ตอนที่ 2828 เลเวลที่พุ่งทะยานอย่างน่ากลัว
ภายในภูเขาที่มืดมิดและเงียบสงัด วิหารขนาดใหญ่ได้ตั้งตระหง่านอยู่เหนือถ้ำในหุบเขา
ในขณะที่แท่นบูชาที่อยู่ตรงกลางของวิหารนี้เปล่งประกายสีดำออกมา มันก็มีร่างหนึ่งเดินออกมาจากแสง ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจักรพรรดิอสูรที่ซือเฟิงพึ่งจะฆ่าไป
ในเวลานี้นอกจากออร่าที่อ่อนแอแล้ว เลเวลของจักรพรรดิอสูรไม่ได้ลดลงไปเลย เขายังคงมีเลเวลหนึ่งร้อยสามสิบสอง และอยู่ในขั้นสี่เช่นเดิม
“แบล๊คเฟรม คุณต้องการจะฆ่าฉันและทำให้ฉันได้รับความสูญเสียร้ายแรงผ่านคำสาปล๊อควิญญาณงั้นหรอ ?! คุณพลาดแล้ว !!!” เมื่อนึกถึงซือเฟิงที่ทำการฆ่าเขาในทันที จักรพรรดิอสูรก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยัน “ฉันได้รับของขวัญจากเทพปีศาจมาเป็นเวทย์ต้องห้าม ร่างอมตะ คุณไม่สามารถจะทำแบบนี้กับฉันได้ง่ายๆหรอก และตอนนี้ฉันก็เข้าใจถึงการวิวัฒนาการของมอนสเตอร์ Faux Saint ขั้นห้าโดยพื้นฐานแล้ว ซึ่งตราบใดที่ฉันรวบรวมวัสดุได้เพียงพอ และสร้างมันขึ้นมาได้เมื่อไหร่ ฉันจะทำให้คุณและสภาสิบแปดปีกของคุณได้ลิ้มรสชาติแห่งความตายแน่นอน !!!”
ร่างอมตะนั้นเป็นเวทย์ต้องห้ามขั้นสี่ที่ทำให้เขาสามารถฟื้นคืนจากความตายได้วันละครั้งโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งเมื่อเขาตายนั้น เขาจะมาฟื้นคืนชีพที่บริเวณวิหารเทพปีศาจทันที และเวทย์นี้มันมีผลเสมอแม้จะอยู่ในดินแดนต้องห้ามก็ตาม
ซึ่งเวทย์นี้นั้นจริงๆแล้วมันก็เป็นหนึ่งในไม้เด็ดของเขาที่เขาเตรียมไว้เพื่อใช้แก้ปัญหาเวลาเขาถูก NPC จับ เพราะท้ายที่สุดหากเขาต้องถูกส่งตัวให้วิหารเทพสงครามจริงๆ เขาจะได้ตายจริงๆแน่นอน
และมันก็เป็นเพราะเวทย์ต้องห้ามนี้แหละที่ทำให้เขากล้าที่จะปรากฎตัวต่อสาธารณชนมากขึ้น โดยไม่ต้องกลัวว่าเหล่า NPC จะมาจับตัวเขา
“แต่น่าเสียดายที่สำหรับลู่ชิงหลัวนั้นมันหมดหวังไปแล้ว ถ้ามีเขาช่วย ฉันคงจะสามารถสร้างมอนสเตอร์ Faux Saint ระดับเทพนิยายขึ้นมาได้เร็วมากๆ” จักรพรรดิอสูรแอบรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้ “หลังจากนี้ฉันคงได้แต่พึ่งตัวเองแล้ว …”
มันยากเกินไปสำหรับซือเฟิงที่จะจับเขาให้ได้ เพราะมันต้องใช้เวลาพอสมควรในการจะจับตัวเขา เนื่องจากเขาเองก็เป็นผู้เล่นขั้นสี่เหมือนกันด้วย อย่างไรก็ตามสำหรับลู่ชิงหลัวนั้นมันแตกต่างออกไป เขายังอยู่เพียงแค่ขั้นสามเท่านั้น ซึ่งในระยะนี้ของเกม ผู้เล่นขั้นสี่เท่านั้นที่จะทำทุกอย่างได้อย่างที่ตัวเองต้องการ และหากผู้เล่นขั้นสี่เจอกับผู้เล่นขั้นสาม พวกเขาก็สามารถจะฆ่าหรือจับผู้เล่นขั้นสามได้อย่างง่ายดาย
สำหรับลู่ชิงหลัวที่มีส่วนเอี่ยวกับวิหารเทพปีศาจ เมื่อเขาถูกซือเฟิงจับได้และส่งให้วิหารเทพสงครามเมื่อไหร่ เขาก็จะจบสิ้นแน่นอน เพราะบทลงโทษที่วิหารเทพสงครามจะมอบให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิหารเทพปีศาจนั้นมันหนักหนาสาหัสมากๆ
“แต่ฉันคงได้แต่พึ่งตัวเองแล้วยังไงล่ะ ? ฉันมีสมบัติลับที่ยิ่งใหญ่อยู่ ไม่ต้องพูดถึงมอนสเตอร์ Faux Saint ระดับเทพนิยายขั้นสี่เลย แค่ให้เวลาฉันสักหน่อย ฉันสามารถจะสร้างมอนสเตอร์ Faux Saint ขั้นห้าขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากด้วยซ้ำ !!!” เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ จักรพรรดิอสูรก็อดไม่ได้ที่จะเปิดกระเป๋าของเขาเพื่อจะนำเอาสมบัติลับที่เขาว่าออกมาเชยชม
แต่อย่างไรก็ตามทันใดนั้นท่าทีของจักรพรรดิอสูรก็แปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกอย่างมาก
“ไม่มีงั้นหรอ ?” จักรพรรดิอสูรทำการตรวจเช็คกระเป๋าของเขาซ้ำไปมาถึงสามครั้งเพื่อยืนยันให้แน่ใจ และเขาก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นเรื่องจริง “มันดรอปไปงั้นหรอ ?”
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ ใบหน้าของจักรพรรดอสูรก็เขียวคล้ำ
“แบล๊คเฟรม !! ฉันจะต้องทำให้คุณได้ชดใช้ให้ได้ !!!”
เสียงตะโกนก้องที่น่ากลัวดังก้องไปทั่วบริเวณของวิหารเทพปีศาจแห่งนี้ ….
ในเวลาเดียวกันกับที่จักรพรรดิอสูรฟื้นคืนชีพขึ้นมา ซือเฟิงก็ได้ใช้คำสาปล๊อควิญญาณ และจับลู่ชิงหลัวเข้าไปขังในคุกของป้อมปราการเคลื่อนที่โดยตรงเพื่อป้องกันไม่ให้ลู่ชิงหลัวได้ฆ่าตัวตาย หรือหาโอกาสหลบหนีได้
กระบวนการทั้งหมดตั้งแต่การฆ่าจักรพรรดิอสูรไปจนถึงการใช้คำสาปล๊อควิญญาณใส่จักรพรรดิอสูรและลู่ชิงหลัว รวมถึงจับลู่ชิงหลัวขักคุกนั้นกินเวลาราวห้าวินาทีเท่านั้น ขณะเดียวกันห่างออกไปไม่ไกลนัก ตอนนี้เหล่าสมาชิกของร้อยผีโดดเดี่ยวก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวายมากๆ
เพราะว่าการโจมตีก่อนหน้านี้ของซือเฟิงนั้นมันรวดเร็ว และยอดเยี่ยมมากๆ
แม้แต่ชาโด้วแดนเซอร์ขั้นสี่อย่างจูเฟิงหยิงก็ยังแทบจะไม่สามารถมองเห็นดาบของซือเฟิงได้ พูดกันตามตรงเขามองเห็นดาบของซือเฟิงชัดๆก็ตอนที่มันแทงทะลุหัวใจของจักรพรรดิอสูรไปแล้วด้วยซ้ำ
และเขาก็สามารถบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่าการโจมตีเมื่อครู่นั้น ถ้าไม่ใช่พวกแท๊งเกอร์ชั้นยอดที่อยู่ในขั้นสี่ มันก็มีสิทที่จะตายในการโจมตีเดียวทั้งหมด
โดยหลังจากที่จักรพรรดิอสูรซึ่งเป็นผู้บัญชาการของกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ตายไป ทั้งกองทัพก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย พวกมอนสเตอร์ Faux Saint ระดับต่ำๆนั้นก็พยายามจะถอยหนีกันอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม ขณะที่พวกมอนสเตอร์ Faux Saint บินได้ระดับเทพนิยายที่มีสติปัญญาสูงกว่านั้น เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่สามารถหนีไปได้ พวกมันมากกว่าสามร้อยตัวที่เหลือก็ได้เข้ามาล้อมซือเฟิงและคนอื่นๆไว้โดยพวกมันได้วางแผนที่จะต่อสู้จนตายกันไปข้างหนึ่ง
“การต่อต้านที่โง่เขลา !!!”
ซือเฟิงมองไปยังเหล่ามอนสเตอร์ Faux Saint บินได้ระดับเทพนิยายขั้นสี่มากกว่าสามร้อยตัวที่เข้ามาล้อมเขากับคนอื่นๆพลางยิ้มเยาะ ก่อนที่เขาจะหยิบแหวนแห่งกอสเปลออกมา และจ่ายด้วยคริสตัลเวทย์มนต์ห้าพันชิ้น เพื่อเปิดใช้งานโลกจิ๋ว
ชั่วขณะหนึ่งโดยมีซือเฟิงเป็นศูนย์กลางนั้นผลของโลกจิ๋วก็แผ่กระจายออกไปปกคลุมพื้นที่ในรัศมีห้าพันหลาทันที และนี่มันก็ทำให้เหล่ามอนสเตอร์ Faux Saint บินได้ทั้งหมดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพวกมันถูกปราบปรามอย่างรุนแรง และค่าสถานะของพวกมันก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
“โดเมนปราบปราม ?” หานเทียน ชายยักษ์เกราะทองมองไปยังฉากตรงหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “นี่แบล๊คเฟรมซ่อนไพ่ของเขาไว้กี่ใบกัน ?”
เดิมทีเขาคิดว่ามอนสเตอร์ Faux Saint บินได้มากกว่าสามร้อยตัวนี้อาจสร้างปัญหาให้กับสภาสิบแปดปีกได้บ้าง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามัจะเป็นเรื่องตลกไปแล้ว
ภายใต้ผลของโดเมนปราบปรามอย่างโลกจิ๋วแบบนี้นั้น แม้แต่ผู้เล่นขั้นสี่ก็ยังจะต้องถูกปราบปรามอย่างหนัก แถมหากผู้เล่นขั้นสี่คนนั้นไม่ได้เป็นปรมาจารย์นักเวทย์ พวกเขาก็จะไม่สามารถทำการบินภายในนี้ได้ด้วย
ขณะที่แต่เดิมนั้นพลังการต่อสู้ของพวกมอนสเตอร์ Faux Saint บินได้ระดับเทพนิยายนี้ก็อยู่ในขั้นพื้นฐานของขั้นสี่เท่านั้น และเมื่อมันมาถูกปราบปรามอย่างหนักแบบนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นขั้นสี่เลย แม้แต่ผู้เล่นขั้นสามก็ยังจะสามารถต่อกรกับมันได้สบายๆ
“นี่ร้อยผีโดดเดี่ยวลืมข้อตกลงที่เราทำกันไว้แล้วงั้นหรอ ?!” ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองสมาชิกของร้อยผีโดดเดี่ยวพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หรือที่คุณทำข้อตกลงกับฉันเมื่อครู่ มันแค่ล้อเล่นกัน ?”
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมก็อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิ เราแค่ตกตะลึงนิดหน่อยน่ะ ตอนนี้เราจะทำตามข้อตกลงเดี๋ยวนี้แหละ !!!” จูเฟิงเฟิงหยิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะออกคำสั่งว่า “ทุกคนไปจัดการได้ !!!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของจูเฟิงหยิง สมาชิกของกองอัศวินดำก็เริ่มเข้าปะทะกับมอนสเตอร์ Faux Saint ทันที
แม้ว่าอัศวินดำเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ผู้เล่นขั้นสาม แต่ด้วยความที่พวกเขาสวมใส่เซ็ทมานาขั้นสามมันก็ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งกว่ามอนสเตอร์ Faux Saint บินได้ระดับเทพนิยายในตอนที่อยู่ในสภาวะสูงสุดด้วยซ้ำ ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย
การโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียวจากอัศวินดำหนึ่งคนมันก็มากพอจะทำให้มอนสเตอร์ Faux Saint บินได้ปลิวกระเด็นไปแล้ว ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงจำนวนมากกว่านี้เลย
“ไฟเออร์แดนซ์ บอกให้พวกระดับสูงของเราทั้งหมดลงมาเข้าร่วมการต่อสู้นี้ โดยพวกเขาแต่ละคนจะต้องฆ่ามอนสเตอร์ Faux Saint ที่ไม่ใช่ระดับเทพนิยายกันให้ได้อย่างน้อยคนละสามตัว !!!” ซือเฟิงที่เห็นกองอัศวินดำเข้าร่วมการต่อสู้แล้ว อดไม่ได้ที่จะหันไปสั่งไฟเออร์แดนซ์
มอนสเตอร์ Faux Saint เหล่านี้ล้วนจัดเป็นขุมสมบัติที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่ามันจะไม่ได้มีไอเทมดรอปมากนัก แต่หมอกที่ออกมาจากตัวพวกมันนั้นก็พิเศษมาก ซึ่งหากผู้เล่นขั้นสี่ และขั้นสามได้ดูดซับเข้าไป มันก็จะช่วยในการพัฒนาของพวกเขาได้อย่างมาก
โดยเฉพาะกับพวกที่ยังติดอยู่ในขั้นสาม การได้ดูดซับหมอกพวกนี้เข้าไปนั้นจะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้อย่างมาก
“รับทราบ !! ฉันจะติดต่อพวกที่อยู่ในป้อมปราการทันที !!!” ไฟเออร์แดนซ์พยักหน้า ก่อนจะรีบไปทำตามคำสั่งทันที
ขณะที่ไฟเออร์แดนซ์รีบออกไปติดต่อคนอื่นๆให้มาเข้าร่วมสนามรบตามคำสั่งของซือเฟิง อันยีลดิ้งฮาร์ท และอิลูซะรี่เวิร์ดก็ได้บินเข้ามาหาเขา
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม เราสองคนคุยกันว่าอยากจะขอซื้อสิทในการฆ่ามอนสเตอร์ Faux Saint บินได้พวกนี้ให้กับสมาชิกกิลของเราสักคนละหนึ่งโหลหรือมากกว่านั้นนิดหน่อย” อันยีลดิ้งฮาร์ทกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกละอายใจอายเล็กน้อย “โดยเรายินดีจะแลกกับมรดกที่สมบูรณ์ขั้นสามกันคนละหนึ่งชุด”
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะไม่อิจฉาเหล่าสมาชิกสภาสิบแปดปีก เพราะซือเฟิงได้อนุญาติให้เหล่าสมาชิกสภาสิบแปดปีกฆ่ามอนสเตอร์ Faux Saint บินได้พวกนี้อย่างเมามัน ซึ่งหมอกที่ออกมาจากตัวพวกนี้นั้น หากดูดซับเข้าไปมันก็ทำให้ผู้เล่นมีโอกาสทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้สำเร็จมากขึ้นอย่างแน่นอน
ปัจจุบันมหาอำนาจต่างๆน้นล้วนขาดแคลนผู้เล่นขั้นสี่อย่างมาก ซึ่งหากกิลทั้งสองของพวกเขามีผู้เล่นขั้นสี่มากขึ้น มันก็จะช่วยให้กิลทั้งสองของพวกเขาสามารถพัฒนาไปได้ไกลขึ้นแน่นอน
ซือเฟิงมองไปยังทั้งสองคนที่มีท่าทีละอายใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “รองหัวหน้ากิลทั้งสองไม่จำเป็นต้องมาทำแบบนี้หรอก พวกคุณได้ช่วยสภาสิบแปดปีกต่อสู้กับมหาอำนาจต่างๆมาอย่างหนักก่อนหน้านี้ และพวกคุณก็ได้จ่ายไปมากแล้ว พวกคุณสามารถเลือกมอนสเตอร์ Faux Saint บินได้ที่เหลือพวกนี้ไปได้ละสามสิบตัวเลย ถือซะว่ามันเป็นค่าชดเชยจากสภาสิบแปดปีกและฉันในช่วงที่ผ่านมาแล้วกัน”
เขารู้สึกขอบคุณอันยีลดิ้งโซล และจักรพรรดิคริมสันอย่างมาก
หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทั้งสองกิล สภาสิบแปดปีกก็คงจะไม่สามารถรั้งศัตรูทั้งหมดเอาไว้ได้จนเขากลับมา ด้วยเหตุนี้เรื่องแค่นี้มันจึงเป็นเรื่องธรรมดามากๆสำหรับซือเฟิงที่จะต้องตอบแทน อีกทั้งหากทั้งสองกิลแข็งแกร่งขึ้น มันก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสภาสิบแปดปีกมากขึ้นด้วย แถมพูดกันตามตรงผู้เชี่ยวชาญขั้นสามทั้งหมดของสภาสิบแปดปีกก็ยังมีความสามารถไม่มากพอจะจัดการกับพวกมอน
สเตอร์ Faux Saint บินได้เองทั้งหมดด้วย
หรือต่อให้พวกเขามีความสามารถมากพอจริงๆ แต่ในหมู่พวกเขาทั้งหมดจากที่ซือเฟิงคาดเดา มันก็จะมีไม่ถึงยี่สิบคนแน่นอนที่จะเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ได้สำเร็จ ดังนั้นส่วนต่างที่เหลือเขาจึงควรมอบเป็นค่าตอบแทนให้กับกิลทั้งสอง และยกให้ไฟเออร์แดนซ์กับพวกขั้นสี่คนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกดีกว่า เพราะมันจะเป็นประโยชน์มากกว่า
“ขอบคุณ หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม !!”
อันยีลดิ้งฮาร์ทและอิลูซะรี่เวิร์ดมองหน้ากันอย่างมีความสุข แค่สามสิบตัวมันก็มากพอแล้วสำหรับผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดหรือเก่งกาจกว่าของกิลทั้งสองของพวกเขา
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ทั้งหมดก็ถูกทำลายล้างลงอย่างสิ้นเชิง และเลเวลของซือเฟิงก็เพิ่มขึ้นจากหนึ่งร้อยสี่สิบหกไปเป็นหนึ่งร้อยสี่สิบแปด ซึ่งมันทำให้เขาอยู่ห่างจากเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบที่เป็นความต้องการในการเลื่อนขั้นเป็นขั้นห้าเพียงสองเลเวลเท่านั้น สำหรับพวกผู้บริหารระดับสูงขั้นสี่ของสภาสิบแปดปีกอย่างไฟเออร์แดนซ์ และไวโอเล็ตคลาวด์นั้น พวกเธอก็มาถึงเลเวลหนึ่งร้อยสี่สิบห้า และหนึ่งร้อยสี่สิบหกตามลำดับ ส่วนพวกระดับสูงคนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกก็ล้วนมาถึงเลเวลหนึ่งร้อยสามสิบขึ้นไปทั้งหมด การต่อสู้ในครั้งนี้นั้น มันได้มอบ EXP ให้พวกเขาอย่างมากมายมหาศาลเกินจะคาดคิดจริงๆ
หลังจากจัดการกับกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint เรียบร้อยแล้ว จูเฟิงหยิงก็ได้มามอบแบบแปลนเซ็ทมานาขั้นสามจำลองให้กับซือเฟิง ซึ่งหลังจากที่ซือเฟิงได้เช็คว่านี่เป็นของแท้เรียบร้อยแล้ว เขาจัดการปลดล๊อคการปิดผนึกพื้นทั้งหมด และได้ทำการปล่อยซี่หยวนออกจากคุกของเมืองสกายสปริง
อย่างไรก็ตามเมื่อการต่อสู้ที่หอคอยแห่งพันธสัญญาลับจบลงและการปิดล้อมถูกยกเลิก ข่าวเรื่องนี้ก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟป่าในอาณาจักรทวินทาวเวอร์และประเทศต่างๆ