ตอนที่ 2845 ผนึกที่กำลังจะพังทลาย
ชุมชนเป่ยซาน Upper Zone ของเมืองไห่เทียน :
เมื่อได้มองไปที่วิลล่าหรูสามชั้นที่มีขนาดเท่ากับสนามบาสเก็ตบอลสองสนาม ซือ
เฟิงก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“นี่คุณอาศัยอยู่ในที่แบบนี้มาตลอดเลยงั้นหรอ ?!”
ซือเฟิงมองไปยังจี้ลั่วหรงที่นำทางเขามาด้วยท่าทีประหลาดใจ
เนื่องจากวิลล่านี้มันดูแทบจะหรูหรากว่าวิลล่าที่บริษัทโบลเดอร์ซื้อไว้ซะอีก แถมมันยังครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า ขณะที่ราคาของวิลล่าที่บริษัทโบลเดอร์ซื้อนั้นก็สูงถึง สามสิบล้านคะแนนการค้าแล้ว ดังนั้นวิลล่านี้ก็น่าจะมีราคาสูงกว่ามาก
ที่ Upper Zone นั้น จี้ลั่วหรงอาจกล่าวได้ว่าไร้พลังอย่างสิ้นเชิง เพราเธอมีเพียงแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น โดยที่เธอมีเพียงแค่ตระกูลที่อาศัยอยู่ภายนอกเท่านั้นที่คอยสนับสนุนเธออยู่ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการเลยว่าจี้ลั่วหรงจะสามารถจ่ายค่าวิลล่าหลังใหญ่นี้ได้
ไม่ต้องพูดถึงซือเฟิงเลย แม้แต่มู่ฉินก็ยังรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้เช่นกัน โดยปกติวิลล่าแบบนี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถซื้อได้ง่ายๆเลยในชั้นพื้นฐาน และอย่างน้อยผู้ซื้อมันก็จะต้องเป็นผู้มีอำนาจเกรด 1 หรือเหนือกว่าขึ้นไป แต่ข้อมูลที่เธอได้ตรวจสอบจี้ลั่วหรงมานั้น เธอเป็นเพียงผู้มีอำนาจเกรด 2 เท่านั้น และเธอก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เป็นผู้มีอำนาจเกรด 2 เช่นกัน ดังนั้นหากพูดกันตามเหตุผลแล้วเธอนึกไม่ออกจริงๆว่าจี้ลั่วหรงไปซื้อวิลล่านี้มาได้ยังไง
“นี่คือวิลล่าที่ปู่ของฉันทิ้งไว้ให้ ….” จี้ลั่วหรงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพราะตระกูลของฉันนั้นได้ล่มสลายไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถอาศัยอยู่ได้แค่ภายนอกเท่านั้น แต่เพราะความสามารถทางจิตของฉันค่อนข้างดี ดังนั้นทางตระกูลจึงให้ปู่ทำการมอบที่ที่เหลืออยู่ที่เดียวให้ฉัน”
เมื่อจี้ลั่วหรงพูดจบ ซือเฟิงก็รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแต่เดิมเฟิงเฉียนหยูถึงไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ และมีเพียงจี้ลั่วหรงเท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นี่
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็เข้าใจในจุดนี้ดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว Upper Zone นั้นดำรงอยู่มานานแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีตระกูลที่ล่มสลาย ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม และต้องออกจาก Upper Zone ไป ….
สำหรับตระกูลของจี้ลั่วหรงนั้นเห็นได้ชัดว่าเคยเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากใน Upper Zone อย่างเห็นได้ชัด เพราะไม่งั้นพวกเขาคงจะไม่สามารถรักษาวิลล่านี้ และสิทในการอยู่อาศัยของจี้ลั่วหรงไว้ได้
ส่วนเรื่องความสามารถที่น่ากลัวทั้งหมดของเฟิงเฉียนหยูที่ซือเฟิงเคยได้ยินจากชีวิตที่ผ่านมานั้น ตอนนี้มันก็เริ่มมีเหตุผลหลายๆอย่างที่เริ่มมารองรับเรื่องนี้แล้ว ….
ในขณะที่จี้ลั่วหรงกำลังเล่าเรื่องราวของตระกูลเธอและตัวเธอให้ซือเฟิงกับมู่ฉินฟัง เธอก็ได้นำทั้งสองเดินเข้าไปในวิลล่า ….
ซึ่งนี่มันก็ทำให้ซือเฟิงต้องยอมรับเลยว่าวิลล่าแบบนี้มันก็ดีตามราคาจริงๆ นอกจากมันจะมีพื้นที่ที่กว้างขวางมากแล้ว มันยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าบ้านทั่วไปอีก และนอกเหนือจากนี้ผลต่อสภาพจิตของที่นี่มันก็ยังดีกว่าที่บ้านทั่วไปมากด้วย ซึ่งหากซือเฟิงได้มาฝึกที่นี่ เขาก็คิดว่าเขาน่าจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตทางจิตต่อไปได้อย่างรวดเร็วแน่นอน ….
ขณะเดียวกันนั้นซือเฟิงก็ได้เริ่มพูดคุยกับจี้ลั่วหรง และเรียนรู้ถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของเธอ อีกทั้งเขาก็ยังได้บอกเธอถึงการปรากฎตัวของเฟิงเฉียนหยูใน God domain
ซึ่งข่าวของเฟิงเฉียนหยูนั้นมันก็ทำให้จี้ลั่วหรงถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา
หลังจากเฟิงเฉียนหยูหายตัวไป เธอก็กังวลมากเช่นกัน และเธอก็ได้ตามสืบจนพบว่าเฟิงเฉียนหยูนั้นถูกส่งไปอยู่ที่ Upper Zone ซึ่งเธอก็ได้พยายามค้นหาทั่ว Upper Zone ชั้นพื้นฐานของเมืองไห่เทียนแล้ว แต่เธอก็ไม่พบตัวพี่สาวของเธอเลย ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่ทำใจในเรื่องนี้ …
อย่างไรก็ตามเธอก็คิดไม่ได้ว่าที่เรื่องนี้มันเกิดขึ้นนั้น มันเป็นเพราะเธอหรือปล่าว บางทีพี่สาวของเธออาจจะถูกขู่บางอย่างที่เกี่ยวกับความเป็นความตายของเธอ และถูกบังคับพาไปอาศัยอยู่ใน Upper Zone ชั้นกลางสักแห่ง
แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อเธอได้รู้ว่าเฟิงเฉียนหยูปรากฎตัวขึ้นใน God domain อีกครั้งแล้ว มันก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา เพราะอย่างน้อยเธอก็ได้รู้ว่าตอนนี้พี่สาวของเธอปลอดภัย
“โอ้ใช่แล้ว ว่าแต่ทำไมจู่ๆลู่เทียนตี้ถึงมาตามหาตัวคุณ …?” ซือเฟิงถามจี้ลั่วหรงด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ก่อนหน้านี้พวกคุณมีความไม่พอใจอะไรกันเกิดขึ้นรึปล่าว ?”
จุดประสงค์หลักที่เขามาในครั้งนี้ก็เพื่อดูสถานการณ์ของจี้ลั่วหรง เพราะท้ายที่สุดเขาได้สัญญากับเฟิงเฉียนหยูไว้แล้วว่าเขาจะช่วยเธอดูแลจี้ลั่วหรง ดังนั้นเขาจึงจำเป็นที่จะต้องรู้เรื่องราวของเธอทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องของเธอกับลู่เทียนตี้เพื่อที่เขาจะได้เตรียมรับมือได้อย่างถูกต้อง
“ฉันไม่ได้มีความไม่พอใจหรือปัญหาใดๆกับเขาเลย และการพบกันวันนี้ของเรามันก็เป็นการพบกันครั้งที่สองเท่านั้น …” จี้ลั่วหรงถอนหายใจ และเธอก็กล่าวต่อว่า “สำหรับเรื่องจุดประสงค์ของลู่เทียนตี้ในเรื่องนี้นั้นมันก็คือการที่เขาต้องการจะผสานรวมทีมนักผจญภัยเอเทอนอลกลอรี่ของฉันเข้ากับทีมนักผจญภัย Tremorous Clown ของเขา …”
“หื้ม ?” ซือเฟิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้
เขาจำได้ว่าในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นทีมนักผจญภัย Tremorous Clown นั้นมักจะปฎิบัติงานอยู่ในทวีปด้านตะวันตกตลอดเวลา ขณะที่สมาชิกในทีมแต่ละคนนั้นก็มีความแข็งแกร่งสูงมาก โดยที่จุดสูงสุดนั้นพวกเขามีผู้เล่นขั้นหกถึงสามคน และผู้เล่นขั้นห้าถึงเก้าคน ซึ่งพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่มหาอำนาจต่างๆจะยั่วยุได้ง่ายๆเลย
สำหรับเรื่องการที่จะได้เข้าสู่ทีมนักผจญภัยทีมนี้นั้มันก็ยากมาก เพราะเงื่อนไขในการรับสมัครของทีมนักผจญภัย Tremorous Clown นั้นสูงมาก และโดยส่วนใหญ่มันก็จะมีแต่พวกขั้นสี่ขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถผ่านไปได้
ส่วนจี้ลั่วหรงและทีมนักผจญภัยที่เธอก่อตั้งขึ้นนั้น ซือเฟิงรู้เรื่องราวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าเธอจะไม่เก่งกาจเท่าเฟิงเฉียนหยู (ฟีนิกซ์เรน) แต่ท้ายที่สุดที่จุดสูงสุดเขาก็จำได้ว่าจี้ลั่วหรงนั้นอยู่ในสถานะร่างครึ่งเทพแล้ว (ครึ่งก้าวก่อนเป็นขั้นหกน่ะ) แถมนอกเหนือจากเธอแล้วทีมนักผจญภัยของเธอยังมีผู้เล่นขั้นหกหนึ่งคน และผู้เล่นขั้นห้าอีกสามคนด้วย ซึ่งนี่มันทำให้ความแข็งแกร่งของทีมนักผจญภัยของเธอในตอนนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากิลชั้นสูงมากนักเลย ….
แต่สำหรับตอนนี้เท่าที่เขารู้มาทีมนักผจญภัยทีมนี้ของจี้ลั่วหรงนั้นยังคงอยู่ในสถานะที่อ่อนแอมากๆ และอาจจะถึงขั้นที่ว่าพวกเขาไม่มีขั้นสี่อยู่ในทีมเลย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าทำไมลู่เทียนตี้ถึงได้มาสนใจทีมนักผจญภัยแบบนี้
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกจี้ลั่วหรง แต่จากข้อมูลที่เขามีนั้น ตอนนี้ทีมนักผจญภัย Tremorous Clown ก็น่าจะแข็งแกร่งในระดับหนึ่งแล้ว แถมเมื่อได้รับการสนับสนุนจากสตาร์ลิ้งอีก ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาก็คงจะสูงมาก ดังนั้นนี่มันจึงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจจริงๆที่พวกเขาต้องการจะมารับสมัครทีมนักผจญภัยเอเทอนอลกลอรี่ของจี้ลั่วหรง
“ฉันรู้นะว่าคุณคิดอะไร แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของทีมนักผจญภัยของฉันนั้นมันไม่มากพอที่จะทำให้ลู่เทียนตี้สนใจอยู่แล้ว …. สิ่งที่ลู่เทียนตี้สนใจคือมรดกพิเศษที่สมาชิกในทีมนักผจญภัยของฉันได้รับมาน่ะ …” จี้ลั่วหรงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อไม่นานมานี้ทีมนักผจญภัยของเราได้เข้าไปสำรวจในดินแดนลับที่พิเศษมากๆมา โดยมันมีช่องทางเข้าสู่โลกขนาดใหญ่ที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ นอกจากนี้มันก็ยังมีเทพขั้นหกที่น่าสงสัยด้วย”
“แต่อย่างไรก็ตามจากข้อมูลที่เทพขั้นหกคนนั้นบอกมานั้น ดูเหมือนว่าผนึกของโลกนี้กำลังจะพังทลายลง และสงครามโลกกำลังจะเกิดขึ้น โดยทีมนักผจญภัยของเรานั้นได้รับมรดกพิเศษจากเทพคนนั้นที่จะช่วยปิดผนึกโลกนี้ไว้เช่นเดิมมา ซึ่งมันจะต้องแลกกับค่า EXP จำนวนมหาศาลของเรา และนี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะยับยั้งไม่ให้เกิดสงครามโลกได้”
“โดยในตอนนั้นนอกเหนือจากทีมนักผจญภัยของเราแล้ว มันยังมีผู้เล่นอื่นๆเข้ามาด้วย ซึ่งฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นคนของทีมนักผจญภัย Tremorous Clown”
เมื่อได้ฟังคำพูดของจี้ลั่วหรง ซือเฟิงก็ตกตะลึงอย่างมาก
เพราะในชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน และพอมาในชีวิตนี้จี้ลั่วหรงก็ยังได้มาการันตีอีกว่ามันเป็นเรื่องจริง แถมนอกเหนือจากคำการันตีของจี้ลั่วหรงแล้ว เขายังเคยเดินทางไปยังโลก God domain ยุคโบราณแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถเชื่อได้เลยว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการเดินทางออกมาจากโลกอื่นๆ และมาทำสงครามกับโลกบุคปัจจุบันของ God domain ที่เขาอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นการปรากฎตัวของพวกร้อยผีโดดเดี่ยว ซือเฟิงจึงยิ่งแน่ใจกับเรื่องนี้มากขึ้นมาก และจากที่ซือเฟิงคาดเดานั้น ในสงครามโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกเขาก็อาจจะต้องต่อสู้กับผู้เล่นจากทวีปดวงดาวด้วย ….
ซึ่งหากมันเป็นแบบนี้จริงๆ มันก็จะบังเกิดหายนะขึ้นในทวีปหลักของ God domain ยุคปัจจุบันตอนนี้แน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกผู้เล่นจากทวีปดวงดาวนั้นมีทรัพยากรใน God domain ที่ดีกว่าผู้เล่นในทวีปหลักของ God domain ยุคปัจจุบันมาก และนี่มันก็ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งมากๆแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ในทวีปหลักของ God domain ยุคปัจจุบันด้วยซ้ำ … ดังนั้นหากมีการรุกรานเกิดขึ้นจริงๆ มันก็มีสิทสูงมากที่มหาอำนาจหลายกลุ่มในทวีปหลักของ God domain ยุคปัจจุบันจะต้องล่มสลายไป ….
แม้แต่สภาสิบแปดปีกของเขาในปัจจุบัน หากต้องเผชิญกับปัญหานี้มันก็จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดแน่นอน
ซึ่งหากผนึกพังทลายลงจริงๆ มันก็มีสิทที่กิลของเขาจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยด้วยซ้ำ
และเมื่อมาถึงจุดนี้ซือเฟิงก็ได้เข้าใจแล้วว่าทำไมลู่เทียนตี้ถึงต้องการจี้ลั่วหรง และทีมนักผจญภัยของเธอมากนัก เพราะท้ายที่สุดถ้าผนึกพังทลายลงเมื่อไหร่ เหล่าคนที่มีมรดกพิเศษเหล่าจะนับเป็นไพ่ที่ดีแน่นอน
สำหรับมู่ฉิน เมื่อเธอได้ยินเรื่องนี้ใบหน้าของเธอนั้นก็มืดมนลงเช่นกัน ฟรอสต์ฮีฟเว่น
ของเธอนั้นก็ได้รับข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้มาบ้างเช่นกัน แต่เธอก็ยังคงไม่อยากจะเชื่อ ….
อย่างไรก็ตามเมื่อเธอได้รับคำยืนยัน และข้อมูลเพิ่มเติมจากจี้ลั่วหรง พร้อมกับได้เห็นท่าทีของลู่เทียนตี้นั้น เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำใจเชื่อในเรื่องนี้
โดยในตอนนี้เธอก็รู้สึกดีใจมากๆที่ได้ติดตามซือเฟิงมาที่ Upper Zone ของเมืองไห่เทียน และได้มารับฟังคำยืนยัน และข้อมูลเพิ่มเติมจากจี้ลั่วหรง เพราะหาก
ฟรอสต์ฮีฟเว่นของเธอยังคงทำตัวครึ่งๆกลางไม่เชื่อเรื่องนี้ และเตรียมตัวไม่ดีนั้น
ฟรอสต์ฮีฟเว่นก็อาจจะล่มสลายได้เลยอย่างแน่นอน
เมื่อมู่ฉินได้คิดไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เธอก็จ้องมองไปยังซือเฟิง ก่อนที่จะหันไปหาจี้ลั่วหรง และพูดอย่างจริงจังว่า “ลั่วหรง เนื่องจากตอนนี้ลู่เทียนตี้จับจ้องคุณอยู่ และการที่ซือเฟิงกับคุณไปทำให้เขาเสียหน้าแบบนี้ ฉันก็คิดว่าเขาคงจะไม่ปล่อยให้คุณอยู่อย่างสงบใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนแน่นอน คุณควรจะย้ายไปที่ Upper Zone แห่งอื่นๆจะปลอดภัยกว่า ซึ่งตอนนี้ตัวฉันนั้นได้อาศัยอยู่ใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน และยังมีวิลล่าอยู่ในเขตด้วย แม้ว่ามันจะไม่ดีเท่าที่นี่ แต่มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการฝึกและใช้ชีวิตประจำวันของคุณ คุณสนใจจะไปกับฉันไหม ?”
เธอนั้นรู้ดีถึงนิสัยของคนอย่างลู่เทียนตี้ ตราบใดที่เขาคิดจะนับคนๆหนึ่งเป็นศัตรูแล้ว เขาจะไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่นอน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเขามีทั้งบริษัทสตาร์ไลน์ และคนจาก Upper Zone ชั้นกลางของเมืองไห่เทียนคอยสนับสนุนอีก
“ย้ายไปอยู่ที่ Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนงั้นหรอ ?”
จี้ลั่วหรงรู้สึกลังเลกับข้อเสนอนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่ามู่ฉินนั้นพูดถูก เธอไม่สามารถจะอาศัยอยู่ใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนได้แล้วแน่นอน เว้นแต่ว่าเธอจะได้ขึ้นไปอยู่อาศัยในชั้นกลางเลย ซึ่งมันยังเป็นไปไม่ได้แน่นอน
“มิสลั่วหรง หากคุณไม่สะดวกใจที่จะไปอยู่กับคนของฉัน คุณก็สามารถจะมาอาศัยอยู่กับฉันโดยตรงได้เลย แม้ว่าบริษัทโบลเดอร์ของเราจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับบริษัท
สตาร์ไลน์ในตอนนี้ แต่พวกเราก็มีรากฐานที่มั่นคงอยู่ใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนนะ” มู่ฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม ….
“มิสมู่ฉิน อย่าพึ่งเข้าใจผิด ฉันไม่ได้ไม่สะดวกในเรื่องนั้น ความจริงต้องบอกว่าฉันยินดีมากๆด้วยซ้ำ ..” จี้ลั่วหรงส่ายหัว และพูดว่า “เพียงแต่ว่าตอนนี้ฉันเป็นห่วงเพื่อนของฉันบางคนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ใน Upper Zone หากลู่เทียนตี้คิดจะจัดการกับพวกเขา พวกเขาคงจะแย่แน่ๆ ….”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ที่เรื่องราวภายใน God domain ไม่ได้มีความสำคัญมากนักนั้น เธอจะไม่กังวลกับเรื่องนี้เลย แต่อย่างไรก็ตามทุกอย่างตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว แถมบริษัทกรีนก๊อดก็ยังให้ความสำคัญกับหลายสิ่งใน God domain มากๆ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คนอย่างลู่เทียนตี้จะยินดีใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อให้ตัวเองได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
ซือเฟิงยิ้ม และพูดว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก คุณก็ให้พวกเขาเดินทางไปที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกเลย ที่นั่นฉันสามารถจะจัดการทุกเรื่องได้”
การได้ผู้เชี่ยวชาญจากเอเทอนอลกลอรี่มาเข้าร่วมด้วยนั้นมันนับเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง เพราะท้ายที่สุดเมื่อคนเหล่านี้เติบโตขึ้นไปจนแข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคต พวกเขาก็จะสามารถเป็นพันธมิตรที่มีประโยชน์ของสภาสิบแปดปีกได้
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ปรมาจารย์เหล่ยเปาก็ได้มาถึงขอบเขตครึ่งก้าวก่อนเป็นสุดยอดปรมาจารย์แล้ว ซึ่งหากบวกความสามารถของเหล่ยเปาเข้ากับคนอื่นๆทั้งหมด และบวกเข้ากับระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกมี แม้แต่สุดยอดปรมาจารย์ก็ยังยากจะเข้ามาก่อปัญหาแน่นอน
เมื่อจี้ลั่วหรงได้ยินคำพูดของซือเฟิงเธอก็อดไม่ได้ที่จะดีใจ และพูดอย่างตื่นเต้นว่า ‘ขอบคุณมากหัวหน้ากิลซือ ฉันสัญญาว่าเมื่อพวกเขาทั้งหมดไปถึงที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีก พวกเขาจะเชื่อฟังทุกอย่างที่สภาสิบแปดปีกสั่ง และไม่ก่อเรื่องยุ่งยากแน่นอน”
ตัวเลือกในการไปที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกในตอนนี้นั้น มันนับเป็นตัวเลือกที่ดีเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วตอนนี้สภาสิบแปดปีกนั้นแข็งแกร่งขึ้นมามากๆทืั้งในโลก God domain และโลกแห่งความจริง ซึ่งอย่างน้อยสภาสิบแปดปีกก็น่าจะช่วยปกป้องพวกเขาได้ในระดับหนึ่ง
หลังจากที่ซือเฟิงกับจี้ลั่วหรงพูดคุยรายละเอียดทั้งหมดกันจนเสร็จ จี้ลั่วหรงก็ได้รีบติดต่อกับเพื่อนของเธอทั้งหมดที่อยู่นอก Upper Zone โดยบอกให้รีบเดินทางไปที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกทันที