ตอนที่ 2820 ค้นพบป้อมปราการเหล็ก
เมืองป่าทะเลทราย สันเขาปิงหยู :
ในฐานะแผนที่เลเวลเจ็ดสิบ สันเขาปิงหยูนั้นถูกปกคลุมไปด้วยลมและหิมะตลอดทั้งปี โดยที่ที่นี่ก็มีชื่อเสียงในการผลิตแร่ไครโอไลท์
โดยแร่ไครโอไลท์นี้เป็นหนึ่งในแร่ไม่กี่ชนิดใน God domain ที่สามารถใช้สร้างเครื่องมือเล่นแร่แปรธาตุที่เป็นที่ต้องการอย่างมากใน God domain ได้ อย่างไรก็ตามแร่นี้มันก็หายากมากๆ และปรากฎขึ้นแบบสุ่มเท่านั้น ซึ่งในตลาดมันก็มีราคาถึงยี่สิบเหรียญเงินต่อชิ้น ด้วยเหตุผลนี้เองมันทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่จำนวนมากเลือกจะเข้ามาเก็บเลเวลที่นี่ เพราะหากพวกเขาโชคดีมากพอ พวกเขาก็จะได้รับแร่ไครโอไลท์เป็นของแถมจากการล่าที่นี่ด้วย ซึ่งพวกเขาจะสามารถนำมันไปขายในบ้านประมูลของเมือง NPC ได้
อย่างไรก็ตามตอนนี้บริเวณสันเขาปิงหยูนั้นไม่มีผู้เล่น หรือ NPC ที่เก็บเลเวลอยู่ที่นี่เลย สันเขาปิงหยูทั้งหมดนั้นได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นดินแดนแห่งความตายที่ไร้มนุษย์โดยสมบูรณ์ด้วยฝีมือของกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint
ขณะเดียวกันบนท้องฟ้าเหนือสันเขาปิงหยู มันก็มีอีกาเพลิงมืดที่มีขนาดลำตัวยาวกว่ายี่สิบเมตรบินตรงมาจากระยะไกล โดยมันได้บินตรงมาลอยอยู่บริเวณงูปีศาจโบราณที่มีขนาดลำตัวยาวเกือบสองร้อยเมตร
ตัวตนของงูปีศาจโบราณนั้นดูเหมือนราชันแห่งท้องฟ้าที่อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดอย่างชัดเจน อีกาเพลิงมืดที่ดูตัวใหญ่นั้นก็ดูไม่ต่างจากเด็กทารกเลย เมื่ออยู่ต่อหน้างูปีศาจโบราณ ขณะเดียวกันดวงตาของอีกาเพลิงมืดก็บ่งบอกถึงความหวาดกลัวต่องูปีศาจโบราณอย่างชัดเจน หากว่าไม่ได้มีผู้ที่ควบคุมงูปีศาจโบราณที่นั่งอยู่บนหลังของมัน อีกาเพลิงมืดก็คงจะไม่กล้าเข้าใกล้งูปีศาจโบราณเลย
ขณะที่บนตัวงูปีศาจโบราณนั้นนั้นก็มีผู้เล่นสามร้อยคนนั่งอยู่ โดยแต่ละคนล้วนมีเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบหกหรือสูงกว่าทั้งหมด ส่วนผู้ที่นั่งอยู่แถวหน้าบนหลังของงูปีศาจโบราณห้าคนนั้นก็แผ่ออร่าที่แข็งแกร่งไม่ได้น้อยไปกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายชั้นยอดออกมาเลย
ซึ่งก็แน่นอนว่าทั้งห้าคนนี้เป็นผู้เล่นขั้นสี่กันทั้งหมด
ถ้าซือเฟิงมาอยู่ที่นี่ เขาจะรู้ได้ในทันทีว่าหนึ่งในห้าผู้เล่นขั้นสี่พวกนี้นั้นคือสาวสวยผมสั้นสีฟ้าที่แข็งแกร่งมากๆที่ได้ติดตามซี่หยวนไปยังเมืองสกายสปริง อย่างไรก็ตามตอนนี้ดวงตาของสาวสวยผมสั้นสีฟ้าก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวมากๆ ขณะที่มองไปยังชายชราที่สวมชุดเกราะสีดำที่ยืนอยู่หน้าสุดบนหลังงูปีศาจโบราณ
“ผู้อาวุโสจูเฟิงหยิง ขอโทษจริงๆที่ปล่อยให้คุณต้องรอนาน …” ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังอีกาเพลิงมืด ซึ่งมีรูนสีแดงเลือดอยู่บริเวณรอบคอ และรูม่านตาเป็นสีทองเข้มที่ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลู่ชิงหลัวกล่าวทักทายชราชราในชุดเกราะสีดำ “เมื่อผู้อาวุโสจูเฟิงหยิงนำกองอัศวินดำมาเองในครั้งนี้ ดูเหมือนว่ายังไงซะสภาสิบแปดปีกก็จะต้องถูกทำลาย และหายไปจาก God domain แน่นอน”
สำหรับกิลร้อยผีโดดเดี่ยวนั้น มหาอำนาจส่วนใหญ่รู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเกี่ยวกับกิลๆนี้ อย่างไรก็ตามสำหรับลู่ชิงหลัวเขารู้ถึงความน่ากลัวของกิลร้อยผีโดดเดี่ยวเป็นอย่างดี
กองอัศวินดำนั้นเป็นกองกำลังหลักของกิลร้อยผีโดดเดี่ยว โดยพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่ากองกำลังหลักของห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดด้วยซ้ำ เพราะคนในกองกำลังนี้นั้นไม่สามารถถูกเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป พวกเขาทั้งหมดล้วนมีสายเลือดพิเศษ และพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง มาตราฐานการต่อสู้ ความคมชัดของประสาทสัมผัสทั้งห้า ความเร็วในการตอบสนอง พลังดิบ และอื่นๆอีกมากมายนั้นมันหาที่เปรียบไม่ได้เลย แม้แต่ในหมู่ผู้เล่นขั้นสี่
สำหรับอุปกรณ์ที่พวกเขาสวมใส่นั้นมันก็เป็นเซ็ทมานาขั้นสาม ซึ่งมันทำให้แท๊งเกอร์ขั้นสามสามารถจะแท๊งกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายแบบโซโล่ในเลเวลเดียวกันได้สบายๆเลย
แต่มันก็แน่นอนว่าเซ็ทมานาขั้นสามนั้นไม่ใช่ว่าจะสามารถสวมใส่ได้ทุกคน อันเนื่องมาจากความต้องการค่า STR เพื่อสวมใส่ที่มันสูงมาก และแม้จะเป็นเบอเซิกเกอร์ขั้นสามที่เน้นอัพค่า STR ก็ยังสวมใส่ไม่ได้เลย ซึ่งโดยส่วนใหญ่อย่างน้อยผู้ที่ต้องการจะสวมใส่มันจะต้องเป็นผู้เล่นขั้นสี่ก่อน
มันมีเพียงแค่เฉพาะสัตว์ประหลาดเหล่านี้ที่ถูกสร้างขึ้นโดยร้อยผีโดดเดี่ยวเท่านั้นที่สามารถจะสวมใส่เซ็ทมานาขั้นสามนี้ได้ตั้งแต่อยู่ในขั้นสาม
นอกจากนี้เซ็ทมานานี้มันยังมีข้อบกพร่องตรงที่มันเป็นอุปกรณ์สิ้นเปลืองที่ใช้แล้วหมดไป ไม่สามารถซ่อมแซมได้ แถมมันก็ยังมีค่าความทนทานน้อยกว่าเซ็ทอุปกรณ์ทั่วไปด้วย ดังนั้นแม้แต่ร้อยผีโดดเดี่ยวก็ยังไม่กล้าที่จะใช้มันแบบมั่วๆ
แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขากับส่งผู้เล่นสามร้อยคนนี้ที่สวมใส่เซ็ทมานาขั้นสามมาพร้อมทุกคนเพื่อจัดการกับสภาสิบแปดปีก
“ก็ในเมื่อสภาสิบแปดปีกไม่เห็นร้อยผีโดดเดี่ยวอยู่ในสายตา ดังนั้นฉันในฐานะผู้อาวุโสของกิลจึงได้ถูกส่งมาเพื่อสอนบทเรียนครั้งใหญ่ให้กับสภาสิบแปดปีกนั่นแหละ” จูเฟิงหยิงกล่าวอย่างสบายๆ ขณะที่เขามองไปยังลู่ชิงหลัว ก่อนที่เขาจะมองผ่านหลังของลู่ชิงหลัวไปด้วยความสนใจ และกล่าวถามว่า “หัวหน้ากิลชิงหลัว คุณจะไม่แนะนำคนด้านหลังให้ฉันรู้จักหน่อยงั้นหรอ ?”
ถ้าตอนนี้ลู่ชิงหลัวเป็นเหมือนปีศาจชายลึกลับ ชายที่อยู่ด้านหลังของลู่ชิงหลัวนั้นก็เป็นปีศาจที่แท้จริงเลย เพราะแม้ว่าเขาจะไม่ได้แผ่ออร่าออกมานัก แต่เขาก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นภัยคุกคามอย่างชัดเจน
“โอ้ใช่แล้ว เกือบลืมไปเลย …” ลู่ชิงหลัวยิ้ม และพูดว่า “นี่คือหัวหน้ากิลที่แท้จริงของมือแห่งนักบุญ จักรพรรดิอสูร”
เมื่อลู่ชิงหลัวพูดจบ จูเฟิงหยิงก็มีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย ….
“ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่ามือแห่งนักบุญนั้นจะอยู่ภายใต้การควบคุมของวิหารเทพปีศาจ” จูเฟิงหยิงกล่าวพลางมองไปยังกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ด้านล่าง “งั้นมอน
สเตอร์พวกนี้ก็เป็นสัตว์ปีศาจ และปีศาจที่ปลอมตัวมางั้นหรอ ?”
“คุณเข้าใจผิดแล้วผู้อาวุโสจูเฟิงหยิง นี่มันไม่ใช่การปลอมตัว แต่มันเป็นการวิวัฒนาการ !!!” จักรพรรดิอสูรมองไปที่จูเฟิงหยิงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้คุณก็ได้เห็นพลังของกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint แล้ว หากคุณมีความต้องการใดๆให้ฉันช่วยในอนาคต สามารถติดต่อฉันมาได้ผ่านชิงหลัวเลย”
“ณ จุดนี้ร้อยผีโดดเดี่ยวของเราก็มีวิธีการของตัวเองเช่นกัน และส่วนใหญ่พวกเราชอบทำงานคนเดียว ดังนั้นฉันขอรับไว้แต่ความหวังดีแล้วกัน อย่างไรก็ตามจักรพรรดิอสูร คุณดูเหมือนจะมีความเกลียดชังต่อสภาสิบแปดปีกอย่างมากเลยนะ คุณกระทั่งยอมนำกองทัพล้านแบบนี้เข้ามาเสี่ยงโจมตีสภาสิบแปดปีกในอาณาจักรทวินทาวเวอร์” จูเฟิงหยิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่อย่างไรก็ตามด้วยกองทัพขนาดใหญ่แบบนี้ แม้แต่กองทัพ NPC ของอาณาจักรก็คงยากจะรับมือด้วยแน่นอน เพียงแต่ว่ามันก็มีสิทที่กองทัพของคุณจะต้องสูญเสียอย่างหนักด้วยนี่นา ….”
“ผู้อาวุโสจูเฟิงหยิง คุณเข้าใจผิดแล้ว แม้ว่าฉันจะเกลียดสภาสิบแปดปีกมากๆ แต่อีกใจหนึ่งฉันก็ต้องขอบคุณแบล๊คเฟรมด้วยที่ทำให้ฉันต้องออกหน้ามาช่วยเหลือชิงหลัว แถมเขายังทำให้ฉันได้มารู้จักกับคุณอีก ดังนั้นฉันจึงไม่ได้คิดอะไรมากมายนักกับเรื่องนี้ จัดการแบล๊คเฟรมมันก็เหมือนของแถมเท่านั้นแหละ …” จักรพรรดิอสูรกล่าวด้วยแววตาที่ไม่ได้สนใจกองทัพของอาณาจักรทวินทาวเวอร์เลย
“แล้วพวกผู้เล่นขั้นสี่ของแบล๊คเฟรมล่ะ ? คุณจะจัดการกับพวกเขายังไง ?” จูเฟิงหยิงถามกลับ
“ฉันต้องการแค่ร่างกายของพวกเขาเท่านั้นแหละ” จักรพรรดิอสูรกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อทั้งสองฝ่ายพูดคุยและบรรลุข้อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดต่างก็พากองกำลังของพวกเขาเดินทางไปยังหอคอยแห่งพันธสัญญาลับทันที
เมื่อกองกำลังของทั้งสองออกเดินทาง มันก็มีมังกรบินที่มีผู้เล่นจำนวนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังมันสะกดรอยตามไปติดๆ โดยผู้เล่นจำนวนหนึ่งนี้ก็ได้ใช้กระจกเวทย์มนต์ในการส่อง และตรวจดูสถานการณ์ทั้งหมด
“สุดยอดเลย !!! ไม่คาดคิดเลยว่าจักรพรรดิอสูรนั้นจะเป็นหัวหน้ากิลที่แท้จริงของมือแห่งนักบุญ !!! และด้วยการร่วมมือกันของจักรพรรดิอสูรกับร้อยผีโดดเดี่ยวนี้ คราวนี้สภาสิบแปดปีกจะต้องถูกทำลายแน่นอน !!!” โคลท์ชาโด้วที่เฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ตั้งแต่แรกอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ
“แล้วยังงี้เราจะยังคงไปที่หอคอยแห่งพันธสัญญาลับกันอยู่ไหม ?” ไวท์เฟเธอร์กล่าวถาม
“ไม่แล้วหล่ะ ด้วยกองทัพที่ใหญ่ขนาดนี้ที่เดินทางไปยังหอคอยแห่งพันธสัญญาลับ เมื่อทุกอย่างจบลง เรามีสิทจะได้รับผลกระทบไปด้วย ….” โคลท์ชาโด้วกล่าวพลางส่ายหัว “ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้ความพ่ายแพ้ของสภาสิบแปดปีกเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน และเมื่อได้เห็นกองทัพของจักรพรรดิอสูรกับความแข็งแกร่งของร้อยผีโดดเดี่ยวแบบนี้แล้ว เราควรจะกลับไปเตรียมตัวเพื่อให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ในอนาคตที่จะมาถึงดีกว่า”
เมื่อพูดจบ โคลท์ชาโด้วก็ได้หยิบม้วนคัมภีร์วาร์ปกลับเมืองแบบกลุ่มออกมา และใช้มันเดินทางกลับไปยังจักรวรรดิมังกรไฟทันที โดยไม่ได้คิดจะอยู่ดูอะไรต่อ
ผลลัพธ์ของการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นมันชัดเจนแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ดูต่อเลย สู้กลับไปเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตัวเองขึ้นมันยังจะมีประโยชน์ซะกว่า
ขณะเดียวกันที่ด้านหน้าหอคอยแห่งพันธสัญญาลับ สมาชิกของพันธมิตรสามกิลของสภาสิบแปดปีกที่ได้เข้าไปล่าและเก็บเกี่ยวในหอคอยแห่งพันธสัญญาลับก็ได้รวมพลเสร็จสิ้น และเดินออกมาจากหอคอยแล้ว
โดยฟลายอิ้งชาโด้ว ผู้ซึ่งเป็นคนรับผิดชอบในการค้นหามรดกที่สมบูรณ์ขั้นสามของสภาสิบแปดปีกในหอคอยแห่งพันธสัญญาลับได้เข้ามารายงานกับซือเฟิงว่า “หัวหน้ากิล ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันพร้อมแล้ว และพวกเขาก็พร้อมจะรับคำสั่งตลอดเวลา”
“เอาล่ะ ให้พวกเขาทั้งหมดเตรียมตัว โดยเฉพาะผู้ที่เป็นนักเวทย์ขั้นสูงหรือสูงกว่าแล้ว ให้มารวมตัวกันเป็นกลุ่มเดียว” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า
“รับทราบ !!” ฟลายอิ้งชาโด้วพยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนที่เขาจะรีบจัดแบ่งทีมย่อยๆออกไปตามคำสั่งของซือเฟิงทันที
ในขณะที่ทำตามคำสั่งของซือเฟิงนั้น สมาชิกพันธมิตรสามกิลของสภาสิบแปดปีกก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมซือเฟิงซึ่งเป็นผู้เรียกรวมพวกเขาถึงได้บินห่างออกไปหลายพันหลาเพื่อร่ายเวทย์
อย่างไรก็ตามหลังจากซือเฟิงร่ายเวทย์มาเป็นเวลาราวสามสิบวินาทีหรือมากกว่านั้นนิดหน่อย วงเวทย์ที่ปกคลุมท้องฟ้าในระยะหลายพันหลาก็ปรากฎขึ้น และนี่มันก็นับเป็นวงเวทย์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ทุกคนเคยเห็นแน่นอน
อย่างไรก็ตามก่อนที่ทุกคนจะทันได้หายตกตะลึงเรื่องวงเวทย์นี้ มันก็มีป้อมปราการเหล็กที่มีความสูงเท่ากับภูเขาค่อยๆโผล่ออกมาจากวงเวทย์ ….