ตอนที่ 2568 ความพ่ายแพ้ของโลกแห่งความมืด และสภาสิบแปดปีกที่เจริญรุ่งเรือง
หลังจากความเงียบเข้าปกคลุมสนามรบอยู่ชั่วครู่ ความสับสนก็ปะทุขึ้น ในขณะที่ทุกคนจ้องมองไปยังซือเฟิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?”
“เขาทำให้มอสเตอร์อัญเชิญขั้นสี่ปลิวกระเด็นไปได้ยังไงกัน ?!”
“นี่เขาทำอะไรกัน ?”
ทุกคนในปัจจุบันนั้นได้เห็นการกระทำของซือเฟิงอย่างชัดเจน ในความเป็นจริงพวกเขารู้สึกว่าซือเฟิงเคลื่อนไหวช้ามากด้วย
อย่างไรก็ตามไม่มีใครคาดคิด ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าของพวกเขาเมื่อครู่ได้เลย เพราะสิ่งที่พวกเขาได้เห็นคือ ซือเฟิงได้ทำการฟาดฟันไปข้างหน้าแบบธรรมดาๆและปล่อยสายฟ้าออกมาจากดาบของเขา และเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาหายสับสนนั้น พวกเขาก็เห็นมอนสเตอร์อัญเชิญขั้นสี่ที่ยืนห่างจากนักดาบกว่าหกสิบหลาปลิวกระเด็นไปในอากาศแล้ว
“นี่เขาทำให้มอนสเตอร์อัญเชิญขั้นสี่ปลิวกระเด็นไปได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียวงั้นหรอ ?” บลูเรนโบว์ในตอนนี้นั้นมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงและสับสน ขณะที่เธอจ้องมองไปยังซือเฟิง “นี่ค่าสถานะของเขาสูงแค่ไหนกัน ?”
จากการตรวจสอบก่อนหน้านี้ เธอก็ได้รับข้อมูลมาว่าซือเฟิงนั้นมีค่าสถานะสูงอย่างน่ากลัวเช่นกัน และแม้แต่กบฎสายฟ้า ซึ่งเป็นปีศาจระดับเค้าท์ และใช้อาวุธเวทย์มนต์อย่าง Cruel Darkness ก็ยังได้เปรียบซือเฟิงในด้านค่าสถานะแค่เล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นตอนที่ซือเฟิงอยู่ในสถานะปกติด้วย
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แม้แต่ในตอนนั้นค่าสถานะของซือเฟิงก็มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายในเลเวลเดียวกันแล้ว
อย่างไรก็ตามตอนนี้ ซือเฟิงกับทำให้มอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย เลเวลหนึ่งร้อยสิบห้าปลิวกระเด็นไปได้ด้วยการโจมตีเดียว มันต้องมีบางอย่างผิดปกติกับสถานการณ์นี้แน่นอน
เพราะท้ายที่สุดแล้วการป้องกันการโจมตีจากมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย กับการทำให้มันปลิวไปนั้นเป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง !!
หากไม่มีช่องว่างขนาดใหญ่ของความแข็งแกร่ง มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะส่งคู่ต่อสู้ของตัวเองให้ปลิวกระเด็นไปได้ แต่ตอนนี้ซือเฟิงนั้นไม่เพียงแต่จะทำให้มอนสเตอร์ระดับเทพนิยายปลิวกระเด็นไป แต่มอนสเตอร์ที่เขาทำให้ปลิวกระเด็นไปแบบนี้นั้นยังเป็นมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย เลเวลหนึ่งร้อยสิบห้าด้วย ความแข็งแกร่งในปัจจุบันที่เขาแสดงออกนั้นมันแตกต่างจากรายงานอย่างสิ้นเชิง
เป็นไปได้ยังไงกัน ?! ฟิวเรียสฮาร์ทซึ่งเฝ้าดูจากระยะไกลก็ตกตะลึงกับสถานการณ์นี้เช่นกัน เขาเคยเห็นความแข็งแกร่งของซือเฟิงเป็นการส่วนตัวมาก่อน อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะผ่านไปเพียงเล็กน้อยตั้งแต่การพบกันครั้งสุดท้าย ซือเฟิงก็สามารถจะทำให้มอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย เลเวลหนึ่งร้อยสิบห้าปลิวกระเด็นไปได้ด้วยการโจมตีเดียวของเขา
ชั่วขณะหนึ่ง ฟิวเรียสฮาร์ทนั้นรู้สึกสงสัยด้วยซ้ำว่าระบบหลักของ God domain กำลังเล่นตลกกับเขา
ด้วยความแข็งแกร่งที่น่ากลัวขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึง NPC ขั้นสามเลย แม้แต่ NPC ขั้นสี่ก็จะยังมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากในการจัดการกับซือเฟิง และนี่ก็คงไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลย เพราะมันจะมีเพียงแต่คนโง่เท่านั้นที่หวังว่ามอนสเตอร์ระดับเทพิยาย ขั้นสี่จะสามารถเอาชนะเขาได้ ในสถานการณ์ที่ความแตกต่างระหว่างค่าสถานะไม่มีอยู่เลย พวกมันจะไม่ต่างจากมอนสเตอร์ทั่วไปต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนอย่างซือเฟิง และต่อให้มอนสเตอร์พวกนี้มากกว่าห้าสิบตัวเข้ารุมเขา พวกมันก็ยังจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากอยู่ดีในการจะสร้างความเสียหายให้กับเขา
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าซือเฟิงมีกองกำลังอัศวินขั้นสามคอยซัพพอร์ทเขาอยู่ด้านหลังอีก ….
“เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง ?” เฮลรัช ผู้ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางกองกำลังของสภาสิบแปดปีกก็รู้สึกประหลาดใจมากๆเช่นเดียวกัน เมื่อเขามองไปที่ซือเฟิง ….
นับตั้งแต่ที่จักรวรรดิโลกใต้พิภพตัดสินใจจะร่วมมือกับสภาสิบแปดปีก เฮลรัชก็ติดตามซือเฟิงเกือบทุกวัน ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความแข็งแกร่งของซือเฟิงเป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้นซือเฟิงยังใช้เวลาในการล่าในแผนที่น้อยกว่าเฮลรัชมาก ในความเป็นจริงเฮลรัชไม่เคยเห็นชายคนนี้ออกไปล่าเพื่อเก็บเลเวลด้วยซ้ำ เนื่องจากชายคนนี้ผูกติดอยู่กับกิจการกิลทุกประเภท
ในทางตรงกันข้าม เฮลรัชนั้นก็ได้ออกล่าอย่างเมามันทุกวัน และด้วยความช่วยเหลือของเมืองป่าหิน ไม่เพียงแต่เขาจะใกล้มาถึงเลเวลหนึ่งร้อยสิบแล้ว แต่จนถึงตอนนี้เขายังเปลี่ยนอุปกรณ์ของตัวเองไปสองชิ้นแล้ว และเขาก็ยังประสบความสำเร็จอย่างมากในการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขา โดยส่วนตัวแล้วเขาคิดว่าช่องว่างในอำนาจการต่อสู้ระหว่างเขากับซือเฟิงควรจะลดลงไปไม่น้อย
อย่างไรก็ตามตรงข้ามกับความเชื่อของเฮลรัช ไม่เพียงแต่ช่องว่างในอำนาจการต่อสู้จะไม่ลดลง แต่มันกลับเติบโตขึ้นด้วย
สำหรับดอร์นโดมิแน้นซ์ซึ่งเดิมวางแผนที่จะเยาะเย้ยซือเฟิง เพราะความหยิ่งและโง่เขลาของเขาก็ตกตะลึงกับการพัฒนาที่ไม่คาดคิดนี้เช่นกัน และเมื่อเขาเห็นสภาพ
ของมอนสเตอร์อัญเชิญขั้นสี่ที่โดนการโจมตีของซือเฟิงเข้าไปนั้น จิตใจของเขาก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ดอร์นโดมิแน้นซ์นั้นรู้มาว่าซือเฟิงมีค่าสถานะพื้นฐานที่เทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายในเลเวลเดียวกัน และชายคนนี้ก็ถือว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่แทบไม่มีใครเทียบได้ใน God domain และแน่นอนว่าตัวตนของนักดาบผู้นี้ก็ไม่ใช่อะไรที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วไปหวังจะต่อกรด้วยได้ และแม้แต่ทีมผู้เชี่ยวชาญขั้นสามก็เทียบกับเขาไม่ได้
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในปัจจุบันนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ซือเฟิงจะเป็นแค่สัตว์ประหลาดที่แท้จริงได้ยังไง ?
ตอนนี้เขาดูจะแข็งแกร่งกว่าอัศวินขั้นสามที่น่ากลัวของสภาสิบแปดปีกด้วยซ้ำ !!!
ในความเป็นจริง การฆ่าอัศวินขั้นสามของสภาสิบแปดปีกหลายร้อยคนจะง่ายกว่าการฆ่าซือเฟิงด้วยซ้ำ !!!
ในขณะนี้มีเพียงแต่ซือเฟิงเท่านั้นที่ไม่รู้สึกทึ่งกับการพัฒนาล่าสุดของเขา
ใน God domain อาวุธนั้นมีบทบาทสำคัญที่สุดในการกำหนดพลังต่อสู้ของผู้เล่น และการอัพเกรด Abyssal Blade ครั้งล่าสุดของเขาที่ทำให้มันกลายเป็นเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานก็ได้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของซือเฟิงให้มีมากกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย เลเวลหนึ่งร้อยสิบห้าในระดับหนึ่งแล้ว และด้วยความช่วยเหลือจากแหวนแห่งกอสเปล ซึ่งทำให้กองทัพจากโลกแห่งความมืด และมอนสเตอร์อัญเชิญขั้นสี่ทั้งหมดอ่อนแอลง มันจึงช่วยเพิ่มขอบเขตความต่างได้อีกอย่างมาก ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาจะทำให้มอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย เลเวลหนึ่งร้อยสิบห้าปลิวกระเด็นไปได้
“หัวหน้ากิลดอร์น คุณยังต้องการจะต่อกันไหม ?” ซือเฟิงถามชายที่ยังคงไม่เคลื่อนไหวตรงหน้าเขา
คราวนี้ซือเฟิงไม่ได้พูดเสียงดังขนาดนั้น อย่างไรก็ตามผู้เล่นจากโลกแห่งความมืดนั้นก็พบว่าเสียงของเขานั้นเสียดหูและไม่น่าฟังอย่างมาก นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ซือเฟิงถามคำถามนี้ และมันราวกับว่าเขากำลังเยาะเย้ยพวกเขาสำหรับการล้อเลียนเขาก่อนหน้านี้ และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหวังว่าพวกเขาจะได้พุ่งไปข้างหน้า และฆ่าซือเฟิงให้ได้ในตอนนี้
อัปยศ !!
นี่มันเป็นความอัปยศอย่างแท้จริง !!
อย่างไรก็ตามแม้จะรู้สึกอับอายอย่างมาก แต่มันก็ไม่มีผู้เล่นสายความมืดคนใดกล้าพูด และพวกเขาก็ทำได้แค่จ้องมองไปยังดอร์นโดมิแน้นซ์ที่ยังคงเงียบอยู่เท่านั้น
ในขณะเดียวกัน หลังจากที่ซือเฟิงถามคำถามซ้ำ การแสดงออกที่มืดมนอย่างไม่อาจอธิบายได้ก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของดอร์นโดมิแน้นซ์
“แบล๊คเฟรม !!” ดอร์นโดมิแน้นซ์กัดฟันของเขา ขณะที่จ้องมองไปยังซือเฟิง อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากเรียกชื่อของซือเฟิงแล้ว เขาก็ไม่คิดจะพูดอะไรอีก
ในสถานการณ์นี้พวกมหาอำนาจต่างๆของโลกแห่งความมืดนั้นล้วนเห็นใจและเข้าใจดอร์นโดมิแน้นซ์อย่างมาก
ก่อนหน้านี้ดอร์นโดมิแน้นซ์ได้จ่ายไปอย่างมหาศาลเพื่อที่จะเพิ่มอิทธิพลของเวิร์ลโดมิเนชั่นในโลกแห่งความมืดผ่านสงครามครั้งนี้ และนั่นมันก็ทำให้มหาอำนาจหลายกลุ่มไม่พอใจอย่างมาก โดยเฉพาะกับดาร์ครัปโซดี้ และเดียตี้โซไซตี้
อย่างไรก็ตามในตอนนี้แม้แต่บลูเรนโบว์ กับผู้อาวุโสโกลด์ ซึ่งมาจากดาร์ครีปโซดี้ และเดียตี้โซไซตี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารดอร์นโดมิแน้นซ์
ท้ายที่สุด ซือเฟิงนั้นโหดร้ายเกินไปจริงๆ !!!
การจงใจถามคำถามซ้ำแบบนี้ไม่เพียงแต่ซือเฟิงจะทำให้ดอร์นโดมิแน้นซ์อับอายอย่างมาก แต่มันก็ยังทำให้ดอร์นโดมิแน้นซ์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับความอับอายด้วย
“หัวหน้ากิลดอร์น หากคุณต้องการจะสู้ต่อ ฉันก็ไม่คัดค้านใดๆ เพราะท้ายที่สุดผลลัพธ์สุดท้ายมันก็ยังไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของฉัน” ซือเฟิงพูดพลางยักไหล่อย่างไม่มั่นใจ ขณะเขามองไปยังสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวของดอร์นโดมิแน้นซ์
เมื่อได้ยินคำพูดของซือเฟิง พวกระดับสูงของกิลขนาดใหญ่และทีมนักผจญภัยต่างๆจากโลกแห่งความมืดก็รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก และใช้สายตามองไปยังดอร์นโดมิแน้นซ์อย่างสื่อความหมายบางอย่าง
ขณะที่สมาชิกของสภาสิบแปดปีก และผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจที่เฝ้าชมอยู่ก็ล้วนตกตะลึงกับฉากนี้มากเช่นกัน
โลกแห่งความมืดที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างความหวาดกลัวให้กับมหาอำนาจต่างๆของทวีปหลักในตอนนี้ได้ถูกทำให้อับอายและกลายเป็นเรื่องตลกด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำของซือเฟิง และหากพวกเขาไปเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ มันคงไม่มีใครเชื่อพวกเขาแน่นอน อย่างไรก็ตามนี่มันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาจริงๆ
แน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆที่เฝ้าชมอยู่นั้นก็อดไม่ได้ที่จะเห็นใจผู้เล่นจากโลกแห่งความมืดเช่นกัน
การต่อสู้ในปัจจุบันนั้นมันเกี่ยวข้องกับรากฐานของทั้งสองฝ่าย หากกองทัพจากโลกแห่งความมืดประสบความสูญเสียอย่างหนักในตอนนี้ ความพยายามทั้งหมดที่พวกเขาทำมาก็จะไร้ความหมายไปทันที และนี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่พวกเขาจะสามารถยอมรับได้อย่างแน่นอน
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ฉันยอมรับจริงๆว่าคุณทรงพลังมาก !!! โลกแห่งความมืดจะขอยอมแพ้เรื่องประตูเทเลพอร์ตในครั้งนี้ !!! อย่างไรก็ตามอย่าคิดว่าคุณจะได้ทำแบบนี้นานนัก คุณจะไม่สามารถควบคุมประตูเทเลพอร์ตนี้ได้ตลอดไปหรอก !!!” ดอร์นโดมิแน้นซ์กล่าวหลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ
ทันทีที่ดอร์นโดมิแน้นซ์พูดจบ เขาก็หันหลังกลับ และเดินกลับเข้าประตูเทเลพอร์ตไป เขาไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ในป่าใบไม้ผลิอีกต่อไป
เมื่อเห็นสิ่งนี้กองทัพของโลกแห่งความมืดก็เริ่มถอยทัพกลับไปที่โลกแห่งความมืด และไม่มีใครเลือกจะอยู่ในป่าใบไม้ผลิอีกต่อไป มันมีผู้เล่นอิสระเหลือแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ตัดสินใจจะอยู่เบื้องหลังเพื่อรอดูสถานการณ์
“สภาสิบแปดปีกชนะ ทั้งๆแบบนี้เลยงั้นหรอ ?”
เพอเพิ้ลรากษสตกตะลึง เมื่อเธอเห็นว่ากองทัพของโลกแห่งความมืดกำลังถอยกลับ ครู่หนึ่งเธอรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังฝัน
สภาสิบแปดปีกเอาชนะผู้เชี่ยวชาญจากโลกอื่นทั้งโลกได้ !!!