ตอนที่ 2881 ไม่กลัวปรมาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังลู่เทียนตี้
“รวมดินแดนลับเข้ากับเมืองหินโบราณขนาดใหญ่ขั้นสูง ?”
ซือเฟิงมองไปที่การแจ้งเตือนของระบบด้วยความรู้สึกประหลาดใจมากๆ
นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่เขาได้ยินว่าดินแดนลับนั้นสามารถจะรวมเข้ากับเมืองกิลได้
ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขาได้เห็นกองกำลังจำนวนมากเลือกจะต่อตั้งเมืองกิลขึ้นเพื่อป้องกันดินแดนลับล้ำค่าที่ตัวเองค้นพบ และเต็มที่นั้นกองกำลังเหล่านี้ก็ทำได้แค่อัพเกรดเมืองกิลของตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆเท่านั้น สำหรับเรื่องรวมดินแดนลับนั้น ตัวเขาไม่เคยได้ยินข่าวเลยว่ามีกองกำลังใดที่สามารถรวมดินแดนลับเข้ากับเมืองกิลของตัวเองได้
ซือเฟิงลังเลอยู่พักหนึ่ง ….
ดินแดนลับของเทพปีศาจนั้นเป็นดินแดนลับระดับพระเจ้าสำหรับผู้ที่มีเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบหรือสูงกว่าขึ้นไปทั้งหมด ซึ่งมันจัดว่าหายากและมีค่ามากๆ ดังนั้นการรวมดินแดนลับเข้ากับเมืองหินโบราณโดยที่ยังไม่รู้ข้อมูลดี มันจึงจะเป็นการเสี่ยงมากๆ เพราะถ้าตัดสินใจรวมแล้วดินแดนลับหายไป เขาคงได้น้ำตาตกใน ….
อย่างไรก็ตามหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งซือเฟิงก็ได้ตัดสินใจที่จะลองเสี่ยง และหลังจากนั้นเสียงแจ้งเตือนของระบบอีกชุดหนึ่งก็ดังขึ้นมาที่หูของเขา
ระบบ : ตรวจเจอว่าผู้เล่นมีคริสตัลเวทย์มนต์อยู่มากกว่าสามล้านชิ้น และมีคริสตัลเจ็ดลูมินาลี่อยู่มากกว่าห้าพันชิ้น ซึ่งจำนวนของมันเพียงพอแล้วที่จะสร้างเมืองขึ้นมาใหม่โดยมีดินแดนลับเป็นแกนกลาง คุณต้องการจะสร้างเมืองขึ้นใหม่เลยไหม ?
“ตกลง !!”
เมื่อซือเฟิงได้ยินสิ่งนี้ เขาก็แทบจะกดตกลงอย่างไม่ลังเลยทีเดียว
มันมีเมืองศักสิทธิ์อยู่หลายแห่งใน God domain โดยหนึ่งในเมืองศักสิทธิ์ที่ซือเฟิงรู้จักนั้นมันก็มีดินแดนลับเป็นแกนกลาง นอกจากนี้มันยังเป็นเมืองที่รู้จักกันดีทั่ว God domain และเป็นสำนักงานใหญ่หลักของวิหารเทพสงครามด้วย
โดเมนศักสิทธิ์ !!
นอกจากนี้นี่ยังเป็นดินแดนศักสิทธิ์ที่พวกขั้นห้านับไม่ถ้วนในชีวิตที่ผ่านมาของเขาล้วนต้องการจะเข้าไปให้ได้
นอกจากนี้มันยังเป็นสถานที่หนึ่งเดียวใน God domain ที่มั่นใจได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ว่ามีเบาะแสของการเลื่อนขั้นไปสู่ขั้นหกอยู่ โดยภายในนั้นมันก็มีสภาพเป็นเมืองโบราณที่ไม่สามารถจะตรวจสอบอายุได้เลย
ตามข่าวลือตราบใดที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่สามารถเข้าไปที่นั่นได้นั้น พวกเขาจะสามารถเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นห้าได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แน่นอน
แต่นี่ยังไม่ใช่ส่วนที่น่ากลัวที่สุด เพราะเมื่อดินแดนลับทั้งหมดถูกควบคุมได้อย่างเต็มที่ ตราบใดที่ผู้เล่นมีสิทเพียงพอในโดเมนศักสิทธิ์นั้น แม้แต่ผู้เล่นขั้นสามก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ที่นั่นได้ หากแต่ว่า ผู้เล่นขั้นสามก็จะไม่สามารถทำอะไรได้มากนักภายในดินแดนลับแบบนี้ เพราะพวกเขาจะต้องเผชิญกับออร่า Divine Might ที่รุนแรงมากๆ ดังนั้นพวกเขาจึงควรจะไปให้ถึงขั้นสี่ก่อน แล้วค่อยเข้าไปในนั้น ….
หากพูดโดยภาพรวมดินแดนลับระดับพระเจ้านั้นก็จัดว่าอันตรายมากๆ อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่ว่าทุกพื้นที่จะอันตรายจนผู้เล่นไม่สามารถรับไหวได้ ซึ่งตราบเท่าที่ผู้เล่นรวบรวมข้อมูลมา และเข้าไปปฎิบัติการภายในนั้นอย่างระมัดระวัง มันก็มีโอกาสสูงมากที่ผู้เล่นจะได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาล
เนื่องจากสภาพแวดล้อมภายในดินแดนลับระดับพระเจ้า เลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบขึ้นไปนั้นมันเหนือกว่าในโลกภายนอกมากๆ โดยสภาพแวดล้อมภายในดินแดนลับแบบนี้นั้นก็เทียบได้กับในยุคโบราณที่ยังคงมีเหล่าเทพอยู่มากมายเลย ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นสถานที่ที่ผู้เล่นขั้นห้าจะสามารถแสดงพลังทั้งหมดของตัวเองออกมาได้แบบง่ายๆเลย และด้วยเรื่องทั้งหมดนี้เอง มันจึงทำให้ทุกคนนั้นอยากจะเข้าสู่ดินแดนลับแบบนี้มากๆ
และเมื่อเมืองป่าหินมีดินแดนลับแบบนี้แล้วนั้นจะให้ซือเฟิงยอมปล่อยมันไปได้ยังไงกัน ?!
หลังจากซือเฟิงทำการคลิกตกลง คริสตัลเวทย์มนต์ และคริสตัลเจ็ดลูมินาลี่ที่เขาได้รับมาจากคลังกิลของมือแห่งนักบุญส่วนใหญ่ก็หายไปทันที พร้อมกันนั้นเมืองหินโบราณก็ได้เริ่มสั่นสะเทือน
ประกาศจากระบบภูมิภาค : เมืองหินโบราณกำลังจะถูกอัพเกรดและสร้างขึ้นใหม่ ผู้เล่นทุกคนในเมืองหินโบราณจะถูกเทเลพอร์ตออกจากเมืองภายในสิบนาที โปรดเตรียมพร้อมสำหรับการเทเลพอร์ต
….
ประกาศจากระบบนั้นดังขึ้นสามครั้งติดต่อกัน และการแจ้งเตือนของระบบอีกชุดหนึ่งก็ดังขึ้นที่หูของซือเฟิง
ระบบ : คาดว่าจะต้องใช้เวลาในการอัพเกรด และสร้างเมืองหินโบราณขึ้นใหม่หนึ่งวัน ซึ่งในระหว่างนี้ผู้ที่ถือครองโทเค่นลอร์ดผู้ปกครองเมืองหินโบราณนั้นจะต้องไม่ออกห่างจากเมืองหินโบราณไปเกินรัศมีสามพันหลาได้ แต่ทั้งนี้ทั้งผู้ถือครองสามารถล๊อคเอ้าท์ออกจากระบบไปเพื่อพักผ่อน และรอเวลาได้
“นานขนาดนั้นเลยงั้นหรอ ?!” ซือเฟิงรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย เมื่อเขาได้ยิน
ปกติมันควรจะใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงในการอัพเกรด กับสร้างเมืองขึ้นใหม่ แต่ในตอนนี้มันกับใช้เวลาถึงหนึ่งวัน ซึ่งนับเป็นเวลาที่นานมากๆ และนี่มันก็จะทำให้สภาสิบแปดปีกต้องแบกรับความเสี่ยงอย่างสูง เพราะจักรพรรดิอสูรน่าจะเผยแพร่ข้อมูลของเมืองหินโบราณไปนานแล้ว โดยนี่มันก็จะทำให้ในอีกไม่นานนั้น กองกำลังผู้รุกรานจากโลกอื่นจะเริ่มการโจมตีเมืองหินโบราณแน่นอน
เพราะท้ายที่สุดแล้วแม้ว่าจะสามารถอัพเกรด และสร้างเมืองขึ้นใหม่ได้เรียบร้อย แต่หากเมืองยังไม่ได้วางโครงสร้างการป้องกัน มันก็จะยังคงจัดว่าเป็นเมืองที่อ่อนแอมากๆอยู่ ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้นั้น ผู้ปกครองเมืองก็จะทำได้แค่พึ่งพาผู้เล่นในการป้องกันเมืองเท่านั้น
ไฟเออร์แดนซ์มองไปที่ซือเฟิง และกล่าวว่า “หัวหน้ากิล ไอเทมทั้งหมดในคลังกิลของมือแห่งนักบุญถูกขนย้ายไปหมดแล้ว เราจะถอนตัวกันตอนนี้เลยไหม ?”
“ไม่ !! คุณเอาจักรพรรดิอสูรกลับไปขังที่เมืองปีกสีเงินก่อน พร้อมกันนั้นก็ให้พาคนอื่นๆถอนตัวออกไปด้วย” ซือเฟิงกล่าวพลางส่ายหัว “ในเวลาเดียวกันบอกเหลียงจิงให้สั่งระดมกำลังพลของสภาสิบแปดปีก และเหล่าองครักษ์ขั้นสี่มารวมตัวกันที่เมืองปีกสีเงินให้ได้ไวและมากที่สุด โดยเมื่อเมืองหินโบราณเปิดขึ้นก็ให้ทุกคนรีบตรงเข้าสู่เมืองหินโบราณกันทันที
“รับทราบ !!”
เมื่อได้ฟัง ไฟเออร์แดนซ์ก็เข้าใจทันทีว่าปัญหาเรื่องการอัพเกรดและสร้างเมืองหินโบราณขึ้นใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก และมันก็อาจจะมีการต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้น และหลังจากนั้นเธอก็ได้ออกจากเมืองหินโบราณไปพร้อมกับจักรพรรดิอสูร และคนอื่นๆ ซึ่งเมื่อเธอกลับไปถึงเมืองปีกสีเงินนั้นเธอก็เร่งรีบระดมพลตามคำสั่งของซือเฟิงทันที
หลังจากไฟเออร์แดนซ์ และคนอื่นๆจากไป ซือเฟิงก็เลือกที่จะล๊อคเอ้าท์ออกจากระบบไปเพื่อพักผ่อนโดยตรง
ก่อนหน้านี้เขายุ่งกับเรื่องต่างๆภายใน God domain อย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีเวลาที่จะล๊อคเอ้าท์ออกจากระบบกลางคันมาเพื่อพักผ่อนนานแล้ว แต่ตอนนี้ซือเฟิงไม่มีทางเลือกใดๆ เพราะเขาต้องรอการอัพเกรด และสร้างของเมืองหินโบราณ ซึ่งด้วยเงื่อนไขที่จำกัดของมัน มันก็ทำให้ตัวเลือกที่ดีที่สุดที่เขามี ก็คือต้องล๊อคเอ้าท์ออกมาพักผ่อนเท่านั้น
Upper Zone เมืองหยวนเทียน เขตที่อยู่อาศัยทั่วไป :
ในขณะที่ห้องเกมเคบินเฟียเลสค่อยๆเปิดขึ้น และซือเฟิงก็ได้ก้าวออกมานั้น เขาก็รู้สึกมึนงง หัวหมุน จนแทบจะล้มคว่ำ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?” ในขณะนี้สิ่งที่ดวงตาของซือเฟิงมองเห็นนั่นก็คือ โลกที่หมุนไปรอบๆ พร้อมกันนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความหิว และประหลาดใจที่ไม่สามารถจะอธิบายได้ “หรือว่าฉันจะใช้เวลาที่วิหารมังกรศักสิทธิ์นานเกินไปงั้นหรอ ? หรือว่าร่างกายกับจิตของฉันยังปรับตัวให้เข้ากับพลังใหม่ไม่ได้ ?”
สำหรับปริศนาเหล่านี้นั้น ซือเฟิงไม่ได้คิดมากกับมันนานนัก เพราะตอนนี้มันมีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ในใจของเขา
นั่นก็คือ กิน !!
เพราะความรู้สึกแบบนี้นั้นเขาเคยสัมผัสมาครั้งหนึ่งแล้ว โดยมันก็เกิดจากการขาดพลังงานนั่นเอง ซึ่งหากซือเฟิงสามารถเติมเต็มพลังงานที่จำเป็นให้กับร่างกายของตัวเองได้ในช่วงเวลานี้ เขาก็จะพัฒนาขึ้นไปได้อีกขั้นแน่นอน
โดยซือเฟิงนั้นก็ได้เตรียมการรับกับสิ่งนี้ไว้แล้ว ….
หลังจากกระชับความสัมพันธ์ในการร่วมมือกับมู่ฉิน และบริษัทโบลเดอร์เพิ่มเติม เขาก็ได้จัดการซื้อโพชั่นแห่งชีวิตสามสิบขวดมาจากบริษัทโบลเดอร์แล้ว ซึ่งนอกเหนือจากการมอบบางส่วนให้กับพวกผู้บริหารระดับสูงของกิลไป ซือเฟิงก็ได้เก็บไว้เองอยู่ห้าขวด
และตอนนี้มันก็เป็นเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะนำมันออกมาใช้งาน !!!
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้ดื่มโพชั่นแห่งชีวิตไปสองขวดในหนึ่งลมหายใจ ซึ่งนี่มันก็ทำให้เขามีอาการดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่มันก็ยังเห็นได้ชัดว่าพลังงานที่ร่างกายและสมองของเขาต้องการนั้นยังคงไม่เพียงพอ
หลังจากดื่มโพชั่นแห่งชีวิตขวดที่ห้าเข้าไป ซือเฟิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้ว
ซือเฟิงมองไปยังขวดโพชั่นแห่งชีวิตห้าขวดที่ตอนนี้กลายเป็นขวดเปล่าไปแล้วด้วยรอยยิ้มขมขื่น ก่อนที่เขาจะพึมพำว่า “โชคดีที่ฉันเตรียมมันไว้ห้าขวด หากขาดไปแม้แต่ขวดเดียว มันจะไม่สามารถช่วยบรรเทาสถานการณ์ปัจจุบันของฉันได้เลย …”
ในตอนแรกนั้นโพชั่นแห่งชีวิตห้าขวดก็นับว่าเพียงพอสำหรับเขาที่จะใช้เป็นเวลาสองเดือน แต่ตอนนี้เขากับดื่มมันหมดในลมหายใจเดียว นี่ถ้ามู่ฉินกับคนอื่นๆรู้เรื่องนี้ พวกเขาคงได้คลั่งแน่นอน
เพราะนี่มันเท่ากับว่าซือเฟิงได้ดื่มสมบัติที่ทายาทของพวกเขาต้องใช้เป็นเวลาครึ่งปีหมดไปในคราวเดียวจริงๆ !!!
อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแบบนั้นแต่ซือเฟิงก็รู้สึกมีความสุข เพราะหลังจากดื่มโพชั่นแห่งชีวิตเข้าไปครบห้าขวดนั้นซือเฟิงก็รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ ตอนนี้ความแข็งแกร่งในทุกๆด้านของเขานั้นมันดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกับด้านจิตใจ ….
ในเวลานี้แม้ว่าตาสองข้างจะปิดอยู่ แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงทั้งห้องที่เขาอยู่อย่างชัดเจน นอกเหนือจากนั้นเขายังรับรู้ถึงออร่าแห่งชีวิตภายในบ้านนี้ด้วย นี่มันน่าเหลือเชื่อมากๆ !!!
“นี่ความแข็งแกร่งทางจิตของฉันถึงระดับปรมาจารย์แล้วงั้นหรอ ?” ซือเฟิงพึมพำอย่างแทบไม่อยากจะเชื่อ
แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่สามารถคิดหาเหตุผลใดมารองรับเรื่องนี้ได้ นอกจากเหตุผลนี้
มีเพียงปรมาจารย์ทางจิตเท่านั้นที่จะมีความสามารถแบบนี้ และสามารถมองโลกในมุมแบบนี้ได้
หลังจากซือเฟิงทำความคุ้นชินกับทุกอย่างของเขาที่พัฒนาขึ้นมาอีกขั้นอยู่ราวสิบนาที เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อย
“แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันเป็นปรมาจารย์ทางจิตหรือยัง แต่ที่แน่ๆฉันมั่นใจว่าตอนนี้ฉันไม่น่าจะต้องกลัวปรมาจารย์ทางจิตที่อยู่เบื้องหลังลู่เทียนตี้อีกแล้ว ….” ซือเฟิงพึมพำอย่างมีความสุข
หลังจากนั้นไม่นานนักซือเฟิงก็ได้ออกจากบ้านพักของเขาไปเพื่อมุ่งหน้าไปพบกับ
หานอี้เฟิง โดยเขาตั้งใจที่จะไปเจรจาทำการค้าเติมเต็มทรัพยากรให้ตัวเอง และกิลสภาสิบแปดปีกของเขา
ก่อนหน้านี้เขากังวลมากว่าปรมาจารย์ทางจิตที่อยู่เบื้องหลังลู่เทียนตี้นั้นจะใช้กลอุบาย หรือเล่นไม่ซื่อบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะออกจากเขตที่อยู่อาศัยของเขาไกลเกินไป แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขานั้นเพิ่มขึ้นในทุกๆด้านแล้ว โดยเฉพาะในด้านทางจิต มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่จำเป็นต้องระวังมากเท่าเดิม และสามารถจะเริ่มทำสิ่งที่เขาต้องการได้ ….