ตอนที่ 2868 นักบุญแห่งดาบขั้นห้า
ในขณะที่ซือเฟิงเลือกจะเปลี่ยนร่างมานาของเขาเป็นร่างมานาใหม่ มานาภายในห้องลับทั้งหมดก็เต็มไปด้วยความเดือดพล่าน ในขณะที่มันก็ค่อยๆไหลบ่าเข้าสู่ร่างกายของซือเฟิงอย่างรวดเร็ว
ร่างมานาใหม่ของซือฟิงนั้นเป็นเหมือนกับสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ที่หิวโหย มันได้กลืนกินมานาในบริเวณรอบๆอย่างต่อเนื่อง และบ้าคลั่ง
หลังจากผ่านไปหนึ่งนาทีเต็ม ปรากฎการณ์นี้ก็หยุดลง และมานาภายในห้องลับก็เริ่มค่อยๆกลับมาเป็นปกติ
“ขั้นห้า !!”
“นี่คือความแข็งแกร่งของอาชีพขั้นห้างั้นหรอ ?!!”
ซือเฟิงนั้นรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวที่มันแผ่ออกมาจากร่างกายของเขาได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันมันก็มาพร้อมกับความรู้สึกที่สามารถรับรู้สภาพแวดล้อมได้ทั้งหมดแบบที่ไม่อาจอธิบายได้ ซึ่งเมื่อมาถึงตรงนี้นั้นซือเฟิงก็เข้าใจแล้วว่าทำไมแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ถึงไม่สามารถจะต่อกรกับอาชีพขั้นห้าที่แท้จริงได้เลย
ตอนนี้ซือเฟิงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วจริงๆถึงพลังและความน่ากลัวของอาชีพขั้นห้า !!
เมื่อเทียบกับสายอาชีพขั้นสี่แล้วนั้น มานาภายในร่างมานาขั้นห้าของอาชีพขั้นห้านั้นจัดว่ามีมหาศาลกว่านับสิบเท่า ซึ่งนี่มันนับเป็นข้อแตกต่างที่ยิ่งใหญ่มากๆเลยทีเดียวสำหรับอาชีพขั้นสี่ และขั้นห้า
ยิ่งไปกว่านั้นอาชีพขั้นห้าก็ยังไม่ได้ทรงพลังแค่ในเรื่องนี้
ระบบ : ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นที่ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นเบลดเซ้นต์ขั้นห้า (นักบุญแห่งดาบ) ค่าสถานะทั้งหมด + 5,000 แต้ม ค่าความต้านทานเวทย์มนต์ทั้งหมด + 500 แต้ม ความเร็วในการฟื้นฟูมานาเพิ่มขึ้น 300 เปอเซ็นต์ การโจมตีทั้งทางกายภาพและเวทย์มนต์ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นห้ามีผลลดลง 40 เปอเซ็นต์ ค่าสถานะทั้งหมดเพิ่มขึ้น 150 เปอเซ็นต์ ร่างกายทางกายภาพดีขึ้น 200 เปอเซ็นต์ ความเร็วในการตอบสนอง และการคิดเพิ่มขึ้น 100 เปอเซ็นต์ และได้รับคะแนนสกิลมรดก 200 แต้มเป็นรางวัล …
ในตอนที่เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นขั้นสี่นั้น ผู้เล่นได้รับค่าสถานะทั้งหมดเพิ่มขึ้นมาแค่สองพันแต้มเท่านั้น แต่หลังจากเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นขั้นห้าผู้เล่นกับได้รับค่าสถานะทั้งหมดเพิ่มขึ้นมาถึงห้าพันแต้ม และนี่มันก็เป็นเพียงแค่ค่าสถานะเท่านั้น ยังไม่รวมเรื่องโบนัสจากอาวุธกับอุปกรณ์ใดๆ นอกจากนี้มันยังมีเรื่องของช่องว่างร่างกายที่แตกต่างกันออกไปอีก
กล่าวได้ง่ายๆว่าแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าจะสวมใส่แค่อาวุธและอุปกรณ์ระดับทองแดงครบเซ็ท แต่พวกเขาก็ยังจะสามารถฆ่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ที่สวมใส่อาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคครบเซ็ทได้ และแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จะมีเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานอยู่หลานชิ้นในตัว แต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องยากมากที่จะมีค่าสถานะเหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าที่สวมใส่อาวุธและอุปกรณ์ระดับทองแดงในด้านใดในด้านหนึ่ง
มันมีเพียงแต่อาวุธระดับตำนานเท่านั้นที่จะช่วยชดเชยช่องว่างนี้ได้ ขณะที่พวกอุปกรณ์ระดับตำนานก็สามารถจะทำได้เช่นกัน เพียงแต่ว่า มันก็จะแย่กว่าอาวุธอยู่นิดหน่อย แต่อย่างไรก็ตามหากเพิ่มปัจจัยขึ้นมาเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าคนหนึ่งที่จะต้องต่อสู้ด้วยนั้นมีมาตราฐานการต่อสู้ที่สูงมาก ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่นั้นก็จะรับมือกับผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าได้ยากมากๆเลยทีเดียว แม้ว่าตัวผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จะมีอาวุธระดับตำนานใช้อยู่ก็ตาม
“ด้วยความแข็งแกร่งมากขนาดนี้ ฉันจะสามารถต่อสู้กับ NPC ขั้นห้าทั่วไปได้สบายๆเลยทีเดียว ….” ซือเฟิงที่ทำการตรวจเช็คค่าสถานะล่าสุดทั้งหมดของเขาเริ่มร่างแผนการในอนาคตมากมายสำหรับการพัฒนาของสภาสิบแปดปีกแล้ว ….
เพราะว่าตอนนี้แค่ค่า STR กับค่า AGI ของเขาเพียงอย่างเดียวมันก็ทะลุหกหมื่นแต้มไปแล้ว ขณะที่เบอเซิกเกอร์ขั้นสี่ที่สวมใส่อาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคชั้นยอดที่สามารถใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบครบเซ็ท และเน้นการอัพค่าสถานะไปที่ค่า STR แทบทั้งหมดนั้นก็ยังมีค่า STR มากกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันเท่านั้นเอง ….
สำหรับ NPC ขั้นห้า เลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบ จากการวิจัยและรวบรวมข้อมูลของผู้เล่นในชีวิตที่ผ่านมาของเขา มันก็พบว่า NPC เหล่านี้มีค่าสถานะแต่ละอย่างแค่ราวเจ็ดหมื่นถึงแปดหมื่นแต้มเท่านั้น
แม้ว่ามันจะมีช่องว่างค่อนข้างมากระหว่างตัวเลขค่าสถานะหกหมื่น เจ็ดหมื่น และแปดหมื่นแต้ม แต่มันก็ไม่ใช่ช่องว่างที่จะไม่สามารถต้านทานได้เลย เพราะท้ายที่สุดหลังจากที่เขาก้าวขึ้นสู่ขั้นห้ามาได้ ทุกครั้งที่เขาเก็บเลเวลจนมีเลเวลเพิ่มขึ้นหนึ่งเลเวลนั้น เขาก็จะได้รับค่าสถานะเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก แถมตอนนี้อุปกรณ์และอาวุธในปัจจุบันของเขาก็ถูกอัพเกรดให้ใช้ได้ไปจนถึงเลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบแล้ว ดังนั้นการจะบรรลุค่าสถานะแปดหมื่นแต้มทั้งหมดนั้นไม่ใช่ปัญหาแน่นอน ….
นอกจากนี้เขายังมีมาตราฐานการต่อสู้ที่สูงกว่า NPC ขั้นห้าอย่างมาก และด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นแบบนี้ มันก็จะทำให้เขาสามารถต่อสู้กับ NPC ขั้นห้า เลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบได้แน่นอน
แต่อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ยังไม่ได้หยิ่งพอที่จะไปท้าสู้ NPC ขั้นห้าแบบมั่วๆ ….
เพราะตอนนี้ NPC ขั้นห้า เลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบที่เขาสามารถสู้ได้นั้นมันจะมีก็แต่พวก NPC ที่ไม่ได้มีเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานหรือเหนือกว่าขึ้นไปเท่านั้น ถ้าเจอ NPC ขั้นห้าประเภทที่มีเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานหรือเหนือกว่าขึ้นไป เขาก็จำเป็นจะต้องใช้วิธีพิเศษในการสู้ แต่หากมันไม่พอ เขาก็ยังคงจะต้องหนีก่อนอยู่ดี ….
“ดูเหมือนว่าตอนนี้ฉันจะต้องเริ่มพาไฟเออร์แดนซ์กับคนอื่นๆไปเก็บรวบรวมอาวุธ และอุปกรณ์ระดับตำนาน รวมไปถึงคริสตัลเจ็ดลูมินาลี่เพิ่มเติมสักหน่อยแล้ว !!!”
อาชีพขั้นห้านั้นนับเป็นจุดสูงสุดใน God domain ในยุคที่ไม่มีเทพขั้นหก แต่มันก็ยังคงมีช่องว่างระหว่างขั้นห้ากับขั้นห้าอยู่ ซึ่งอาวุธกับอุปกรณ์ระดับตำนานนั้นเป็นกุญแจสำคัญในเรื่องนี้
ในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิง ผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าชั้นยอดในหมู่ขั้นห้าด้วยกันนั้นจะต้องมีอาวุธหรืออุปกรณ์ระดับตำนานอย่างน้อยหนึ่งชิ้นเท่านั้น ซึ่งเมื่อมีตามเกณฑ์นี้แล้วพวกเขาก็จะสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างแทบจะไร้ขีดจำกัดเลยในยุคที่ไร้ซึ่งเทพขั้นหกแบบนี้
และหากผู้ที่ก้าวมาถึงขั้นห้าแล้วต้องการจะอาละวาดไปทั่วทั้งทวีป God domain จริงๆ การได้รับอาวุธและอุปกรณ์ระดับตำนานมาอย่างน้อยสองชิ้นมันก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะทำให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายนี้ได้
หลังจากซือเฟิงได้ทำความคุ้นเคยร่างของอาชีพขั้นห้าแล้ว เขาก็ได้เดินออกมาจากห้องลับทันที
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ซือเฟิงเดินมาที่ล๊อบบี้ชั้นหนึ่งของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครอง ซือเฟิงก็ต้องตกตะลึงกับฉากที่เขาได้เห็น เพราะในตอนนี้นั้นที่บริเวณล๊อบบี้มันเต็มไปด้วยฝูงชนที่เข้ามาแออัดกันมากมายจนทำให้ล๊อบบี้ดูเล็กไปเลย
นอกเหนือจากสมาชิกของสภาสิบแปดปีกที่ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณนี้ ที่เหลือนั้นมันก็ล้วนเป็นผู้เล่นที่มาจากกิลขนาดใหญ่ต่างๆรวมไปถึงทีมนักผจญภัยที่มีชื่อเสียง ซึ่งต่างคนต่างก็มีท่าทีเร่งรีบอย่างบ้าคลั่งที่จะเข้าไปเช่าร้านค้า และบ้านส่วนตัวในเมืองสภาสิบแปดปีกที่เค้าเตอร์สำนักงาน
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของสภาสิบแปดปีกจำนวนมาก ร่วมกับทหาร NPC ขั้นสามนับร้อย และ NPC ขั้นสี่อีกสามคนคอยดูแลความสงบเรียบร้อย มันก็คงจะเกิดการต่อสู้กันในล๊อบบี้ไปนานแล้วแน่นอน
“ฉันจำได้ว่า ฉันบอกราคาค่าเช้าร้านค้า และบ้านส่วนตัวไปอย่างสูงลิ่วเลยนะ …. นี่
เหลียงจิงไปบอกอะไรสาธารชนผิดรึปล่าว ?” ซือเฟิงมองไปยังฉากตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
ตราบใดที่คนๆหนึ่งไม่ใช่คนโง่นั้น พวกเขาก็จะสามารถบอกได้แน่นอนว่าเมืองสภาสิบแปดปีกได้รับความนิยมมากขนาดไหน แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าเมืองสภาสิบแปดปีกจะกลายเป็นเมืองหลักแล้ว แต่มันก็ยังคงมีขนาดใหญ่ไม่พอที่จะรองรับความต้องการของผู้เล่นทั้งทวีปด้านตะวันออกได้ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงที่ดิน ร้านค้า และบ้านส่วนตัวในเมืองที่มีอยู่อย่างจำกัดเช่นกัน ดังนั้นการเพิ่มราคาของเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างแน่นอน เพราะมันจะช่วยให้สภาสิบแปดปีกได้รับทรัพยากรมากขึ้น และช่วยลดจำนวนคนที่ต้องการลงไปอีกด้านหนึ่ง ….
อย่างไรก็ตามเมื่อซือเฟิงเดินเข้าไปตรวจสอบเรื่องราวนี้ทั้งหมด เขาก็อดไม่ได้ที่จะขนลุก ….
“เหลียงจิง ผู้หญิงคนนี้ช่างโหดร้ายอย่างแท้จริง !!!”
ในเวลานี้เหลียงจิงได้เพิ่มราคาค่าเช่าขึ้นไปสูงกว่าที่ซือเฟิงสั่งไว้กว่าสองเท่า โดยราคาค่าเช่าร้านค้าเล็กๆในเขตชานเมืองของสภาสิบแปดปีกนั้นมีราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สามพันชิ้น และเงินหกร้อยเหรียญทองต่อสัปดาห์แล้ว ….
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องค่าเช่าส่วนหนึ่งที่ต้องจ่ายเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สามพันชิ้นนั้นมันไม่ใช่น้อยๆเลย เพราะหลังจากที่มีการรุกรานจากโลกอื่นนั้น ผู้เล่นในทวีปหลักก็ได้รับคริสตัลเวทย์มนต์น้อยลงจากเดิมมากๆ ซึ่งเรื่องนี้มันก็ไม่เว้นแม้แต่กับมหาอำนาจต่างๆด้วยเช่นกัน ….
ตามที่ซือเฟิงคิด หากจะให้จ่ายเพิ่มเป็นคริสตัลเวทย์มนต์ด้วยนั้น ร้านค้าเล็กๆในเขตชานเมืองสภาสิบแปดปีกก็น่าจะคิดราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์เพิ่มได้แค่ราวหนึ่งพันชิ้นเท่านั้น ….
การคิดราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์เพิ่มถึงสามพันชิ้นนั้น มันจัดเป็นการปล้นกันกลางวันแสกๆเลยก็ว่าได้ ….
สำหรับการเช่าและซื้อขายที่ดินในเมืองสภาสิบแปดปีกนั้น ที่ดินทุกผืนจะเริ่มตั้งต้นประมูลในราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สองหมื่นชิ้น และให้ค่อยๆเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ โดยการเช่าและซื้อที่ดินนั้นก็จะรับเป็นคริสตัลเวทย์มนต์เท่านั้นด้วย ไม่รับเหรียญทอง …..
แต่อย่างไรก็ตามแม้จะมีราคาที่สูงเช่นนี้ มันก็ยังคงมีผู้เล่นที่รอแย่งสิทกันอยู่เต็มไปหมดในล๊อบบี้ ดังนั้นนี่มันจึงเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงมากๆ
และตอนนี้สถานการณ์นี้มันก็กระทั่งทำให้ซือเฟิงรู้สึกว่านี่คริสตัลเวทย์มนต์ดูกลายเป็นของไร้ค่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?
ในระหว่างที่ซือเฟิงกำลังวางแผนที่จะติดต่อเหลียงจิงเพื่อสอบถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของเมืองสภาสิบแปดปีก มันก็มีผู้ที่วีดีโอคอลเข้ามาหาเขา ซึ่งคนๆนี้นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเหลียงจิง
“หัวหน้ากิล ฉันมาขัดจังหวะอะไรหัวหน้ารึปล่าว ?” เหลียงจิงถามอย่างกังวล
“ไม่หรอก ว่าแต่มีอะไรรึปล่าว ?” ซือเฟิงถามอย่างแปลกๆ
“ก็ตอนนี้มันมีตัวแทนจากสามในห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดมาขอพบกับหัวหน้า ซึ่งนี่รวมไปถึงศาลาลับด้วย โดยพวกเขาบางส่วนก็มาดี ขณะที่บางส่วนก็ไม่ดี …” เหลียงจิงนั้นกล่าวอย่างค่อนข้างจะกังวล “ตอนนี้พวกเขากำลังรออยู่ในห้องรับรองของกิลเรา และพวกเขาก็ยืนยันว่าวันนี้พวกเขาจะต้องพบหัวหน้าให้ได้ ….”
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะรีบไปทันที ก็บอกให้พวกเขารอไปจนกว่าฉันจะไปถึงแล้วกัน ….”
ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่ได้แปลกใจใดๆนักกับเรื่องนี้ เพราะท้ายที่สุดเมืองสภาสิบแปดปีกในปัจจุบันมันไม่ใช่สิ่งที่พวกมหาอำนาจต่างๆจะสามารถมองข้ามได้อีกต่อไป พูดกันตามตรงหากไม่ได้เจอกับสถานการณ์แบบนี้ต่างหาก เขาจึงจะรู้สึกประหลาดใจ ….
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้ออกจากคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมืองสภาสิบแปดปีก และรีบมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีกทันที