มรดกเทคนิคมานา
นี่คือมรดกเทคนิคมานางั้นหรอ ?
ซือเฟิงนั้นรู้สึกตกใจเมื่อมีพื้นที่เสมือนจริงปรากฎขึ้นภายในจิตใจของเขา
ภายในพื้นที่เสมือนจริง ร่างกายของเขาได้แสดงการโจมตีด้วยดาบทั้งสามของอีเลียดี้ ที่อีเลียดี้ใช้กับเขาในการทดสอบมรดก และมันก็เกือบจะรู้สึกว่ามีใครบางคนควบคุมเขาอยู่ แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวและมานาภายในตัวของเขา และเขายังสามารถสัมผัสได้ว่าร่างกายและมานาของเขาถูกควบคุมอย่างไร
การจำลองแบบนี้นั้นดูมีประสิทธิภาพมากกว่าการมองดูคนอื่นใช้เทคนิคมากๆ
ไม่เพียงแต่จะต้องใช้เชี่ยวชาญในองค์ประกอบสี่ธาตุเพื่อใช้เทคนิคมานา แต่ผู้ใช้ยังต้องมีความเชี่ยวชาญในองค์ประกอบสามสายธาตุชั้นยอดที่เหลือด้วย
แม้แต่ปรมาจารย์นักเวทย์ก็ยังต้องพยายามอย่างหนักเลย หากอยากจะสร้างวงเวทย์ที่ควบคุมด้วยองค์ประกอบสี่ธาตุ เพราะท้ายที่สุดคนๆหนึ่งจะต้องทำความคุ้นเคยกับรูปแบบการเคลื่อนไหวของมานาทั้งสี่ธาตุ และสร้างวงเวทย์ตามรูปแบบเหล่านี้
อย่างไรก็ตามเทคนิคมานาของนักบุญสวรรค์น้ำเงินนั้นมีความซับซ้อนมากกว่านั้น โดยมันต้องใช้ความเข้าใจในองค์ประกอบธาตุทั้งเจ็ดอย่างสูงมาก ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใช้ยังจะต้องทำทุกอย่างผ่านร่างมานาเพื่อใช้เทคนิคนี้
การใช้เทคนิคมานา การทำลายล้างศักสิทธิ์นั้นมันยากยิ่งกว่าการใช้เทคนิคลับอย่างไลท์นิ่งแฟลชหลายเท่า
การใช้งานไลท์นิ่งแฟลชนั้นอาศัยการเคลื่อนไหวทางกายภาพซึ่งเป็นการกระทำที่ผู้เล่นนั้นคุ้นเคยเป็นอย่างดี การควบคุมทางกายภาพนั้นมันเป็นไปตามธรรมชาติทั้งในโลกแห่งความจริง และโลกเสมือนจริง แต่การควบคุมมานาและร่างมานานั้นเป็นคนละเรื่องกัน ทั้งสองอย่างมันนับเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และแค่การทำสมองให้ปลอดโปร่งเพื่อให้จิตใจแจ่มชัดเพื่อให้ควบคุมให้ได้สักขั้นพื้นฐานนั้นก็เป็นสิ่งท้าทายอย่างน่าเหลือเชื่อแล้ว ขณะที่การพยายามควบคุมกับทำความเข้าใจให้ได้อย่างแม่นยำนั้นยากยิ่งกว่า
โชคดีที่คริสตัลความทรงจำนั้นได้บันทึกข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับวิธีจัดการกับองค์ประกอบธาตุทั้งเจ็ดไว้แล้ว ซึ่งแม้ว่าฉันจะรู้วิธีการใช้การทำลายล้างศักสิทธิ์ แต่มันก็จะไม่มีประโยชน์มากนักเลย หากไม่ได้รู้รายละเอียดเหล่านี้ หลังจากได้ดูและวิเคราะห์การใช้ตั้งแต่ดาบที่หนึ่งจนถึงดาบที่สาม และวิเคราะห์เสร็จสิ้น ซือเฟิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในระดับหนึ่ง
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มให้ความสำคัญกับการเรียนรู้รูปแบบพื้นฐานของมานาทันที
การจำลองของคริสตัลเวทย์มนต์นั้นจะใช้เวลาไม่นาน ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาเพียงสามถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้น ในขณะที่คริสตัลความทรงจำบางชิ้นใช้เวลาน้อยกว่านั้นอีก ซึ่งหากฝันจะได้เรียนรู้จากคริสตัลความทรงจำเต็มวันนั้น ก็จะทำได้แค่ฝันเลย
ผู้เล่นนั้นจะต้องพยายามเรียนรู้ให้มากที่สุดในช่วงเวลาที่จำกัดนี้ เพราะท้ายที่เมื่อเวลาหมดลงผลของคริสตัลความทรงจำมันก็จะหายไปโดยไม่สนใจว่าผู้เล่นจะเรียนรู้ได้มากแค่ไหน
เวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ซือเฟิงกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง
หนึ่งชั่วโมง…สองชั่วโมง…
จากมุมมองของคนนอกนั้นซือเฟิงนั่งอยู่ข้างเสาโบราณต้นหนึ่งเพื่อพักผ่อนเท่านั้น เขาไม่ได้ทำอะไรที่น่าสนใจเลย
“นี่แบล๊คเฟรมจะต้องทำให้เราเสียเวลาไปอีกเท่าไหร่กัน ผู้บัญชาการ ? แล้วนี่เราจะปล่อยให้เขาทำให้เราเสียเวลาต่อไปแบบนี้จริงๆงั้นหรอ ?” ธันเดอร์บีสต์กล่าวถามเฮลรัช พลางมองยังซือเฟิงที่ยังคงนั่งอยู่และไม่เคลื่อนไหวใดๆ
ตอนแรกที่พวกเขามาถึงที่นี่นั้น อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ทำการล่ามอนสเตอร์และได้รับ EXP มากมาย แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสิทในไอเทมใดๆที่ดรอปก็ตาม ซึ่งมันก็นับว่าโชคดีที่การช่วยเหลือซือเฟิงของพวกเขานั้นไม่ได้สูญเปล่าโดยสิ้นเชิง
แต่ตอนนี้ ?
พวกเขานั้นใช้เวลาพักผ่อนอยู่ในพื้นที่นี้มามากกว่าหนึ่งวันแล้ว และนอกเหนือจากการสังหารกลุ่มยักษ์ดินที่เดินเข้ามาใกล้วิหารมากเกินไป พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง
ผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆล้วนกำลังล่าและเก็บเลเวลอย่างเมามัน แต่ตอนนี้กองกำลังนรกกับไม่ได้ทำอะไรเลย
“รออีกหน่อย เราตกลงจะติดตามแบล๊คเฟรมเข้ามาที่สุสานเป็นเวลาห้าถึงหกวันนะ ไม่ว่าเขาจะพบสิ่งที่ต้องการหรือไม่ก็ตาม และวันที่ห้านั้นก็ยังไม่หมดลง หลังจากที่มันเลยเวลาที่ตกลงกันไว้ หากเขาจะอยู่ต่อ เราก็จะล่าถอย” เฮลรัชกล่าว เขาเองก็ไม่ค่อยพอใจกับสถานการณ์นี้เช่นกัน
หากกองกำลังนรกเป็นหนึ่งในกองกำลังหลักทั่วไปของจักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้น นี่จะไม่ใช่ปัญหาเลย แต่มันไม่เป็นแบบนั้นกองกำลังนรกนั้นคือกองกำลังหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิโลกใต้พิภพ และสมาชิกทุกคนนั้นล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ พวกเขานั้นไม่ได้มีเวลามากมายจะมาเสียให้กับซือเฟิง
“แบล๊คเฟรมนั้นดื้อรั้นอย่างแท้จริง แม้แต่มหาอำนาจต่างๆก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้เลย แล้วเขาจะทำมันให้สำเร็จด้วยตัวเองได้ยังไงกัน ?” ธันเดอร์บีสต์กล่าวบ่นขณะที่จ้องมองไปยังซือเฟิง
เมื่อทั้งสองพูดคุยกันจบดวงตาของซือเฟิงก็เปิดขึ้น และเขาก็หันกลับมาสนใจการถอดรหัสวงเวทย์ที่สลักอยู่บนเสาหินโบราณต่อ
คราวนี้วงเวทย์นั้นสามารถถูกถอดรหัสได้ง่ายขึ้นมากและมานารอบๆก็เริ่มมารวมตัวกันรอบๆซือเฟิง
“เขาทำอะไรกัน ?” ธันเดอร์บีสต์รู้สึกตกใจเมื่อเขารู้สึกได้ถึงมานาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆมารวมตัวกันรอบซือเฟิง และมานานั้นมันก็หนาแน่นจนเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนเลย !!!
ชั้นของหมอกนั้นก่อตัวขึ้นรอบๆซือเฟิง แม้ว่ามันจะบางอย่างมาก และอาจจะไม่ทันสังเกตเลยหากพวกเขาไม่ได้โฟกัสจริงๆ แต่มันก็มีสถานที่แค่ไม่กี่แห่งใน God domain เท่านั้น ที่มีมานาหนาแน่นเพียงพอที่จะกลั่นออกมาจนเป็นแบบนี้ได้ และโดยธรรมชาติแล้วมหาอำนาจต่างๆก็ล้วนเข้าครอบครองสถานที่แบบนี้ทุกแห่งแล้ว
“การควบคุมมานาของเขาดีขึ้นแล้ว !!!” เฮลรัชแทบไม่เชื่อสายตัวเอง “และมันก็ดีขึ้นไม่น้อยเลย !!!”
“นี่ผู้เล่นจะสามารถดึงดูดมานาเข้ามาได้มากขึ้นด้วยการควบคุมมานาที่ดีขึ้นจริงๆงั้นหรอ ?” ธันเดอร์บีสต์มองไปยังผู้บัญชาการของเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“หากสามารถควบคุมได้ดีเพียงพอ มันก็เป็นไปได้ ฉันได้พบกับ NPC นักเวทย์ขั้นสี่ ที่รวบรวมมานาจำนวนมหาศาลเข้ามาหาตัวเองได้ด้วยการจัดการกับมานารอบๆตัวได้อย่างดี โดยที่เขาไม่ได้ใช้สกิลหรือเวทย์ใดๆด้วยซ้ำ” Elementalist หญิงข้างเฮลรัชกล่าวขึ้น
“แบล๊คเฟรมนั้นเป็นนักดาบ แล้วเขาจะสามารถควบคุมมานาแบบนั้นได้ยังไงกัน ?” ธันเดอร์บีสต์มองไปที่ซือเฟิงอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ
การจะทำตาม NPC นักเวทย์ขั้นสี่นั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผู้เล่นนักเวทย์ขั้นสาม นี่ไม่ต้องพูดถึงพวกระยะประชิดขั้นสามได้เลย แต่ซือเฟิงกับทำได้สำเร็จในฐานะนักดาบขั้นสาม
“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมั่นใจมากว่าจะช่วยให้คนอื่นปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้งั้นสินะ …” เฮลรัชกล่างพลางนึกถึงคำพูดของซือเฟิงก่อนหน้านี้
แม้ว่าเฮลรัชจะเห็นว่าอควาโรสและพรรพควกของเธอจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองกันได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว แต่นั่นเขาก็คิดว่ามันเป็นผลมาจากการที่สภาสิบแปดปีกใช้วิธีการบางอย่างเร่งกระบวนการ แต่เขาก็มีความสงสัยว่าวิธีนี้จะช่วยให้สมาชิกหลายร้อยคนของกองกำลังนรกทำแบบเดียวกันได้ภายในหนึ่งเดือนหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้วผู้เล่นทุกคนนั้นมีร่างมานาที่แตกต่างกัน และการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาก็จะเป็นไปอย่างแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตามการได้เห็นซือเฟิงสามารถควบคุมมานาได้เท่ากับ NPC นักเวทย์ขั้นสี่นั้น มันก็ดูเหมือนว่ากับว่าคำพูดของนักดาบจะเป็นไปได้จริงๆ
การควบคุมมานาของผู้เล่นนั้นมีส่วนอย่างมากในการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกเขา ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่ผู้เล่นนักเวทย์ทำเรื่องนี้ได้ง่ายกว่าผู้เล่นทางกายภาพมาก
และแม้แต่สมาชิกสภาสิบแปดปีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอควาโรส และผู้เล่นนักเวทย์คนอื่นๆก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังซือเฟิงอย่างตกตะลึง ตอนแรกพวกเขานั้นควบคุมมานาได้ดีกว่าซือเฟิงมาก หลังจากปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง ตอนนี้ซือเฟิงกับควบคุมได้ดีกว่าพวกเขาแล้ว
มันเกิดอะไรขึ้น ?
แต่ก่อนที่ใครจะทันได้หายตกตะลึงนั้น วงเวทย์บนเสาหินก็เริ่มจะจางหายไป และเมื่อเป็นเช่นนั้นหมอกแห่งความมืดรอบๆวิหารก็เริ่มสลายไป และบรรยากาศที่มืดมนนั้นมันก็หายไปอย่างสมบูรณ์ ….