฟิงอย่างง่ายดายอีกต่อไป
“บอกฉันมาหน่อยว่าทำไมคุณถึงให้ฉันมาพบที่นี่ ?” ซือเฟิงถามโดยไม่ได้คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับร่างมานาของเขา
“มันเป็นเรื่องเร่งด่วนมากน่ะ” ฟิธาเลียตอบด้วยสีหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ก่อนที่ฉันจะเดินทางเข้ามาที่ป้อมปราการแสงดาว ฉันได้รับข่าวว่ามีมหาอำนาจมากมายกำลังเดินทางเข้ามาที่ป้อมปราการแสงดาว แม้แต่จักรวรรดิโลกใต้พิภพ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดก็แสดงความสนใจในเรื่องนี้ ในความเป็นจริงจักรวรรดิโลกใต้พิภพได้ส่งหนึ่งในกองกำลังหลักของพวกเขาเข้ามาเลยแหละ …”
“เราอาจสามารถจัดการกับมหาอำนาจอื่นๆได้ แต่สำหรับจักรวรรดิโลกใต้พิภพมันเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป แม้ว่ากองกำลังหลักของจักรวรรดิโลกใต้พิภพจะมีผู้เล่นอยู่น้อยมาก แต่ผู้เล่นเหล่านั้นก็ไม่อาจถูกเรียกว่ามนุษย์ได้ คนเหล่านี้นั้นล้วนเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดกันซะมากกว่า และมันก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะมาแข่งขันเพื่อแย่งชิงสิทในการปกครองป้อมปราการ ซึ่งหากพวกเขาตัดสินใจที่จะก่อเรื่องในป้อมปราการนั้น มันก็จะไม่มีใครสามารถควบคุมพวกเขาได้ และแม้ว่าเราจะยังถือสิทในการปกครองป้อมปราการอยู่ แต่มันก็จะกลายเป็นเพียงในนามเท่านั้น การดำเนินการทุกอย่างไปตามปกตินั้นมีสิทจะเป็นไปไม่ได้เลย”
“ดังนั้นฉันจึงมาที่นี่ด้วยความหวังจะให้คุณขายหุ้นบางส่วนของป้อมปราการมาหน่อยน่ะ หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม เผ่าศักสิทธิ์จะช่วยเป็นคนกลางให้กับสภาสิบแปดปีกในการเจรจาเรื่องนี้ และถ้าเรารวมเรือเหาะมังกรสีเลือดที่คุณมีเข้าไปในโครงสร้างการป้องกันป้อมปราการแสงดาว ฉันเชื่อว่าจักรวรรดิโลกใต้พิภพจะไม่กล้าทำอะไรที่ไปไกลเกินไปแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำแนะนำของฟิธาเลีย แม๊คอาฟรี่และคริมสันวิชก็คิดว่ามันไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
ในทวีปด้านตะวันตกนั้นไม่มีใครไม่รู้จักความน่ากลัวของซุเปอร์กิลที่ชื่อจักรวรรดิโลกใต้พิภพ มันอาจกล่าวได้ว่าซุเปอร์กิล กิลนี้เป็นการรวมตัวกันของคนบ้าก็ว่าได้ กิลนี้ไม่เคยดำเนินการตามบรรทัดฐานหรือตรรกะของสังคม ในความเป็นจริงกิลก็ได้ทำลายหนึ่งในมหาอำนาจของ God domain ไปกลุ่มหนึ่งแล้วด้วย
หากสภาสิบแปดปีกและเผ่าศักสิทธิ์ต้องปะทะกับจักรวรรดิโลกใต้พิภพ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถปกป้องป้อมปราการไว้ได้ แต่มันก็ยังจะยากมากที่จะรักษาให้ป้อมปราการมีเสถียรภาพในทวีปด้านตะวันตก
ทางออกเดียวของพวกเขาในตอนนี้คือการแบ่งกำไรส่วนหนึ่งของป้อมปราการ เพราะท้ายที่สุดป้อมปราการแสงดาวนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลายสิ่งมากเกินไป สภาสิบแปดปีกและเผ่าศักสิทธิ์จะไม่สามารถหยุดยั้งมหาอำนาจทั้งหมดของทวีปด้านตะวันตกได้ อย่างไรก็ตามมันจะเป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไป หากพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากจักวรรดิโลกใต้พิภพ
“ฉันเข้าใจถึงสถานการณ์ของเผ่าศักสิทธิ์” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า ก่อนที่เขาจะยิ้ม และกล่าวต่อว่า “สำหรับเรื่องของป้อมปราการแสงดาวเดี๋ยวสภาสิบแปดปีกจะจัดการเอง หากจักรวรรดิโลกใต้พิภพต้องการก่อความวุ่นวายก็ให้พวกเขาลองดู ถ้าพวกเขาทำได้จริงๆ ฉันไม่มีปัญหาที่จะยกทั้งป้อมปราการให้พวกเขาเลย หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ฉันขอตัวก่อน …”
หลังจากพูดจบซือเฟิงก็ลุกขึ้น และหันหลังเดินออกจากห้องรับรองไป การกระทำของเขาทำให้ฟิธาเลีย แม๊คอาฟรี่ และคริมสันวิชพูดไม่ออก ชั่วครู่หนึ่งความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วห้องรับรองเลย