ตอนที่ 2697 การตรวจสอบสภาสิบแปดปีก
สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีก ล็อบบี้ :
ด้วยมีเพดานที่สูงเก้าเมตร ล๊อบบี้นี้จึงดูเหมือนกับสนามกีฬาขนาดเล็กอย่างมาก และนอกเหนือจากส่วนต้อนรับ และแผนกต้อนรับแขกผู้มาเยือนแล้ว ที่นี่ยังมีพื้นที่เล้านจ์ ตลอดจนแพลตฟอร์มการต่อสู้เสมือนจริงสำหรับสมาชิกภายในของกิลเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับตัวเองและผู้มาเยือนด้วย
เนื่องจากเหตุผลดังกล่าวนี้ มันจึงมีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่ล็อบบี้
เมื่อมู่ฉินและพรรคพวกของเธอเข้ามาในล็อบบี้ พวกเขาก็สังเกตเห็นผู้คนหลายร้อยคนที่กำลังมุ่งอยู่ที่แพลตฟอร์มการต่อสู้เสมือนจริง โดยคนเหล่านี้กำลังดูการดวลกันระหว่างสมาชิกภายในของสภาสิบแปดปีก และฉากเหล่านี้มันก็ดูมีชีวิตชีวามากๆ
หลังจากเห็นกลุ่มของมู่ฉินเดินเข้ามาในล็อบบี้ พนักงานต้อนรับคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาพวกเขาและถามว่า “สวัสดี พวกคุณมาที่นี่เพื่อดูสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีก หรือว่ามาทำธุรกิจบางอย่าง ?”
“หลานสาวทั้งสองของฉันนั้นสนใจสภาสิบแปดปีกมากๆ ดังนั้นวันนี้ฉันจึงได้พาพวกเขามาที่นี่” ลุงหงอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ ฉันเข้าใจแล้ว …” พนักงานต้อนรับยิ้ม และหยิบบัตรผู้เยี่ยมชมสี่ใบออกมา “คุณสามารถจะขึ้นไปได้ถึงชั้นเก้าเลยด้วยบัตรผู้เยี่ยมชมนี้ สำหรับชั้นอื่นๆมันมีไว้ให้สำหรับสมาชิกภายในของสภาสิบแปดปีกเท่านั้น หากคุณมีคำถามใดๆหลัง
จากการทัวแล้ว คุณสามารถจะถามที่แผนกต้อนรับได้เลย”
“ขอบคุณ” ลุงหงพยักหน้าและรับบัตรผู้เยี่ยมชมมาทันที
หลังจากนั้นพนักงานต้อนรับก็กลับไปประจำการที่แผนกต้อนรับและอนุญาติให้กลุ่มของมู่ฉินเดินเตร่ไปรอบอาคารได้อย่างอิสระ
“สภาสิบแปดปีกนั้นค่อนข้างจะใจกว้างจริงๆ พวกเขาอนุญาติให้บุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่หลักของพวกเขาได้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้มันจะช่วยเราได้มากเลย” เครุยแสดงความคิดเห็นด้วยความประหลาดใจ เมื่อเธอได้รับบัตรผู้เยี่ยมชมมาจากลุงหง
โดยปกติแล้วกิลขนาดใหญ่ต่างๆจะมีข้อจำกัดที่เข้มงวดมากๆในสำนักงานใหญ่หลักของพวกเขา และนอกเหนือจากล็อบบี้แล้ว พวกเขาก็มักไม่อนุญาติให้บุคคลภายนอกเข้าชมสถานที่อื่นๆ
“พวกเขาอาจจะพยายามหลอกล่อให้ผู้คนเข้าร่วมสภาสิบแปดปีกมากยิ่งขึ้นละมั้ง …” มู่ฉินกล่าว เธอคิดว่าเธอเข้าใจสถานการณ์ของสภาสิบแปดปีกอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
แม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะประสบความสำเร็จอย่างมากใน God domain แต่กิลก็ยังคงจัดเป็นองค์กรที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักในโลกแห่งความจริง และแม้จะใช้ความพยายามอย่างมากในการจัดการกับสำนักงานใหญ่หลักของตัวเอง แต่สภาสิบแปดปีกก็ยังคงขาดความสามารถในหลายด้านอยู่มาก
ดังนั้นการทำแบบนี้มันจึงจะทำให้ผู้ที่ไม่เคยได้รู้จักถึงตัวตนของสภาสิบแปดปีกใน God domain ได้รู้จักกับกิลมากขึ้น และมันก็จะเป็นการจูงใจให้หลายคนเข้าร่วมกับ
กิลด้วย
“แม้ว่าที่นี่จะมีคนอยู่จำนวนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่พวกเขาก็แทบจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญเลย และแม้แต่คนสองคนที่กำลังดวลกันอยู่นั่นก็ยังอยู่แค่ในขอบเขตครึ่งก้าวก่อนการปรับแต่งเท่านั้น” เครุยแสดงความคิดเห็น ขณะที่เธอมองดูการต่อสู้ที่แพลตฟอร์มเการต่อสู้เสมือนจริง ซึ่งเธอก็สามารถบอกมาตราฐานของนักสู้ทั้งสองได้อย่างรวดเร็ว “ฉันคิดว่าเราควรจะต้องระมัดระวังมากกว่านี้ หากจะร่วมมือกับกิลๆนี้ แผนการของเรานั้นเกี่ยวข้องกับหลายสิ่งหลายอย่าง หากคนนอกเห็นว่าเราไม่สามารถหาผู้ช่วยเหลือที่มีความสามารถได้ พวกเขาจะดูถูกฟรอสต์ฮีฟเว่นเอา”
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เครุยพูดจบ ลุงหง เทียนเฉิง และมู่ฉินที่ยังคงเงียบอยู่ก็ล้วนเต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยังกลุ่มชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
“นี่มันคาดไม่ถึงจริงๆ !!! สภาสิบแปดปีกนั้นไม่สามารถจะมองข้ามได้จริงๆ พวกเขาได้ซ่อนความสามารถบางอย่างเอาไว้จริงๆ ….” ลุงหงกล่าวชื่นชม ขณะที่มองไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวหลายๆคน
“พรสวรรค์ ?” เครุยจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งด้วยความสับสน “คุณหนูไม่ควรจะถูกดูถูกคนเหล่านี้นะ แม้ว่าออร่าของพวกเขาจะไม่ได้ปรากฎชัด แต่พวกเขาก็จัดเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงแน่นอน โดยเฉพาะผู้ชายผมสีฟ้าคนนั้นที่เขาได้ปกปิดออร่าของตัวเองไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และถ้าฉันไม่ได้มองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์จริงๆ ฉันก็คิดว่าฉันจะไม่ได้ตระหนักถึงการมีอยู่ของเขาเลย” เทียนเฉิง เด็กหนุ่มที่มีท่าทางซื่อสัตย์ข้างเครุยกล่าวอธิบาย “ตามจริงต้องบอกว่าฉันไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้ด้วยซ้ำ”
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน ?!” คำพูดของเทียนเฉิงนั้นทำให้เครุยตกตะลึง เธอสงสัยว่าเทียนเฉิงกำลังล้อเล่นกับเธอ
เทียนเฉิงนั้นเป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ของฟรอสต์ฮีฟเว่นที่ได้รับการดูแลมาอย่างดีจากบริษัทโบลเดอร์ ซึ่งไม่เพียงแต่เขาจะมาถึงขอบเขตโดเมนตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เขายังจัดว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติในด้านสมอง ความเร็วในการประมวลของเขานั้นเร็วกว่าคนทั่วไปมาก และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนรุ่นเก่าบางคนก็ยังเทียบกับเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
แล้วสภาสิบแปดปีกจะเลี้ยงดูผู้เชี่ยวชาญที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเทียนเฉิงได้ขึ้นมาได้อย่างไร ?
“พวกเขาไม่ใช่สมาชิกสภาสิบแปดปีก ….” มู่ฉินกล่าวขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“พวกเขาไม่ใช่งั้นหรอ ?” ลุงหงแปลกใจเล็กน้อย
สำหรับผู้เชี่ยวชาญที่อ่อนเยาว์เช่นนี้ เมื่อพวกเขามาปรากฎตัวในสำนักงานใหญ่หลักของสมาชิกสภาสิบแปดปีก แล้วพวกเขาจะไม่ใช่สมาชิกสภาสิบแปดปีกได้อย่างไร ?
“ฉันเคยเห็นข้อมูลตัวตนของพวกเขามาก่อน แม้ว่ามันจะดูแตกต่างกันบ้างใน God domain แต่รูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขานั้นตรงตามข้อมูลทั้งหมด เด็กผมสีฟ้าคนนั้นน่าจะเป็นโซริทารี่ฟรอสต์ รุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดของหอการค้าอาซู และฉันก็ได้ยินมาว่าไวโอเล็ตซอร์ดนั้นสนใจในตัวเขามาก” มู่ฉินอธิบาย
มู่ฉินนั้นแตกต่างจากลุงหงที่คอยจัดการกิลอยู่เบื้องหลัง แถมเธอยังเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องเครือข่ายข่าวกรองของกิล ดังนั้นเธอจึงมีข้อมูลและความเข้าใจเกี่ยวกับมหาอำนาจต่างๆของ God domain มากกว่าลุงหง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรุ่นเยาว์ของมหาอำนาจต่างๆที่เธอนั้นให้ความสำคัญมากๆในการรวบรวมข้อมูลของพวกเขา
“ทำไมอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ของหอการค้าอาซูถึงมาอยู่ที่นี่กัน ?” เครุยยิ่งงงงวยมากขึ้นกับการเปิดเผยนี้
มหาอำนาจต่างๆล้วนยกย่องและฟูมฟักอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้เป็นอย่างดี และพวกเขาก็จะป้อนทรัพยากรล้ำค่าทุกประเภทที่พวกเขามีให้กับอัจฉริยะแบบนี้ทุกวัน แถมอัจฉริยะแบบนี้ก็ยังจะต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวดทุกวัน และพูดกันตรงๆ พวกเขาจะไม่ปล่อยให้คนเหล่านี้ออกจากสำนักงานใหญ่หลักของตัวเองโดยไม่ได้มีคำสั่งใดๆ หรือไม่ได้ขออนุญาติแน่นอน เทียนเฉิงเองนั้นก็เป็นกรณีที่คล้ายกัน หากไม่ใช่เพราะว่าครั้งนี้ต้องมาตรวจสอบความแข็งแกร่งของสภาสิบแปดปีก เขาจะไม่ได้รับอนุญาติให้ออกจากสำนักงานใหญ่หลักของฟรอสต์ฮีฟเว่นเลย ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ
“สภาสิบแปดปีกนั้นน่าสนใจจริงๆ ไม่เพียงแต่อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้จากหอการค้าอาซูจะมาอยู่ที่นี่ แต่มันยังมีเพื่อนเก่าของฉันจากหอการค้าอาซูมาด้วย” ลุงหงกล่าวขณะที่เขาจ้องมองไปยังชายวัยกลางคนที่นั่งดื่มชาอยู่ที่มุมหนึ่งของล็อบบี้
“เพื่อนเก่าของลุงหง ?” เมื่อเครุยหันไปมองชายที่ลุงหงมองอยู่ เธอก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว
ชายที่ลุงหงกำลังมองอยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากต้วนฮันซาน ซึ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่รุ่นที่สองของตระกูลต้วน และชื่อเสียงในอุตสาหกรรมเกมเสมือนจริงของ
ต้วนฮันซานนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลุงหงเลย
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เธอเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการฟังเรื่องราวของชายเหล่านี้
สำหรับการที่ต้วนฮันซานมาเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกเป็นการส่วนตัวแบบนี้ มันถือเป็นข่าวใหญ่แน่นอน
ในขณะเดียวกันเมื่อลุงหง ซึ่งมีชื่อเต็มๆว่า หงซินหยวน สังเกตเห็นต้วนฮันซาน ต้วนฮันซานก็สังเกตเห็นเขาเช่นกัน ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะยิ้มให้กัน
“มาเถอะ ตามฉันมา ….” หงซินหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากพูดจบหงซินหยวนก็ได้นำมู่ฉินและคนอื่นๆเดินตรงเข้าไปหาต้วนฮันซาน
“ผู้อาวุโสหง ลมอะไรหอบคุณมาที่กัน ?” ต้วนฮันซานกล่าวทักทายหงซินหยวนด้วยรอยยิ้ม
“หลานสาวของฉันสองคนสนใจสภาสิบแปดปีกมากๆ ดังนั้นฉันจึงได้มาตรวจสอบที่นี่ ….” หงซินหยวนตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ “อย่างไรก็ตามฉันอยากรู้จังว่าทำไมปีศาจน้ำแข็งแห่งทวีปด้านตะวันตกถึงมาปรากฎตัวที่นี่ ทวีปด้านตะวันออกและตะวันตกยังไม่น่าจะมีปฎิสัมพันธ์กันมากนักนี่นา”
หอการค้าอาซูนั้นมีปฎิบัติการและฐานที่มั่นส่วนใหญ่อยู่ในทวีปด้านตะวันตก และพวกเขาก็มีธุรกิจอยู่ในทวีปด้านตะวันออกน้อยมาก ดังนั้นไม่ว่าหงซินหยวนจะคิดอย่างไร มันก็ไม่ควรมีการติดต่อกันระหว่างหอการค้าอาซูและสภาสิบแปดปีกมากนักเลย
ต้วนฮันซานหรี่ตาลงและมองไปยังหงซินหยวนอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนที่เขาจะลูบเคราของเขาและตอบอย่างเฉยเมยว่า “มันก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่พารุ่นเยาว์เหล่านี้มาประชุมและฝึกอบรมกับสภาสิบแปดปีกน่ะ แล้วพวกคุณล่ะ มาที่นี่เพื่อประชุมและฝึกกับสภาสิบแปดปีกเหมือนกันหรอ ?”
หงซินหยวนขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของต้วนฮันซาน ก่อนที่เขาจะมองไปยังต้วนฮันซานด้วยท่าทีสงสัย ….
นับประสาอะไรกับหงซินหยวน แม้แต่เครุยก็ยังคิดว่าต้วนฮันซานกำลังล้อเล่นกับพวกเขา แม้ว่าเธอจะเป็นมือใหม่ที่พึ่งเข้าสู่อุตสาหกรรมเกมเสมือนจริงเมื่อไม่นานมานี้ แต่เธอก็รู้ดีว่าหอการค้าอาซูนั้นมีรากฐานที่ไม่ธรรมดา และก็อยู่เหนือกว่ามหาอำนาจทั่วไปมาก
ในการเปรียบเทียบ สภาสิบแปดปีกนั้นเป็นกิลใหม่ที่พึ่งจะเกิดขึ้นมาพร้อมกับ God domain ดังนั้นใครกันจะไปเชื่อว่าหอการค้าอาซูจะส่งอัจฉริยะของพวกเขามาฝึกกับสภาสิบแปดปีก ?
“อะไร ? ไม่เชื่อฉันงั้นหรอ …” ต้วนฮันซานกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
“ถ้าเราอยู่ในสำนักงานใหญ่หลักของซุเปอร์กิล ฉันจะเชื่อคุณแน่ๆ แต่ที่นี่มันสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกนะ …” หงซินหยวนกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ และส่ายหัว
การดำเนินการบางอย่างของกิลนั้นต้องถูกเก็บเป็นความลับ และไม่สามารถเปิดเผยให้บุคคลภายนอกรับรู้ได้ อย่างไรก็ตามในความเห็นของหงซินหยวน ข้อแก้ตัวของต้วนฮันซานมันก็ออกจะเกินไปหน่อย การบอกว่าเหล่าอัจฉริยะของหอการค้าอาซูมาเพื่อสอนสมาชิกสภาสิบแปดปีกมันยังจะดูน่าเชื่อกว่า
“ฉันรู้ว่าคุณคงไม่เชื่อฉัน ….” รอยยิ้มของต้วนฮันซานสดใสขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดของหงซินหยวน จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่แพลตฟอร์มการต่อสู้เสมือนจริงที่อยู่ใกล้ๆและพูดว่า “อีกครู่หนึ่ง เรากำลังจะฝึกต่อสู้กับสภาสิบแปดปีกพอดี เนื่องจากคุณไม่เชื่อฉัน งั้นเรามาพนันกันหน่อยไหม ?”
“พนัน ? เราจะพนันกันอย่างไร ?” หงซินหยวนถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“คุณพารุ่นเยาว์ของคุณมาด้วยไม่ใช่หรอ ?” ต้วนฮันซานกล่าวพลางมองไปที่เทียนเฉิง ก่อนที่เขาจะกล่าวต่ออย่างใจเย็นว่า “เท่าที่ดู ฉันว่าเขาค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว ทำไมคุณไม่ให้เขาเข้ามาต่อสู้แทนรุ่นเยาว์ของฉันล่ะ ? อย่างไรก็ตามนี่มันเป็นสิทที่ค่อนข้างมีค่ามาก ฉันไม่สามารถปล่อยให้รุ่นเยาว์ของคุณเข้าร่วมได้ฟรีๆ ดังนั้นฉันขอสารอาหารเหลวระดับ S ห้าขวดเป็นค่ามัดจำแล้วกัน”
หงซินหยวนนั้นแทบสำลัก เมื่อได้ยินข้อเสนอของต้วนฮันซาน ต้วนฮันซานไม่เพียงแต่จะขอให้รุ่นเยาว์ของเขาออกไปแสดงความสามารถ แต่เขาก็ยังขอสารอาหารเหลวระดับ S อีกห้าขวดด้วย นี่มันไร้ยางอายเกินไป !!!
“อย่าพึ่งรีบปฎิเสธฉัน …” เมื่อเห็นใบหน้าที่มืดมนของหงซินหยวน ต้วนฮันซานก็กล่าวเสริมว่า “ถ้ารุ่นเยาว์ของคุณชนะ ฉันจะจ่ายคืนให้สองเท่าเลย”
“ดูเหมือนว่าคุณจะประเมินสภาสิบแปดปีกไว้ค่อนข้างสูงนะ ….” หงซินหยวนค่อนข้างแปลกใจ เมื่อได้ยินข้อเสนอของต้วนฮันซาน
สารอาหารเหลวระดับ S สิบขวดนั้นมันเพียงพอที่จะใช้เลี้ยงดูคนๆหนึ่งให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดขึ้นมาได้ในเวลาครึ่งปีเลย และจำนวนนี้ก็ยังนับว่ามากอยู่แม้แต่กับมหาอำนาจอย่างฟรอสต์ฮีฟเว่น
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่หงซินหยวนกำลังจะตอบรับข้อเสนอนั้น ต้วนฮันซานก็กล่าวต่อว่า “แต่ถ้าคุณแพ้ คุณจะต้องจ่ายเพิ่มให้ฉันอีกสิบขวดนะ ….”
“…” ชั่วครู่หนึ่ง หงซินหยวนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ….
ทำไมต้วนฮันซานถึงทำเหมือนกับว่าพวกเขาจะแพ้แน่นอนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ?
“ว่าไง อยากพนันไหม ?” ต้วนฮันซานถามย้ำ เมื่อเห็นหงซินหยวนยังคงเงียบอยู่
อย่างไรก็ตามหงซินหยวนนั้นไม่ได้เป็นมือใหม่หรือคนที่หยิ่งผยอง เขาไม่ได้รีบตอบรับคำถามของต้วนฮันซาน ตรงกันข้ามเขาได้หันกลับไปมองเทียนเฉิงแทน
“เทียนเฉิง นายคิดว่าไง ?” หงซินหยวนถาม